xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

เด็ดปีกลิ่วล้อ-จัดหนักหัวโจก ปฏิบัติการโค่น “จันทร์ส่องหล้า” จับตา “สุดารัตน์” สยายปีก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -หลายปัจจัยชี้ให้เห็นว่าสถานการณ์ภายหลังจากรัฐประหาร 22 พ.ค.57 ค่อนข้างแตกต่างออกไปจากสถานการณ์ภายหลังจากรัฐประหาร 19 ก.ย.49 อยู่พอสมควร โดยเฉพาะในแง่ของเสถียรภาพและการคงอยู่อำนาจของ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ดูจะมีมากกว่า คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ในขณะนั้น

ที่ดูจะเหมือนกันก็ตรงที่รัฐประหารยุค คสช. หรือ คมช.มีภารกิจไม่ต่างกัน นั่นคือ การโค่นอำนาจ “ระบอบทักษิณ” ซึ่งประดิษฐ์คำขึ้นในภายหลัง กล่าวคือ คมช.ยึดอำนาจจากรัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร ขณะที่ คสช.ก็ยึดอำนาจจากรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวของนายทักษิณ

อย่างไรก็ตาม คสช.ภายใต้การนำของ บิ๊กตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้สร้างกลไกการคงอยู่ของ คสช.ให้เป็นแบ็คอัพค้ำยันรัฐบาลผ่านมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 ขณะที่ คมช.ภายใต้การนำของ บิ๊กบัง-พล.อ.สนธิ บุญยรัตนกลิน ในตอนนั้นแทบจะหมดบทบาทไปภายหลังจากที่ได้ส่งต่ออำนาจให้รัฐบาล บิ๊กแอ๊ด-พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์

ในขณะที่หัวหน้า คสช.อย่าง “บิ๊กตู่” เลือกที่จะรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ควบคู่ไปกับหัวหน้า คสช. แถมยังควบเก้าอี้ผู้บัญชาการทหารบกจนเกษียณ แต่ “บิ๊กบัง” ในฐานะหัวหน้าคณะรัฐประหารเลือกที่กว่าจะลุกออกจากเก้าอี้หัวหน้า คมช.เพื่อมารับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ก็ต้องรอหลังจากเกษียณอายุราชการในตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก

หลายสิ่งหลายอย่างสะท้อนว่า “ทีม เสธ.” ของ คสช.วางกลไกไว้อย่างรัดกุม โดยถอดบทเรียนมาจากความผิดพลาดของ คมช.ในอดีต

สิ่งที่แตกต่างออกไปในยุค คสช.และ คสช.ใช่ว่าจะมีเพียงบุทธวิธีของฝ่ายทหารเท่านั้น เพราะทาง “ฝ่ายการเมือง” ก็แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง เพราะเมื่อครั้งรัฐประหาร 19 ก.ย.49 บรรดาลิ่วล้อ “พรรคไทยรักไทย” ภายใต้การนำของ “ทักษิณ” กระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง โดยเฉพาะบรรดา “หัวหน้ามุ้ง” ที่หอบหิ้วลูกทีมไปตัดต่อพันธุกรรมสวมหัวตามพรรคใหม่ที่เกิดขึ้นเป็นดอกเห็ด ทั้งพรรคเพื่อแผ่นดินที่ได้ชื่อว่าเป็นพรรคของ คมช. พรรคมัชฌิมาธิปไตย พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา เป็นต้น แต่ในความเป็นจริง “นกรู้” ส่วนใหญ่ได้โดดหนีไปตั้งแต่ก่อนมีการยึดอำนาจด้วยซ้ำ เพราะมีสัญญาณว่าพรรคไทยรักไทยจะถูกยุบในที่สุด

