ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -สุดท้าย แม้เวลาจะผ่านไปหลายปี แต่ผลแห่งการกระทำผิดนั้นวันหนึ่งก็มาถึง กับผลคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในคดีปล่อยกู้ของธนาคารกรุงไทยฯ
แต่คนส่วนใหญ่ก็อดเสียดายไม่ได้ว่า หากคดีนี้"นักโทษชาย ทักษิณ ชินวัตร" เข้าสู่การพิจารณาคดีในชั้นศาล ผลแห่งคดีสำหรับอดีตนายกรัฐมนตรี ที่เป็นจำเลยที่ 1 ในคดีนี้จะออกมาแบบไหน หลังคำพิพากษาของศาลในคดีกรุงไทยฯ ที่โป้งปิดบัญชีแบบ เที่ยงตรง เที่ยงธรรม จนมีการสั่งจำคุก อดีตผู้บริหารและฝ่ายสินเชื่อของธนาคารกรุงไทย-อดีตผู้บริหารกลุ่ม บมจ.กฤษดามหานคร ยักษ์ใหญ่บริษัทอสังหาริมทรัพย์ของไทย รวม 15 คน
จนทำให้อดคิดไม่ได้ว่า แล้วหากทักษิณสู้คดีนี้เหมือนกับจำเลยคนอื่นๆ ผลจะออกมาอย่างไร
คำพิพากษาขององค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาฯในคดีนี้ ซึ่งมีช่วงหนึ่งที่น่าสนใจ เมื่อศาลระบุว่า
"ส่วนที่จำเลย 2-5 และ 8-27 ร่วมกันกระทำผิด หรือสนับสนุนจำเลยที่ 1 (ทักษิณ ชินวัตร) นั้น ได้ความจากพยาน ซึ่งเป็นกรรมการพิจารณาสินเชื่อธนาคารกรุงไทยว่า ก่อนการประชุมอนุมัติสินเชื่อให้บริษัทจำเลยที่ 18-19 นั้น จำเลยที่ 2 ได้โทรศัพท์มาหาพยาน และบอกว่าบิ๊กบอส หรือ ซูเปอร์บอส ได้ดูดีแล้ว ไม่ให้คัดค้านการอนุมัติสินเชื่อให้บริษัทจำเลยที่ 18-19
ซึ่งในชั้นพิจารณากับชั้นไต่สวนของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) พยานยังเบิกความไม่ชัดเจนว่า บิ๊กบอส หรือ ซูเปอร์บอส คือจำเลยที่ 1 หรือภรรยาของจำเลยที่ 1 กันแน่ แม้มีการอ้างถึงเงินจากเครือบริษัทในเครือกฤษดา จำเลยโอนเข้าบัญชีบุตรของจำเลยที่ 1 และบุคคลที่เกี่ยวข้องกับจำเลยที่ 1 แต่ก็พบว่า กลุ่มคนดังกล่าวก็เกี่ยวพันกับภรรยาของจำเลยที่ 1 พยานจึงอาจเข้าใจตามความคิดของพยานเองว่า บิ๊กบอส หรือ ซูเปอร์บอส คือจำเลยที่ 1 ดังนั้น ชั้นนี้อาจยังฟังไม่ได้ว่าจำเลย 2-5 และ 8-27 ร่วมกับจำเลยที่ 1"
ข้อความดังกล่าวที่สื่อนำเสนอเอาไว้ ไม่ได้ปรากฏอยู่ในเอกสารข่าวคดีปล่อยกู้กรุงไทยฯ อย่างเป็นทางการของศาลฎีกาฯ ที่หาอ่านได้ในเว็บไซต์ ของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ แต่เป็นส่วนหนึ่งของคำพิพากษากลางที่มีการอ่านกันในห้องพิจารณาคดี ตามการรายงานข่าวของสื่อมวลชน ที่ไปทำข่าวดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม เพื่อความถูกต้องสมบูรณ์ของคดี คงต้องรอให้มีการเผยแพร่คำพิพากษากลางของศาลฎีกาฯ ออกมาอย่างเป็นทางการก่อน โดยเฉพาะหากมีคำพิพากษาส่วนตนขององค์คณะฯ ออกมาด้วยทั้ง 9 คน ที่คงปรากฏออกมาในเร็ววันนี้ ถ้ามีออกมาแล้ว สังคมจะได้พิจารณารายละเอียดทั้งหมดของคำพิพากษา ว่ามีข้อความเชื่อมประโยคนี้ทั้งก่อนและหลังอย่างไร ก่อนจะมาถึงข้อความในส่วนนี้ ถ้าได้เห็นคำพิพากษาทั้งหมด น่าจะถูกต้องเหมะสมกว่า
