ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - 05.30 นาฬิกาของวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ.2558
พระสุเทพ ปภากโร ได้ “ลาสิกขา” หรือ “สึก” จากสมณเพศ ณ วัดไตรธรรมาราม อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยมีพระธรรมวิมลโมลี เจ้าอาวาสและเจ้าคณะภาค 16 ผู้เป็นอุปัชฌาย์เป็นผู้ทำพิธีให้
รวมแล้วนายสุเทพอยู่ในสมณเพศเป็นเวลา 1 ปีกับอีก 13 วันหลังจากตัดสินใจบรรพชาอุปสมบทเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ.2557
และแน่นอนว่า นับจากนี้สังคมกำลังเฝ้าจับตาถึงบทบาทของ “ทิดเทือก” ในฐานะอดีตเลขาธิการคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข(กปปส.) ว่า จะดำเนินไปในทิศทางใด
เป็นไปตาม ฉากหน้า ที่ได้ประกาศเอาไว้คือการเดินหน้าผลักดัน “การปฏิรูปประเทศไทย” โดยกระทำในนามของ “มูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย” ให้เป็นไปตามพันธสัญญาที่ได้ให้ไว้กับมวลมหาประชาชนซึ่งออกจากบ้านสู่ท้องถนนเพื่อขับไล่รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
หรือ มีวาระซ่อนเร้น เพื่อปฏิบัติการทางการเมืองเพื่อแก้ไขสถานการณ์ทางการเมืองที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กำลังเผชิญและเข้าขั้นวิกฤติในขณะนี้ให้คลี่คลาย
ทั้งนี้ หากวิเคราะห์กันตามหน้าเสื่อ เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า คงมิได้เป็นไปตามฉากหน้าคือการเดินหน้าผลักดันการปฏิรูปประเทศไทย หรือถ้าจะเป็นก็คงทำ “พอเป็นพิธี” มิได้เดินหน้าท้าฟัน ตะบี้ตะบันกดดันคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นหัวหน้าอย่างแน่นอน
เพราะเป็นที่รับรู้อย่างกว้างขวางแล้วว่า คณะรักษาความสงบแห่งชาตินั้น เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ จนยากที่จะแยกกันออก ดังที่นายสุเทพแสดงให้เห็นมาหลายต่อหลายครั้ง โดยเฉพาะเมื่อครั้งที่หลวงลุงกำนันยังอยู่ในร่มกาสาวพัสตร์ที่เดินสายขึ้นธรรมมาสน์เทศน์กู้วิกฤตศรัทธา คสช.ให้เห็นอย่างต่อเนื่อง
แทนที่หลวงลุงกำนันจะอาศัยผ้าเหลืองซึ่งผู้คนเลื่อมใสศรัทธาเตือนสติรัฐบาลเมื่อกระทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง หรือมิได้เป็นไปตามแนวทางที่ กปปส.เคยตั้งธงเอาไว้ หลวงลุงกำนันกลับคอยปกป้องรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ในแทบจะทุกเรื่อง ต่างกันก็เพียงเปลี่ยนจากการทำให้คน “มโน” ในภาพของลุงกำนันเป็น “มโน” ในบทบาทของ พระสุเทพ ปภากโรเท่านั้น
ยกตัวอย่างเช่น กรณี “เกาะเต่า” เพราะยังไม่ทันทีเรื่องจะดำเนินไปถึงขั้นตอนไหน หลวงลุงกำนันออกหน้าด้วยตัวเองโดยการนำพุทธศาสนิกชนไปทำบุญทอดกฐินที่วัดเกาะเต่า แถมยังให้สัมภาษณ์แสดงความเชื่อมั่นในการทำงานของตำรวจ ทั้งๆ ที่คนไทยแทบจะทั้งประเทศและชาวต่างชาติพากันคลางแคลงใจจนกระทั่งรัฐบาลพม่าและอังกฤษ ได้ขอเข้ามามีส่วนร่วมอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