ขณะที่ “พรรคเพื่อไทย” ภายหลังการรัฐประหารกลับแตกต่างออกไป บรรดาแกนนำ-สมาชิก-อดีต ส.ส.ยังคงเกาะเกี่ยวกันอย่างเหนียวแน่น โดยเหตุผลหลักก็เพราะมีประสบการณ์ให้เห็นมาแล้วว่า หากมีการเลือกตั้งเมื่อใดชื่อของ “ทักษิณ ชินวัตร” ก็ยังขายได้ และก็ประเมินว่า หาก คสช.ทำตามโรดแมปจริง อีกไม่นานจะมีการเลือกตั้ง ต่างก็เตรียมสวมบท “เสาไฟฟ้า” ลงแข่งขัน จึงเป็นเหตุให้บรรดาแกนนำ-ลิ่วล้อในสมัยเพื่อไทยยังคงอยู่กันเกือบจะพร้อมหน้าพร้อมตา

แต่โรดแมปของ คสช.กลับถูกทอดยาวออกไปแบบที่ยังไม่มีทีท่าจะจะสิ้นสุดส่งไม้ต่อให้รัฐบาลต่อไปเมื่อใด ภายหลังจากที่ สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ปลิดชีพร่างรัฐธรรมนูญไปเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา นักการเมืองต้องมานั่งนับหนึ่งใหม่รอคอยการเลือกตั้งตามสูตร 6-4-6-4 หรือ 20 เดือนตามรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 ฉบับแก้ไข เท่ากับว่า 1 ปีที่เฝ้ารอคอยมาต้องมลายหายไปในพริบตาเดียว

สำทับด้วยเสียงเข้มๆของ “บิ๊กตู่” ที่พูดชัดว่า เวลานี้อยู่ในระหว่างการสะสางปัญหาวางรากฐานปฏิรูปประเทศ ยังไม่ใช่เวทีของนักการเมือง ที่ต้องรอจนกว่า คสช.จะทำงานเสร็จแล้วส่งไม้ต่อให้รัฐบาลที่มาจาการเลือกตั้ง หรือโรดแมประยะที่ 3 ที่ย้ำนักย้ำหนา

นอกเหนือจากการปฏิรูปที่ คสช.ยกขึ้นอ้างเป็นเหตุผลในการอยู่ในอำนาจขณะนี้แล้ว ยังมีภารกิจสำคัญในการปัดกวาดบ้านเมืองให้พ้นจาก “ระบอบทักษิณ” อย่างยั่งยืน เพราะแม้หัวหน้า คสช.จะบอกว่ากล่าวข้าม “ทักษิณ” มาเนิ่นนานแล้ว แต่จังหวะจะโคนต่างๆของ คสช.ดูจะไม่เป็นผลดีกับพลพรรคอดีตนายกฯหนีคดีแม้แต่น้อย

ว่ากันว่าช่วงที่ผ่านมา “ผู้มีบารมี” ในรัฐบาลพยายามใช้แผน “จับปลาแยกน้ำ” หับพรรคเพื่อไทยอยู่หลายหน ต้องการแต่ละก๊กแต่ละเหล่ากระจัดกระจายกันไป แต่ก็ไม่เป็นผล เพราะยังเกาะกลุ่มกันแน่นเพื่อรอเวลากลับมาบนสังเวียนการเมือง ในวันที่คสช.ไม่อยู่แล้ว

แต่ดูเหมือนบรรดา “ขุนทหาร” รู้ดีว่า แม้จะใช้รถถังนำเข้ามาสู่อำนาจมานานเกินปีแล้ว แต่ก็ยังมีแต้มต่อสูงมาก สามารถควบคุมกลไกตามอำนาจรัฐไว้อยู่ในอุ้มมือได้ทั้งหมด โดยที่ไม่รู้สึกเคอะเขิน หรือมีฝ่ายต่อต้านอะไรมากนัก โดยเฉพาะกระแสสังคมที่ดูจะพึงพอใจสภาพบ้านเมืองในยามนี้ มากกว่ามีนักการเมืองมาปลุกปั่นให้วุ่นวายเหมือนช่วงที่ผ่านมา

