ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. ในฐานะที่เป็นผู้กุมอำนาจเบ็ดเสร็จ มีเรื่องทึ่ถูกวิพากษ์วิจารณ์หลายเรื่อง จนออกอาการเครียด
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ สปช.คว่ำร่างรัฐธรรมนูญ จนต้องมีการตั้งกรรมการเพื่อมายกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ซึ่งตามโรดแมปแล้ว กว่าจะมีการเลือกตั้งได้ก็กินเวลาประมาณ 20 เดือน จึงถูกมองว่าเป็นแผนยื้ออำนาจไว้ให้นานที่สุด เรื่องอัดงบประมาณลงไปที่กองทุนหมู่บ้าน 6 หมื่นล้าน ตามแนวทางกระตุ้นเศรษฐกิจ ของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีคนใหม่ที่มาดูแลด้านเศรษฐกิจ ถูกเปรียบเปรยว่าเป็นนโยบาย "ประยุทธ์นิยม" ที่ไม่ต่างอะไรเลยกับ "ประชานิยม" ของระบอบทักษิณ
ไหนจะเรื่องการใช้อำนาจตาม มาตรา 44 ในฐานะหัวหน้าคสช. ส่งทหารไปหิ้วตัวคนที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล อย่าง นายพิชัย นริพทะพันธ์ นายการุณ โหสกุล นายประวิตร โรจนพฤกษ์ ไปเข้าค่ายทหารปรับทัศนคติเสียคนละ 7 วัน ยังมีเรื่องที่จะต้องเดินทางไปสหรัฐอเมริกา ตามคำเชิญของยูเอ็น ก็มีข่าวว่า กลุ่มต้านเตรียมไปชูป้ายประท้วง ไม่เอาผู้นำที่มาจากการรัฐประหาร
เมื่อเกิดอาการเครียด ทางระบายก็เลยมาลงที่สื่อ เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ เห็นว่า ถ้าสื่อไม่เสนอข่าวเหล่านี้ ก็จะไม่เป็นกระแสให้สังคมหยิบยกมาวิพากษ์วิจารณ์
หลายครั้งที่ พล.อ.ประยุทธ์ พยายามสื่้อสารกับบรรดานักข่าวในทำนองว่า ที่ต้องมาอยู่ในจุดนี้ ไม่ได้ต้องการมา แต่จำเป็นต้องมา เพื่อไม่ให้ประเทศชาติย่อยยับ และเมื่อมาแล้วก็จะต้องวางรากฐานที่มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ให้กับประเทศชาติ ดังนั้น สื่อต้องเข้าใจ และต้องให้การสนับสนุนด้วย ไม่ใช่คอยแต่จะเสนอข่าวฝ่ายตรงข้ามที่พยายามยุแยง โดยเอาประชาธิปไตยมาเป็นข้ออ้าง สร้างวาทกรรม สร้างความสับสนให้สังคม
พูดแบบไม่ต้องแปลไทยเป็นไทยก็คือ สื่อต้องเขียนเชียร์ ห้ามโจมตี และต้องไม่เป็นกระบอกเสียง คอยกระพือข่าวให้ฝ่ายตรงข้ามด้วย
" ถึงยังไง ท่านก็ไล่ผมออกนอกประเทศไทยไม่ได้หรอก ผมบอกซะก่อน ในเมื่อไล่ผมไม่ได้ ก็ต้องให้ผมทำงาน ให้การบริหารราชการแผ่นดินเร็วขึ้น ลดความขัดแย้ง ผมก็เห็นแต่สื่อเท่านั้นที่ช่วยผมได้ ผมพูดเองการรับรู้ก็ไม่เหมือนกับสื่อเขียน สื่อไม่เคยเขียนผิดจากที่ผมพูดหรอก ผมเข้าใจ ไม่ได้ต่อว่า แต่เขียนถึงอีกฝ่ายให้มันดูรุนแรงขึ้น แล้วผมถามว่าประเทศไทยจะถูกมองว่าสงบหรือยัง เขาก็บอกว่าไม่สงบ สถานการณ์การเมืองไม่มีเสถียรภาพ การค้า การลงทุนก็เสียหาย คนมาเที่ยวลดลงนั่นแหล่ะ สื่อต้องมองในมิตินี้ด้วย ไม่อย่างนั้น สมาคมสื่อฯ ตั้งมาก็ไม่มีประโยชน์ ทำหน้าที่ควบคุมอะไรไม่ได้เลย เพราะคุมสื่อให้มีจรรยาบรรณไม่ได้ ผมไม่ได้พูดถึงสื่อที่เขียนดีอยู่แล้ว แต่มันมีบางคนที่ไม่มีจรรยาบรรณ เหมือนกับใช้ตาข้างเดียว มองเห็นแต่ความบกพร่อง ความผิดพลาดตลอดเวลา ในเมื่อที่ผ่านมา ก็คนเดิมนี่แหล่ะ อยู่ข้างคนที่ทำผิดตลอดเวลา นั่นแหล่ะ คนเหล่านี้ผมเรียกว่าไม่มีจรรยาบรรณ พอทำอะไรไปก็หาว่าผมไปจำกัดสื่อ ผมไปจำกัดอะไรที่ไหน ผมไม่เคยไปวุ่นวาย แต่อาจจะเสียงดังบ้างอะไรบ้าง ซึ่งผมอาวุโส อายุมากกว่าฟังผมบ้างจะเป็นอะไรไป เหมือนฟังผู้ใหญ่คนหนึ่งบ่น" เป็นคำพูดของนายกรัฐมนตรี ที่พูดถึงสื่อ หลังการประชุมร่วม ครม.-คสช. เมื่อวันอังคาร ที่ผ่านมา
แต่หลังจากนั้น นายกรัฐมนตรีอาจจะได้รับการเตือนสติจากคนใกล้ชิด หรืออาจจะกลับไปนอนคิดแล้วรู้สึกได้ด้วยตัวเอง ถึงบทบาท และการปฏิสัมพันธ์กับสื่อด้วยอารมณ์รุนแรงเช่นนั้น อาจไม่ส่งผลดีต่อรัฐบาลก็ได้
รุ่งขึ้น พล.อ.ประยุทธ์ ก็สั่งการให้จัดเตรียมอาหารคาว หวาน ไว้เลี้ยงนักข่าวในมื้อเที่ยง ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล มีข้าวเหนียว ไก่ย่างเขาสวนกวาง ข้าวขาหมูตรอกซุง ก๋วยเตี๋ยวเย็นตาโฟวัดแขก ขนมจีนแกงเขียวหวานปลากรายป้าน้อย ถนนดินสอ ลอดช่องวัดเจษฯ ไอศกรีมมหาชัย และ ผลไม้หลายชนิด
โดยพล.อ.ประยุทธ์ พร้อมด้วย นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และพล.อ.วิลาศ อรุณศรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรี มาร่วมรับประทานอาหารกับสื่อฯ ประจำทำเนียบฯ อย่างเป็นกันเอง แบบกินไป คุยไป ใครมีเรื่องอะไรอยากถาม ก็ถามได้
ระหว่างรับประทานอาหาร นายกฯ บอกว่า วันนี้เกือบจะไม่ได้ลงมาร่วมทานอาหารด้วยแล้ว เพราะยังรู้สึกงอนๆ อยู่ แต่จริงๆ ไม่ใช่หรอก ถ้าไม่ได้พูด ไม่เห็นหน้ากัน ก็คิดถึง เรามันคู่กัน ต่างคนต่างขาดกันไม่ได้ ถ้าไม่ได้พูด หรือโต้เถียงกัน ก็ปวดท้อง แต่ถ้าให้โมโหมากๆ เส้นโลหิตในสมองก็แตก แต่โชคดีที่คนที่นั่งข้างๆ ทั้งท่านสมคิด พล.อ.สุรศักดิ์ และ พล.อ.วิลาส เป็นคนใจเย็น มีตนเองใจร้อนอยู่คนเดียว
เมื่อเห็นบรรยากาศที่ผ่อนคลาย ผู้สื่อข่าวจึงถามว่า เวลานายกฯ ใจร้อน และเผลอหลุดคำพูดต่างๆ ออกมา ภริยาท่านดุ หรือตำหนิบ้างหรือไม่ ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ ก็ยอมรับว่า
"ผมดุก่อน แต่พอเขาดุมา ผมก็สู้ไม่ได้ เขาเป็นอาจารย์ ผมเป็นลูกศิษย์ พอเวลาภรรยาผมดุ ผมก็เงียบ "