ส่วนเรื่องปัญหายางพาราที่ทำท่าว่าจะลุกลามบานปลายออกไป หลวงลุงกำนันก็บากหน้าออกมาขอร้องมวลมหาประชาชน กปปส.เช่นเคย โดยขอให้ มวลชน กปปส.ให้โอกาส พล.อ.ประยุทธ์ และล้มแผนทำม็อบเพราะเชื่อว่ารัฐบาลจะแก้ไขปัญหาได้แต่ต้องอาศัยเวลา โดยทิ้งประโยคเด็ดเอาไว้ว่า “คสช.เป็นพวกเดียวกับเรา” จึงต้องให้กำลังใจ
กระทั่งในที่สุดภาพความชัดเจนในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างหลวงลุงกำนันกับพล.อ.ประยุทธ์ก็แจ่มแจ้งแดงแจ๋โดยไม่ต้องอาศัยคำอธิบายใดๆ เพิ่มเติมผ่านบทสัมภาษณ์พิเศษล่าสุดในหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ฉบับวันอังคารที่ 21 ตุลาคม 2557
ทั้งนี้ นอกจากหลวงลุงกำนันจะได้เอ่ยปากรับประกัน พล.อ.ประยุทธ์อย่างออกหน้าออกตาแล้ว หลวงลุงกำนันยังไม่ให้มวลมหาประชาชน กปปส.เข้าไปแทรกแซงการทำงานของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ อีกต่างหาก
“ในใจเรามวลมหาประชาชนก็ฝากความหวังไว้ที่ พล.อ.ประยุทธ์มาก เพราะ พล.อ.ประยุทธ์เราเห็นว่าเป็นคนซื่อสัตย์สุจริต เป็นคนจงรักภักดีต่อแผ่นดิน และเราชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์เป็นคนจริง ทำจริง ยังไงก็ต้องผลักดันการปฏิรูปประเทศไปในทิศทางที่ประชาชนเขาตั้งความหวังไว้ เพราะฉะนั้น เรา กปปส.มวลมหาประชาชนก็ไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรในขณะนี้ อยู่เฉย เข้าวัดเข้าวา ศึกษาธรรมะ ปฏิบัติธรรมะไป ปล่อยให้ พล.อ.ประยุทธ์ได้บริหารบ้านเมืองไปโดยไม่มีแรงกดดันจากฝ่ายเราใดๆ ทั้งสิ้น”
ชัดเจนโดยไม่ต้องการคำอธิบายใดๆ เพิ่มเติมว่า มวลมหาประชาชน กปปส.มีหน้าที่สนับสนุนการทำงานของรัฐบาลเพียงสถานเดียว โดยไม่ต้องมีคำถามและข้อสงสัยใดๆ เกิดขึ้น เพราะหลวงลุงกำนันมั่นใจในตัวนายกรัฐมนตรีผู้นี้เป็นอย่างมาก และไม่ใช่ครั้งเดียวที่หลวงลุงกำนันเอ่ยปากรับประกันความดีของ พล.อ.ประยุทธ์ หากแต่ปรากฏในบทสัมภาษณ์ชิ้นนี้หลายต่อหลายครั้ง
“อาตมาไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ อาตมาเชื่อมั่นว่า พล.อ.ประยุทธ์เป็นผู้นำที่เหมาะสมในสถานการณ์เช่นนี้ ที่จะพาประเทศไปหาแสงสว่างได้ตามเจตนารมณ์ของประชาชน พล.อ.ประยุทธ์ที่อาตมารู้จักเป็นคนที่ซื่อสัตย์สุจริต เป็นคนที่จงรักภักดีต่อแผ่นดิน ไม่มีข้อสงสัย ดังนั้น อาตมามั่นใจ ไว้วางใจและอาตมาก็ได้บอกสมาชิก กปปส.ของอาตมาว่าให้ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ ให้เอาใจช่วย อย่าไปสร้างแรงกดดัน ทำให้เขาเสียกำลังใจ ช่วยเขา มีความคิดความอ่านอะไรก็บอกเขา”(ย้ำเสียงหนักแน่น)
ล่าสุด ก่อนสึกเพียงแค่ 1 วัน หลวงลุงกำนันก็ยังทำตนเป็นกองเชียร์รัฐบาลทหารอย่างเสมอต้นเสมอปลาย