การบังคับใช้อำนาจสูงสุดตามรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว 2557 ของ “บิ๊กตู่” ในฐานะหัวหน้า คสช. แง่หนึ่งใช้ในทางสร้างสรรค์ขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาที่ติดขัดข้อกฎหมายปกติ แต่อีกแง่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีไว้ไล่ทุบ “กลุ่มเห็นต่าง” ให้สยบยอมได้สบายมือ-สบายเท้า แถมไม่ต้องออกแรงอะไรมากมาย

เกมของ “รัฐบาล-คสช.” ยกแรกแค่ควบคุมตัวบุคคลที่ออกมาแสดงความเห็นที่อ้างว่าอาจจะเป็นเงื่อนไขไปสู่ความขัดแย้ง ก็หุบปากหอย-ปากปูได้เยอะ บรรดาแกนนำเพื่อไทย-นปช.-คนเสื้อแดง ทุกเหล่า-ทุกก๊ก ที่อยู่ภายใต้การคอนโทรลของ “นายทักษิณ” แทบไม่กล้าออกมาเคลื่อนไหว

เด็ดปีก “ลิ่วล้อ” บล็อกพฤติเลียนแบบ

ตัวอย่างเห็นแจ่มชัดกรณี เสี่ยแดง - พิชัย นิริพทะพันธุ์ อดีต รมว.พลังงาน และ เก่ง - การุณ โหสกุล อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย ที่โดนเป็นรายล่าสุด หลัง คสช.สั่งให้ปล่อยตัวหลังถูกควบคุมตัว ดูเหมือนจะสงบเสงี่ยมเจียมตัวมากยิ่งขึ้นประกาศรูดซิปปากเป็นการถาวร

โดยเฉพาะ “พิชัย” ที่อำลาโรงลิเกหน้าจอ-หลังจอ เลิกจ้อวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของ “รัฐบาลลุงตู่” ประเด็นที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจ ทิ้งปริศนาไว้เพียงว่าเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ทุกเรื่องที่เคยแสดงความเห็นไว้

ว่ากันว่าสิ่งที่ “พิชัย” เจอกับตัวครั้งนี้หนักกว่าที่เคยเจอมา 7 ครั้ง ดีกรีการควบคุมตัวแต่ละครั้งเข้มข้นขึ้นตามลำดับ ไม่มีซ้อม-ไม่มีทรมาน แต่เป็นเงื่อนไขข้อตกลงที่ทำสัญญากันไว้ หากยังขืนวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของ “รัฐบาลลุงตู่” อีก คงมีหวังได้กินข้าวแดงในคุกแน่

จะเห็นว่าพวกที่ไม่ค่อยมีคดีติดตัว แต่มักจะออกมาวิพากษ์วิจารณ์จะโดนบีบด้วยการสั่งสอน พร้อมทำข้อตกลงลับเก็บเอาไว้ หากผิดอีกโดนทวงสัญญาแล้วอย่ามาหาว่าไม่เป็นธรรม

รวมไปถึงกรณีของ เสี่ยอ๋อย - จาตุรนต์ ฉายแสง แกนนำพรรคเพื่อไทย ที่โดนริบยพาสปอร์ตไปก่อนหน้านี้ เสี่ยอ้วน - ภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการเลขาฯพรรค ก็โดนหางเลขไปด้วย หรือที่เจ็บจริงไม่ใช่สตั๊นท์ เสี่ยไก่ - วัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคอีกคน ที่โดยดักทุบสั่งสอน หลังวิพากษ์ คสช.แบบฮาร์ดคอร์อย่างต่อเนื่อง แม้จะเคยมีแมสเซสอ้างชื่อ “บิ๊ก คสช.” เตือนด้วยความเป็นห่วงว่า “ให้ระวังตัว” มาแล้ว