ก็อย่างที่ทราบกันดี เมื่อคดีนี้ ทักษิณ ไม่ได้ไปปรากฏตัวที่ศาลฎีกาฯในการพิจารณาคดีนัดแรก เมื่อช่วงปี 2555 จึงทำให้องค์คณะฯ ก็เลยออกหมายจับทักษิณ พร้อมกับจำหน่ายชื่อออกจากสารบบคดีเอาไว้ชั่วคราว แต่คดีก็ดำเนินต่อไปโดยใช้เวลาในการไต่สวนนานร่วม 3 ปี คือตั้งแต่กลางปี 2555 มาจนถึง 26 ส.ค. 58 จึงมีการอ่านคำพิพากษา เมื่อทักษิณถูกจำหน่ายชื่อออกจากสารบบ จึงทำให้กระบวนการพิจารณาไต่สวนพยานในส่วนของทักษิณ ไม่เกิดขึ้น
คำพิพากษาของศาลฎีกาฯ จึงไม่ได้มีการระบุถึงทักษิณไว้ แต่เมื่อสื่อนำเสนอข่าวตอนหนึ่งของคำพิพากษาคดีดังกล่าวไว้ข้างต้น จึงยังไม่สามารถกล่าวถึงอะไรได้ในเวลานี้
แต่สำหรับผู้ติดตามการสอบสวนคดีปล่อยกู้ของธนาคารกรุงไทยฯ ที่มีการสอบสวนอย่างจริงจังในชั้นคณะกรรมการ คตส. มาตลอด จนกระทั่งคดีมีการโอนต่อไปให้คณะกรรมการป.ป.ช. หลังคตส.หมดวาระลง แล้วสุดท้ายก็ส่งไปให้อัยการสูงสุดสั่งฟ้อง ทุกคนก็จะทราบกันดีอยู่แล้วว่า ก่อนหน้านี้ มีการตั้งข้อกล่าวหาตอนคดีอยู่ในชั้น คตส.ว่า มี”เครือข่ายนักการเมือง”ที่มีอำนาจในช่วงการปล่อยกู้ดังกล่าวของธนาคารกรุงไทย ให้กับลุ่ม บมจ.กฤษดามหานคร ได้รับประโยชน์จากการปล่อยกู้ดังกล่าว
จนสื่อนำเสนอข่าวว่า คตส. มีการระบุบุคคลที่ถูกไต่สวนในสำนวนนี้นอกเหนือจากอดีตผู้บริหารธนาคารกรุงไทย-กลุ่มกฤษดามหานครแล้วก็ยังมีบุคคลที่มีการไต่สวนคนอื่นๆ รวมอยู่ด้วย คือ นายพานทองแท้ ชินวัตร -นางกาญจนาภา หงส์เหิน เลขานุการส่วนตัว และคนสนิทของคุณหญิงพจมาน ชินวัตร -นายวันชัย หงส์เหิน สามีนางกาญจนาภา และนายมานพ ทิวารี บิดา น.ต.ศิธา ทิวารี อดีตโฆษกรัฐบาลสมัยทักษิณ เป็นนายกฯ ซึ่งคนทั่วไปรู้กันดีว่า น.ต.ศิธา หรือผู้พันปุ่น คือเพื่อนสนิทและหุ้นส่วนทางธุรกิจของพานทองแท้
แต่สุดท้าย พอสำนวนส่งไปที่อัยการ หลังอัยการยื้ออยู่นาน เพราะอัยการบอกว่าสำนวนไม่สมบูรณ์ จนมีข่าวว่าป.ป.ช.เตรียมยื่นฟ้องคดีนี้ต่อศาลฎีกาฯเอง เพราะดูท่าอัยการที่เวลานั้นมี จุลสิงห์ วสันต์สิงห์ เป็นอัยการสูงสุด อาจสั่งไม่ฟ้อง สุดท้ายจุลสิงห์ ก็สร้างเซอร์ไพรส์ เมื่อยื่นฟ้องคดีต่อศาลฎีกาฯ
แต่การยื่นฟ้องดังกล่าว พวกเครือข่ายนักการเมือง หลายคนที่เคยปรากฏชื่อในชั้นไต่สวนของคตส. ก็ไม่มีชื่อในสำนวนฟ้อง คงมีเพียง ทักษิณ ชินวัตร คนเดียว ส่งผลให้สุดท้ายมีจำเลยในคดี 27 ราย จากที่เดิมสำนวนของคตส.ส่งไปมี 31 ชื่อ
ซึ่งการที่นักการเมือง-เครือข่ายนักการเมืองบางคนไม่มีชื่อถูกฟ้องนั้น จริงๆ แล้ว บางชื่อในชั้นคตส. ก็มีกรรมการบางคนก็เห็นว่า พยานหลักฐานต่างๆโยงไปไม่ถึง ข่าวลือเรื่องการโอนเช็คอะไรต่างๆ ก็ไม่สามารถหาหลักฐานมายืนยันแบบชัดแจ้งได้ ด้วยเหตุนี้เมื่ออัยการสูงสุดยื่นฟ้องนักการเมืองแค่ทักษิณ คนเดียว หลายชื่อหลุดในชั้นอัยการ จึงไม่ค่อยมีเสียงบ่นอะไรออกมาเท่าไหร่จากฝ่ายอดีต คตส.-ป.ป.ช. เพราะได้เห็นสำนวนครบถ้วนทั้งหมด ฟ้อง 27 ราย ก็ถือว่าเยอะแล้ว โดยเฉพาะการสั่งฟ้องทักษิณ ทำให้คดีต้องไปศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ ไม่ใช่ศาลอาญาตามปกติ ที่กระบวนการสู้คดีจะช้ากว่ากันหลายเท่า เลยยอมรับกันได้