วันที่ 27 กรกฎาคม ที่วัดธารน้ำไหล สวนโมกขพลาราม จ.สุราษฎร์ธานี พระสุเทพ กล่าวถึงการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ว่า “เป็นเรื่องที่ดีมาก อาตมาถึงได้เชียร์พล.อ.ประยุทธ์ มาตลอด เพราะท่านทำอะไรดีๆมาตลอด ได้ยินแบบนี้ก็ชื่นใจ ขอชื่นชมว่าพล.อ.ประยุทธ์ ตัดสินใจถูกต้อง การปรับครม.ไม่ต้องเอานักการเมืองเข้าไป เพราะถ้านักการเมืองเก่งแล้ว พล.อ.ประยุทธ์จะมายึดอำนาจทำไม เพราะนักการเมืองพาบ้านเมืองไปไม่ได้ จึงเกิดความวุ่นวายเสียหาย และเมื่อมายึดอำนาจแล้วก็จะต้องใช้อำนาจพิเศษให้เต็มที่ เพราะอำนาจที่มีตามปกติที่นักการเมืองเคยใช้นั้นใช้ไม่ได้ และวันนี้อยู่ในสถานการณ์พิเศษ รัฐบาลต้องใช้อำนาจพิเศษ มาตรการพิเศษ การที่จะปรับครม.ทำได้ เมื่อตัดสินใจไม่เอานักการเมืองต้องขอชื่นชมว่าคิดถูกแล้ว เพราะไม่ใช่เวลาของนักการเมือง”
กระนั้นก็ดี ดูเหมือนสถานการณ์ ณ ขณะนี้จะไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับ “ทิดเทือก” เสียแล้วสำหรับการรับบท “องครักษ์พิทักษ์ คสช.” เฉกเช่นเดียวกับ “เสธ.น้ำเงิน” ขุนพลทางด้านการโฆษณาชวนเชื่อในเครือข่ายสังคมออนไลน์ เพราะต้องยอมรับว่า รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์กำลังเผชิญศึกที่หนักหนาสาหัสที่สุดกระทั่งทำให้ “ต้นทุน” ที่เคยพุ่งปรี๊ดในช่วงรัฐประหารหายวับไปในช่วงพริบตา อันเป็นผลพวงมาจากฝีไม้ลายมือในการบริหารราชการแผ่นดินในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่เข้าขั้นตรีทูต
ภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำกว่าที่คาดไว้ ซึ่งสำนักเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) ออกมายอมปรับลดตัวเลขประมาณการเศรษฐกิจ และคาดว่าจีพีดีจะเติบโตเหลือเพียงแค่ 3% จากเดิมที่ตั้งเป้าไว้ 3.7%
ตัวเลขการส่งออกของไทยในรอบ 6 เดือนที่ติดลบไปแล้ว 4.84%
หนี้สินภาคครัวเรือนที่มากขึ้น
สินค้าเกษตรราคาตกต่ำและไม่มีวี่แววที่จะคลี่คลาย
ขณะที่การจัดการกับระบอบทักษิณซึ่งเป็นโจทย์ใหญ่ของมวลมหาประชาชน กปปส.ก็มิได้มีท่าทีจริงจังอะไร แถมยังส่อเค้าไปในทางปรองดองสมานฉันท์กันอีกต่างหาก ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ การถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่บัดนี้ถูกเก็บดองด้วยฝีมือของ “บิ๊กอ๊อด-พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง” ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติแบบปิดตาย
การปฏิรูปตำรวจก็เงียบสงบเป็นเป่าสาก
และทันทีที่สึก นายสุเทพก็แสดง “อิทธิฤทธิ์” ให้เห็นต่อสายตาประชาชนในทันทีด้วยการเดินทางไปรับหนังสือร้องเรียนจากเจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัดสำนักงานตำรวจภูธร ภาค 8 ที่สำนักงานตำรวจภูธรภาค 8 อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งขอให้ช่วยเหลือกรณี พล.ต.ท.เดชา บุตรน้ำเพชร ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 มีคำสั่งย้ายสำนักงานตำรวจภูธรภาค 8 ไปอยู่ที่จังหวัดภูเก็ต โดยมีผลในวันที่ 29 กรกฎาคม
ทั้งนี้ หลังจากรับหนังสือร้องเรียนดังกล่าว นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ได้ทำหนังสือถึง พล.ต.ท.เดชา บุตรน้ำเพชร ผู้บัญชาการตำรวจภูธร ภาค 8 ทันที ขอให้ระงับการโยกย้ายกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 จากจังหวัดสุราษฎร์ธานี ไปอยู่จังหวัดภูเก็ตไว้ก่อน
เป็นอย่างไรกันบ้าง เห็นการ “โชว์พาว” ของ “ทิดเทือก” กันบ้างแล้วหรือยัง
นี่ใช่หน้าที่...นี่เป็นการปฏิรูปตำรวจในแนวคิดของทิดเทือกเช่นนั้นหรือ
การปฏิรูปพลังงานก็เป็นไปท่วงทำนองเดียวกับกลุ่มทุนพลังงาน มิได้สนใจที่จะรับฟังความเห็นของภาคประชาชน หรือถ้ารับฟังก็ทำเพื่อซื้อเวลาเป็นหลัก ไม่ได้มีอะไรคืบหน้าเลยนอกจากความพยายามของรัฐบาลในการผลักดันโครงการต่างๆ เช่น โรงไฟฟ้าถ่านหิน จังหวัดกระบี่ หรือความพยายามที่จะเดินหน้าเปิดสัมปทานรอบที่ 21
ซ้ำร้ายกลายเป็นว่าคนที่เคยขึ้นเวทีฝ่ายก ปปส.และเป็นตัวหลักในเรื่องนี้ อย่างปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ คสช.ก็ตั้งให้เป็นประธานบอร์ดปตท.ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ถามว่า ประชาชนได้ประโยชน์อะไรเป็นชิ้นเป็นอันบ้าง
นอกจากการปกป้องและชูรักแร้เชียร์ตะบี้ตะบัน ทิดเทือกเคยตั้งคำถามและทวงถามความคืบหน้าเอากับรัฐบาลลุงตู่บ้างหรือไม่
ส่วนการตั้งวิทยาลัยอาชีวศึกษาต้นแบบที่เกาะสมุย ซึ่งใช้ชื่อว่า วิทยาลัยศึกษาภาวนาโพธิคุณ แม้จะเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ และควรให้การสนับสนุน ก็ต้องยอมรับความจริงกันว่าเป็นเพียงกิจกรรมยามว่าง เป็นกระพี้ ไม่ใช่แก่นที่คนอย่างผู้นำมวลมหาประชาชนอย่างทิดเทือกจะต้องทำตามความคาดหวังเมื่อครั้งชุมนุมใหญ่ขับไล่รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ โดยชูคำขวัญ “ปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง”
แม้กระทั่ง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ก็ยังพูดให้สัมภาษณ์ก่อนการลาสิกขาของพระสุเทพว่า “ผมเข้าใจว่าท่านก็ยังคงจะดำเนินการอยู่อย่างที่เคยเป็นผู้นำมวลชน ที่เรียกร้องการปฏิรูป ที่ทุกวันนี้เองก็ยังไม่ได้ไปสู่เป้าหมายนั้น”
คำถามก็คือ ต้นทุนของทิดเทือกมีเหลือพอที่จะค้ำบัลลังก์รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์หรือไม่
และคำถามคือ ต้นทุนที่เหลืออยู่ของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์จะมีมากพอให้ทิดเทือกช่วยฟื้นฟูหรือไม่
แน่นอน ทิดเทือกประกาศจะเดินหน้าขับเคลื่อนเรื่องการปฏิรูป โดยจะทำในนาม “มูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย”
แต่จับยามสามตาดูแล้ว บทบาทของทิดเทือกคงเป็นไปในท่วงทำนองของการติดชึ่ง ออกฟุตเวิร์กไปมา สลับกับการออกหมัดตรงบ้างเป็นบางครั้ง แถมยังจะช่วยเสริมการสร้างภาพลักษณ์ให้กับรัฐบาล คสช.เสียด้วยซ้ำไป ดังเช่นที่ “ขิง” เอกนัฏ พร้อมพันธุ์” โฆษก กปปส. กรรมการและเลขานุการมูลนิธิ ผู้เป็นลูกเลี้ยงของนายสุเทพประกาศไว้ว่า