ด้าน “หัวโจกแดง” อย่าง ตุ๊ดตู่ - จตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. อำมาตย์เต้น - ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ หรือแม้กระทั่ง ไข่มุกดำ - วีระกานต์ มุสิกพงษ์ ที่สุขภาพไม่ค่อยจะสู้ดีเท่าไร แต่คดีที่คั่งค้างอยู่ในชั้นศาลโดนตัดสิน “ศาลอาญา” ตัดสินให้จำคุก 4 ปี คดีนำ นปช.บุก “บ้านสี่เสาเทเวศร์” โดยไม่รอลงอาญา ซึ่งเป็นเพียงคำตัดสินศาลชั้นต้น ต้องสู้กันอีกหลายยก แต่ก็เหมือนถูกค้ำรอโดนสาวหมัดโดยตัวเองถูกรัดมือรัดเท้าไว้ รู้ว่าต้องเจ็บตัวฟรีแบบนี้ ใครจะยื่นหน้าไปแลกหมัดด้วย

ถือเป็นสัญญาณเข้มให้ “แกนนำ นปช.” รอโดนเชือดติดคุกยาวกันได้เลย หากยังคิดที่จะเคลื่อนไหวเพื่อต่อมีหวังคดีที่ยังคั่งค้างอยู่ในชั้นศาล อาจจะถูกเร่งกระบวนการให้เร็วขึ้น เพื่อใช้เป็นกลไกหนึ่งในการหยุดการเคลื่อนไหวของ “คนเสื้อแดง” เอาไว้ได้ตามทฤษฎีขนมถ้วยฟู ที่หากสามารถครอบ “แกนนำ” เอาไว้ได้ การกระจายตัว-เกิดใหม่ของ “คนเสื้อแดง” ต้องชะงักลง

จัดหนัก “หัวโจก” โค่น “จันทร์ส่องหล้า”

องคาพยพที่ชูหน้าสลอนในรัฐบาลชุดก่อนก็เข้าคิวคอขึ้นเขียงกันแทบทุกคน ไล่ตั้งแต่ คุณหนูปู - ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯคนสวย ที่ในสมุดคิวงานต้องขึ้นโรงขึ้นศาลจากคดีปล่อยให้มีการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งสภาฯกาแฟออกราคาต่อรองว่า “โดน” หรือ “หนี” ไว้ในอัตราใกล้เคียงกัน

เฉกเช่นเดียวกับ บุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ สุดเลิฟของ เจ๊แดง-เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ กับปม “จีทูเจี๊ยะ” ที่ไม่น่ารอด โดยคดีนี้ราคาต่อรองที่ว่า “หนี” จ่ายน้อยที่สุด ทิ้งห่าง “โดน” ไปพอสมควรแล้ว

จะมีที่รอดอยู่บ้างก็คดีถอดถอน 308 อดีต ส.ส.-ส.ว. และ 248 อดีต ส.ส.จากกรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยมิชอบเมื่อสมัยรัฐบาลชุดที่แล้ว ซึ่งรวบรวมบรรดา “หัวโจก-หางแถว” ของ “ระบอบทักษิณ” ไว้เสร็จสรรพ ดีที่ คสช. โดย สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ยังปราณีลงมติว่า ทั้งหมดไม่มีความผิด รอดพ้นสถานะล้มละลายทางการเมืองไปแบบเฉียดฉิว

แต่ก็ยังมีคดีอยู่ในบัญชีหนังหมาอีกเพียบ รอแค่ไทม์มิ่งที่จะงัดออกมาใช้เท่านั้น

ใช่แต่บรรดา “ลิ่วล้อ” ที่เดือดร้อนกันเป็นแทบ “นายใหญ่” ก็ไม่รอดคมดาบ คสช. เมื่อที่สุด “บิ๊กตู่” เลือกใช้อำนาจตามมาตรา 44 ถอดยศ พ.ต.ท.ที่คาราคาซังมานานหลายปีกลายสภาพเป็น “นายทักษิณ ชินวัตร” เต็มตัวไปเป็นที่เรียบร้อย