ผู้สื่อข่าวชายจึงกระเซ้าว่า เจอแล้วคนที่นายกฯ กลัวที่สุดในประเทศ ทำให้นายกฯ หันย้อนถามกลับว่า แล้วไม่กลัวหรือ ต้องเกรงใจด้วยนะ คือในบ้านมันควรจะไม่มีอะไร โมโหก็ไม่ได้อยู่แล้ว ยิ่งวันนี้เราโมโหอะไรไม่ได้เลย พอเข้าบ้านเราอยากให้บ้านเราสงบ สุขสบายใจ
จากนั้น นายกฯ ก็ออกปากขอบคุณสื่อ ที่เสนอข่าวและลงความเห็นที่ให้สัมภาษณ์ไปเกือบทั้งหมด เพื่อให้ประชาชนเข้าใจ เพราะไม่เช่นนั้น คนเพียงไม่กี่คน ก็มาสร้างความวุ่นวาย น่าเบื่อหน่าย ยิ่งสื่อไปเปิดพื้นที่ให้คนพวกนั้น ประชาชนก็จะยิ่งเข้าใจผิด แถมยังบอกว่า ตั้งแต่เข้ามาเป็นนายกฯ ทำให้หนังสือพิมพ์ขายดีกว่าช่วงก่อนๆ เพราะคนชอบอ่านเรื่องของนายกฯ
เมื่ออาหารเริ่มย่อย นายกฯ ก็เปิดใจถึงความมุ่งหวัง ของการเข้ามาทำหน้าที่ว่า อยากทำให้ประเทศไทย มีที่ยืนในเวทีโลก เป็นเมืองแห่งการเจริญเติบโต บ้านเมืองสงบสุข ไม่ใช่เป็นประเทศที่มีแต่ความขัดแย้ง และไม่ได้อยากอยู่ในอำนาจนานๆ เพราะถ้าหากว่าอยากอยู่นาน ก็ทำไปเรื่อยๆ ทำตัวติ๊งต๊องไปเรื่อยๆ วันวันไม่ต้องทำอะไรมากก็ได้
" อยากให้คนไทยสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกันให้ได้ ถ้าเชื่อใจให้ผมทำ ผมก็จะได้ทำงานของผม แต่ถ้าไม่เชื่อใจกัน ก็เปล่าประโยชน์ มีปัญหาไปหมด วันนี้อย่าไปแยก เว้นแต่เขาจะแยกตัวออกไป มีแต่เขามาแตะผมก่อน ผมบอกผมไม่ทะเลาะกับใคร ก็ยังพยายามมาเล่นงานผมอยู่ได้ ทุกวัน อาจารย์สมคิด (จาตุศรีพิทักษ์) ก็บอกผมว่า อย่าไปสนใจเลยครับ พอไม่สนใจ ก็เลยมาโมโหสื่อแทน แต่ผมก็รู้ ต้องให้กำลังใจกัน ทิ้งกันไม่ได้อยู่แล้ว ไม่มีช่วงไหน ที่หนังสือพิมพ์จะขายดีเท่ากับตอนผมอยู่ "
นักข่าวเห็นนายกฯเริ่มอารมณ์ดี ก็เลยถามว่า ตามโรดแมป นายกฯ ต้องอยู่อีก 20 เดือน กลัวคนจะเบื่อเสียก่อนหรือไม่ ก็เจอคำตอบสวนมาทันทีว่า
" ไม่ต้องมาเบื่อผม เพราะทุกวันนี้ ผมก็เบื่อตัวเองอยู่แล้ว บอกแล้วว่าอยู่มาก อยู่น้อย ก็แล้วแต่ แต่ถามว่าวันเวลาที่อยู่วันนี้คุ้มกับที่อยู่หรือไม่ ทุกวันนี้ปัญหาทับซ้อน เราก็พร้อมส่งต่อให้คนในวันหน้า แต่ต้องถามว่า เขาจะทำหรือไม่ และถ้าได้นักการเมืองหน้าเดิมกลับมา ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะอำนาจเป็นของทุกคนในการเลือกตั้ง"
ผู้สื่อข่าวเลยถามซ้ำไปว่า ถ้าหลังเลือกตั้ง ได้รัฐบาลใหม่แล้วยังเกิดเหตุการณ์วุ่นวายขึ้นอีก ทหารพร้อมที่จะกลับมาแก้ปัญหาอีกครั้งหรือไม่
"หากเกิดสถานการณ์เหมือนเดิมอีก ผมก็ไม่เกี่ยว กลับบ้านแล้ว เรื่องทุกอย่างขึ้นอยู่กับทุกคน ไม่ต้องมากลัวนายกฯ คนนอก ผมไม่เป็นแน่นอน "