“ขอยืนยันว่ามูลนิธิฯ ถูกจัดตั้งอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อสานต่อภารกิจของมวลมหาประชาชน ในฐานะประชาชนคนไทย ที่จะผลักดันการปฏิรูปอย่างสร้างสรรค์ เพื่อประโยชน์ของส่วนรวม จะไม่มีการสร้างเงื่อนไขใดๆ ที่นําไปสู่ความขัดแย้งทางการเมือง และไม่เป็นอุปสรรคต่อการเดินหน้าขับเคลื่อนการปฏิรูปตามแผนงานของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)”
30 กรกฎาคม วันอาสาฬหบูชา
นายสุเทพพร้อมแกนนำ อาทิ นายถาวร เสนเนียม นายอิสสระ สมชัย นายวิทยา แก้วภราดรัย นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ น.ส.จิตภัสร์ กฤดากร นายพุฒิพงษ์ ปุณณกันต์ และนายชุมพล จุลใส ได้ฤกษ์งามยามดีแถลงข่าวเปิดตัว “มูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย” พร้อมตอบคำถามถึงบทบาททางการเมืองนับจากนี้เป็นต้นไปอย่างเป็นทางการ
ทั้งนี้ เนื้อหาสาระส่วนใหญ่นายสุเทพอรรถาธิบายเกี่ยวกับการทำงานของมูลนิธิฯ ว่าจะทำอะไร ที่ไหน อย่างไร โดยระบุว่า มูลนิธิจะเป็นศูนย์รวมในการรวบรวมข้อเสนอแนะแนวทางสร้างสรรค์เพื่อการปฏิรูปประเทศ โดยเปิดให้ทุกคนมีสิทธิเสนอความเห็น
“เราพร้อมจะปฏิบัติตามคำสั่งคสช. ที่เป็นกฎหมาย ใครจะมาว่า ไม่เป็นประชาธิปไตยไม่ใช่ เราอยู่ในประเทศนี้ก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมายประเทศนี้ เราไม่ต้องการให้ใครกล่าวหาว่า คสช.สองมาตรฐาน ยืนยันว่า เราไม่มีผลประโยชน์ในทางการเมือง”
นายสุเทพกล่าวพร้อมประกาศยืนยันเจตนารมณ์เดิมว่า “เราต้องการให้มีการปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง พวกเราสืบทอดเจตนารมณ์ของมวลมหาประชาชน เราต้องการเห็นรัฐบาลนี้ปฏิรูปประเทศให้สำเร็จ ก่อนมีการเลือกตั้ง โดยไม่จำเป็นว่าต้องใช้เวลาเท่าไร”
“เราอยากเห็นท่านทำสำเร็จ แต่หากเห็นว่าท่านผลักดันไปในแนวทางไม่ถูกต้อง เราก็ต้องเสนอความเห็นไปยังท่าน เราจะไม่เดินขบวนไป แต่เราจะส่งตัวแทนไปยื่นหนังสืออย่างเรียบร้อย”
เมื่อถามว่า มองการบริหารงานของรัฐบาลเป็นอย่างไร
นายสุเทพ กล่าวว่า มวลมหาประชาชนต้องการปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง ซึ่งขณะนี้แม่น้ำหลายสายกำลังทำงานอยู่ เราขอไม่วิจารณ์ งานเขายังไม่เสร็จ แต่ เมื่อไรหากมีความเห็นต่างก็จะยื่นหนังสือไป ซึ่งที่ผ่านมา การเคลื่อนไหวของ กปปส. ไม่เคยพูดเรื่องเวลา ไม่มีกรอบ เรานึกถึงผลสำเร็จเป็นสำคัญว่า ต้องปฏิรูปให้เสร็จเรียบร้อยก่อนเลือกตั้ง เพราะมิเช่นนั้น เราจะได้นักการเมืองแบบเก่าเข้ามาอีก
...เมื่อต่างเป็นคอหอยกับลูกกระเดือกขนาดนี้ ดังนั้น สังคมไม่มีวันได้เห็นการบี้บด การทวงถามเรื่องการปฏิรูปอย่างเอาจริงกับรัฐบาล คสช.และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ออกมาจากปากของทิดเทือกอย่างแน่นอน
เชื่อหัวไอ้เรืองเถ๊อะ...