ตามมาติดๆกับ ลูกโอ๊ค - พานทองแท้ ชินวัตร ก็ดูท่าจะรอดพ้นอาญาแผ่นดินลำบาก เมื่อมีชนักปักหลังจากกรณี “ค่านายหน้า” เงินกู้แบงค์กรุงไทย ที่บรรดาผู้เกี่ยวข้องเดินคอตกเข้าคุกกันไปแล้ว ในชั้นนี้อาจจะยังสาวไม่ถึง “ลูกโอ๊ค” แต่ก็มีมูลความผิดที่งัดขึ้นมาฟาดเมื่อไรก็ได้ เช่นเดียวกับ กาญจนาภา หงษ์เหิน เลขานุการส่วนตัว คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ที่มีชื่อพัวพันอยู่ด้วย

จับอาการล่าสุดของ “โอ๊คอ๊าค” ที่ฝีปากเก่งกล้าอย่างยิ่งในโลกออนไลน์ กลับหงอยลงทันตาเมื่อเจอนักข่าวชงให้วิพากษ์ คสช. โดยอ้างว่า ไม่อยากไปกินข้าวฟรีในค่ายทหาร แถมในพื้นที่สังคมโซเชี่ยลฯก็ดูจะเงียบๆผิดวิสัยไป

สิ่งที่เกิดขึ้นกับ “คุณหนูปู” ตลอดจนไปถึง “พ่อแม้ว - ลูกโอ๊ค” มองได้ว่าเป็นการกระทบชิ่งไปถึง “บ้านจันทร์ส่องหล้า”
 
คสช.คุมเกมเบ็ดเสร็จ

เท่ากับว่า เกมในประเทศ “รัฐบาลลุงตู่-ขุนทหาร” สามารถบล็อกเกือบทุกความเคลื่อนไหวของ “แกนนำเพื่อไทย-คนเสื้อแดง” ไม่ให้กระดิกได้เกือบหมด แม้จะมีบางองค์กรที่ใช้ความเป็น “สากล” รับใช้ “นายทักษิณ” พยายามเคลื่อนไหวฟ้องโลกว่า “รัฐบาลลุงตู่” จำกัดสิทธิเสรีภาพ

แต่ก็เหมือน “โลก” จะไม่ค่อยสนใจเสียงทักท้วงจาก สุนัย ผาสุก ที่ปรึกษาองค์สิทธิมนุษยชน ฮิวแมนไรต์วอทซ์ ประจำประเทศไทย เพราะตอนนี้รู้กันดีทั้งโลกแล้วว่า “สุนัย” ทำงานรับเงินจากใครบางคนที่เรียกกันว่า “นายใหญ่”

เมื่อเกมในประเทศโดน “รัฐบาล-คสช.” บล็อกไว้ทุกทาง สมุนแดงเครือข่าย “นายแม้ว” จึงคิดเกมเคลื่อนไหวนอกประเทศ เพื่อโจมตีกลับมายังประเทศไทย โดยใช้ “องค์กรเถื่อน” อย่าง “องค์กรเสรีไทย” ที่ตั้งขึ้นมาโดยไม่มีกฎหมายรองรับ

แต่ความเคลื่อนไหวของ “องค์กรเสรีไทย” ในต่างประเทศเริ่มมีบทบาทชัดเจน จนหน่วยงานความมั่นคงต้องจับตาเพิ่มมากขึ้น ภายหลังมีการจัดประชุมสมัชชาประเทศไทย ครั้งที่ 5 ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 6 ก.ย.ที่ผ่านมา มี “นักโทษหนีคดี” หลายคนเข้าร่วมการประชุม อาทิ จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ - สุนัย จุลพงศธร รวมถึง จักรภพ เพ็ญแข ที่วีดีโอลิ้งค์เข้าสู่ที่ประชุม โดยเนื้อหาได้หารือถึงแผนการยึดประเทศจาก “ขุนทหาร” โดย “มวลชนแดง” เข้ากดดันหากเกิดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ

พูดกันหนักถึงขั้น “แห่ศพทั่วเมือง” เพื่อฟ้องโลกหาก “ขุนทหาร” ไม่ยอมคืนอำนาจประชาธิปไตย แถมยังมีแผนการที่ “ดีลลับ” ให้ประเทศมหาอำนาจบางประเทศเข้ามาแทรกแซงการปกครองในประเทศไทย โดยยกตัวอย่างประเทศเวียดนามขึ้นในที่ประชุม

แม้บางเรื่องอาจจะดูไกลตัว แต่เป็นที่ทราบกันว่า “พวกทรยศชาติ” ที่อยากกลับมามีอำนาจอีกครั้งยังเคลื่อนไหวอยู่ และแผนการที่เซตวางเอาไว้ไม่ธรรมดา หวังปั่นกระแสให้คนไทยหันมเกลียดกันเอง เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง

ล่าสุดมีข่าวแว่วมาว่า “นายทักษิณ” เริ่มขยับเข้ามาอยู่ใกล้ประเทศไทยอีกครั้ง เพื่อบัญชาการ “แผนลับ” มายังประเทศไทย โดยใช้ “เกาะฮ่องกง” เป็นฐานบัญชาการ ซึ่งการข่าวรายงานว่างานนี้ “นายทักษิณ” น่าจะอยู่ “เกาะฮ่องกง” ยาวๆ เพื่อมีเหตุฉุกเฉินได้เคลื่อนได้สะดวกและรวดเร็ว

รวมทั้งเฝ้าเกาะติดการเดินเกมรุกไล่เครือข่ายตัวเองของ คสช.ชนิดไม่ยอมให้กระดิกตัวได้สะดวกไปในตัวด้วย

พรรคพวกแห้วเหี่ยว “หญิงหน่อย” เบ่งบาน

ขณะที่พรรคพวก “ระบอบทักษิณ - สายจันทร์ส่องหล้า” ต่างเหี่ยวเฉาอึดอัดไปตามๆกัน แต่มีคนหนึ่งที่พะยี่ห้อ “เด็กแม้ว” อยู่กลางหน้าผากกลับมีรัศมีเจิดจรัสขึ้นมาอย่างเงียบๆ ไม่ใช่ใครที่ไหน หญิงหน่อย - คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ผู้ได้ชื่อว่าเป็น “เจ้าแม่นครบาล” คุมก๊ก ส.ส.กทม.ของพรรคเพื่อไทย

ในวงการรู้กันว่า “หญิงหน่อย” มีความสัมพันธ์อันดีกับ บิ๊กป้อม - พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม ที่ถูกยกให้เป็น “พี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์” จนเคยมีกระแสข่าวว่า จะขนข้าวขนของไปร่วมงานกับ “รัฐบาลทหาร” มาแล้ว

โดยบทบาทของ “หญิงหน่อย” ในช่วงรัฐบาล คสช.คือเป็น “ตัวกลาง” ของ “ดีลพิเศษ” ระหว่าง “ฝ่ายทหาร-ระบอบทักษิณ” เพราะหัวขบวนทั้งสองฝ่ายต่างไว้ใจ “หญิงหน่อย” ด้วยกันทั้งคู่ อย่างผลการลงมติของ สนช.ที่ไม่ถอดถอน 308 อดีต ส.ส.-ส.ว. และ 248 อดีต ส.ส.จากกรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยมิชอบเมื่อสมัยรัฐบาลชุดที่แล้ว ก็มีการเคลมแล้วว่าเป็นฝีมือของ “หญิงหน่อย” นี่เอง