หากดูเส้นทางคดีนี้ ตั้งแต่ในชั้น คตส.-ป.ป.ช. มาจนถึงอัยการ รวมถึงกรณีที่สื่อรายงานส่วนหนึ่งของคำพิพากษาศาลฎีกาฯ เมื่อ 26 ส.ค. ที่พาดพิงถึง จำเลยที่ 1 ที่ยกมาไว้ข้างต้น ก็น่าจะทำให้พอเข้าใจอะไรได้ระดับหนึ่ง แต่ก็อย่างที่บอก รอให้มีคำพิพากษาศาลฎีกาฯ ฉบับเต็มอย่างเป็นทางการออกมาก่อนจะดีที่สุด
ส่วนที่ต้องบันทึกไว้ก็คือ คดีความของ ทักษิณ ชินวัตร ในชั้นศาลฎีกาฯ ที่มีการยื่นฟ้องเอาผิดกับทักษิณเอาไว้แล้วคดียังไม่สิ้นสุด ยังค้างคาอยู่ในชั้นศาล จนถึงขณะนี้ มีด้วยกันหลายคดี บางคดีศาลก็มีคำพิพากษาออกมาแล้ว แต่ยังไม่มีคำพิพากษาในส่วนของทักษิณออกมา ซึ่งเหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะเป็นคดีซึ่งมีจำเลยหลายคน และทั้งหมดไม่ได้หนีคดีไปต่างประเทศแบบทักษิณ จึงมีการพิจารณาจนมีคำพิพากษาออกมาได้
ซึ่งไม่ได้มีแค่คดีปล่อยกู้กรุงไทยฯ เท่านั้น แต่ยังมีคดีหวยบนดินอีกหนึ่งคดี ซึ่งคดีนี้แม้ศาลฎีกาฯ จะตัดสินคดีนี้มาหลายปีแล้ว แต่เมื่อตอนศาลไต่สวนและตัดสินคดี ทักษิณหนีคดีไปแล้ว ไม่ได้มาสู้คดี จึงมีการจำหน่ายชื่อทักษิณออกจากสารบบคดีไว้ชั่วคราวแบบคดีปล่อยกู้กรุงไทยฯนั่นเอง
เท่ากับว่า คดีหวยบนดิน-คดีปล่อยกู้กรุงไทย เป็นสองคดีที่มีการอ่านคำพิพากษาไปแล้ว แต่ยังไม่มีการอ่านคำพิพากษาในส่วนของตัวทักษิณ นั่นเอง
ในส่วนของคดีที่ทักษิณ ถูกยื่นฟ้องเป็นจำเลยต่อศาลฎีกาฯ เพียงคนเดียว คดีแบบนี้ เมื่อทักษิณหลบหนีคดีอยู่ต่างประเทศ ไม่ได้มาสู้คดี จึงต้องจำหน่ายชื่อออกไปก่อน รอวันไหนได้ตัวทักษิณกลับมา ก็ค่อยมาเปิดห้องพิจารณาคดีกันต่อไป พบว่าทักษิณ มีคดีค้างแบบนี้ในศาลฎีกาฯด้วยกันตอนนี้ที่เห็นๆ ก็มีด้วยกัน 3 คดี คือ
1. คดีฟ้องทักษิณ ชินวัตร ทำความผิดกรณีใช้อำนาจหน้าที่ทางการเมืองขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทชินคอร์ป ผู้ประกอบการธุรกิจโทรคมนาคมผ่านการแปลงสัญญาสัมปทานธุรกิจโทรคมนาคม 2. คดีปล่อยเงินกู้ของเอ็กซิมแบงก์ หรือธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย 3. คดีปกปิดบัญชีทรัพย์สินหนี้สินอันเป็นเท็จ หรือคดีซุกหุ้นชินคอร์ป
เมื่อรวมกับคดีหวยบนดิน และคดีปล่อยกู้กรุงไทยฯ เบ็ดเสร็จ ทักษิณ มีคดีค้างอยู่ในชั้นศาลฎีกาฯ ทั้งที่รอการไต่สวนคดี -รอการอ่านคำพิพากษา รวมทั้งสิ้น 5 คดี แค่คดีที่ดินรัชดาฯ ก็ทำเอาต้องเป็นสัมภเวสี อยู่ต่างประเทศมาหลายปี และอาจตลอดชีวิต ถ้ารวมอีก 5 คดีดังกล่าวที่ยังไม่รู้จะออกหัวออกก้อย
บอกได้คำเดียว ถ้าไม่มีการนิรโทษกรรม ทักษิณ ไม่มีทางได้กลับมาเหยียบแผ่นดินไทย