หลายเดือนก่อนมีข่าวว่า “สุดารัตน์” พร้อมด้วย บิ๊กผิว - พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก อดีตรองนายกฯในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ไปหารือกับ “บิ๊ก คสช.” เพื่อหาลู่ทางในการตั้ง “รัฐบาลแห่งชาติ” กันในรีสอร์ทหรูที่เขาใหญ่ จ.นครราชสีมา โดยจะมีการผลักดันให้ “หญิงหน่อย” เป็นปาร์ตี้ลิสต์เบอร์หนึ่งของพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งคราวหน้า แต่ก็มีการปฏิเสธกันเป็นพัลวันในภายหลัง

ไม่เพียงเท่านั้น ในงานมงคลสมรมของบุตรชาย “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” เมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งมีนักการเมืองชื่อดังตบเท้ามาร่วมงานกันพรึ่บพรั่บ สปอตไลท์ภายในงานก็สาดส่องไปที่ “สุดารัตน์” ทันที เมื่อประธานในพิธีอย่าง “บิ๊กตู่” โปรยยาหอมออกไมค์ ชมว่าเก่งหนักเก่งหนา แถมรู้จักกันมาตั้งแต่ตัวเองยังเป็นแค่นายพัน จนมีลูกติดพันเลยเถิดไปในหน้าสื่อที่มีการยัดชื่อ “หญิงหน่อย” เป็นแคนดิเดตลุ้นเก้าอี้รัฐมนตรีในช่วงนั้นกับเขาด้วย

เมื่อครั้ง สปช.ลงมติคว่ำร่างรัฐธรรมนูญ นอกเหนือจาก “3 สปช.สายทหาร - 1 สปช.สายพลเรือน” ที่เดินเกมล็อบบี้จนภารกิจลุล่วงแล้ ก็ยังมีข่าวลือกันให้สนั่นพรรคเพื่อไทยว่างานนี้เพื่อความชัวร์ “พี่ใหญ่ป้อม” ออกแรงต่อสายไปยัง “หญิงหน่อย” ให้ช่วยกล่อม “สปช.จังหวัด” ในสายของเพื่อไทยเพื่อโหวตคว่ำร่างรัฐธรรมนูญด้วย

จริงไม่จริงไม่รู้ แต่เมื่อ “สปช.จังหวัด” หลายคนโหวตคว่ำ แม้บางคนจะไม่ใช่สายเพื่อไทยโดยตรง แต่งานนี้ “หญิงหน่อย” ก็เคลมเป็นผลงานของตัวเองเรียบร้อยไปแล้ว แถมได้สองเด้งเคลมได้กับทั้ง “พี่ป้อม” แล้วยังไปเคลมกับ “พี่แม้ว” ที่ไม่ปลื้มร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่แล้วได้อีกต่างหาก

ยามนี้ “สุดารัตน์” จึงเป็นตัวแปรสำคัญในเกมระหว่าง “ฝ่ายทหาร” กับ “ระบอบทักษิณ” โดยมีพรรคเพื่อไทยเป็นหัวหาดที่จะถูกเข้ายึด

เมื่อ คสช.จับปลาแยกน้ำไม่สำเร็จ จะยุบทิ้งก็ยังหาข้ออ้างดีๆไม่ได้ “แผนซี” ที่เคยคุยกันว่าจะเปลี่ยนหัวใหม่ให้ถูกใจทั้งสองฝ่ายก็ถูกปัดฝุ่นขึ้นมาอีกครั้ง ถึง “ทักษิณ” จะไม่แฮปปี้ แต่ก็ดีกว่าโดนเผาบ้านไปเฉยๆ

หัวใหม่ที่ว่า สเปกต้องเป็นที่ไว้ใจของ คสช. คุยกับ “ทักษิณ” รู้เรื่อง ที่สำคัญไม่ตกอยู่ในอาณัติของ “บ้านจันทร์ส่องหล้า”

มองไปมองมา ก็ “หญิงหน่อย” นี่แหละ..ใช่เลย!!





กำลังโหลดความคิดเห็น