“น้องตั๊น - จิตภัสร์” แถลงน้ำตาคลอพ้อไร้วาสนาสวมเครื่องแบบ ตร. ยอมยุติกระบวนการคัดเลือก หวั่นเป็นชนวนขัดแย้ง ยันเดินหน้าทำงานภาคประชาชนต่อไป “บิ๊กป้อม” บอกเรื่องของตำรวจ ส่วนตัวเป็นแค่ลุง-หลาน ผบ.ตร.ยันหนุ่มในรูปคู่ไม่ใช่ลูกชาย ปัดหนุนให้สมัครเข้า 191 “ลุงกำนัน” ชูเป็นคนดีเสียดายแทน สตช. โวย กปปส.-นปช.ต้องมีสิทธิ์เท่าเทียมสมัคร ตร. ไม่เข้าใจต่อต้านทำไม
ที่โรงแรมดุสิตธานี น.ส.จิตภัสร์ กฤดากร ผู้ช่วยและกรรมการมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย แถลงกรณีการสมัครเข้ารับราชการตำรวจในสังกัดกองบังคับการสายตรวจปฏิบัติการพิเศษ 191 (รองสารวัตร 191) กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ว่า ตนมีเจตนารมรณ์ตั้งใจทำงานเพื่อสร้างประโยชน์ให้กับสังคมและประเทศชาติ ซึ่งเป็นภาระหน้าที่ทำมาต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2551 จนถึงปัจจุบัน ตั้งแต่สมัคร ส.ส. ทำงานการเมืองที่ผ่านมา แม้ไม่ได้รับการเลือกตั้ง แต่ก็ทำงานเชิงจิตอาสาตลอด 7 ปี ขอยืนยันในความบริสุทธิ์ใจ ที่อยากมีส่วนในการทำหน้าที่ตำรวจ หรือผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ มีหน้าที่คอยดูแลบำบัดทุกข์ บำรุงสุข ใกล้ชิดพี่น้องประชาชนอีกทาง ซึ่งตำรวจเป็นอาชีพทรงเกียรติ เสียสละ ทำงานหนัก เป็นผู้รักษากฎหมาย เพื่อผดุงความยุติธรรมให้กับประชาชน อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมาส่วนตัวได้ทำงานร่วมกับตำรวจบางสถานการณ์ รับรู้ความทุกข์ยาก โดยเฉพาะตำรวจชั้นประทวน ทำให้มีความเข้าใจและอยากมีส่วนร่วมในการศึกษากระบวนการทำงานของตำรวจ เพราะตำรวจยังขาดแคลนบุคลากร และงบประมาณ ซึ่งถ้ามีโอกาสส่วนตัว ไม่ลังเลที่จะเข้าร่วมเป็นตำรวจ
“การเปิดรับสมัครตำรวจมีประจำทุกปี ต้องผ่านการคัดเลือกตามระเบียบของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) และดิฉันได้ดำเนินการตามปกติ ตามระเบียบที่เกี่ยวข้องทุกประการ ซึ่งยืนยันว่า ดิฉันยังไม่ได้รับบรรจุเป็น ยศ ร.ต.ต. ที่ปรากฏตามสื่อต่างๆ และปัจจุบันยังไม่ทราบว่าจะสอบผ่านการคัดเลือกหรือไม่” น.ส.จิตภัสร์ กล่าว
ยอมถอนตัวหวั่นขยายปมขัดแย้ง
น.ส.จิตภัสร์ ยังกล่าวย้อนไปถึงเหตุการณ์ชุมนุมของกลุ่ม กปปส.ว่า แม้ส่วนตัวมีบทบาทการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ผ่านมา แต่ไม่มีเจตนาเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของพี่น้องตำรวจ เพียงแต่เป็นการแสดงออก ต้องการให้ตำรวจเป็นที่พึ่งแท้จริงของประชาชน แม้ในสถานการณ์การชุมนุมได้เจอกับตำรวจ ต่างมีน้ำจิตน้ำใจไม่ตรีต่อกัน เพราะเข้าใจว่าต่างคนดำเนินการไปตามหน้าที่ ส่วนกรณีมีภาพปรากฏผู้หญิงคนหนึ่งทำลายป้าย สตช. และต่อมามีการนำภาพดังกล่าวตัดต่อว่าเป็นตนเองนั้น ยืนยันว่า ไม่เป็นความจริง รวมถึงการให้สัมภาษณ์ในช่วงชุมนุมที่เป็นภาษาอังกฤษ ก็ไม่เป็นความจริงเช่นกัน ทุกวันนี้น่าเป็นห่วงมาก มีการทำสงครามข่าวสาร โดยไม่คำนึงถึงข้อเท็จจริงแต่ละเหตุการณ์ สะท้อนให้เห็นว่าสังคมไทยในปัจจุบันจมปลักในความขัดแย้ง ไม่ไว้เนื้อเชื่อใจกัน
“เพื่อไม่ให้กรณีของดิฉัน ที่ทำให้พ่อแม่พี่น้องเกิดความไม่สบายใจ และถกเถียงกัน โดยเฉพาะแวดวงข้าราชการตำรวจ ทุกระดับชั้น อันจะทำให้กลายเป็นความไม่สงบสุขในองค์กรตำรวจ หรือ ขยายผลไปเป็นขัดแย้งในสังคม ดิฉันจึงตัดสินใจไม่ดำเนินการต่อไป ตามขั้นการคัดเลือกเป็นข้าราชการตำรวจ" น.ส.จิตภัสร์ ระบุ
พ้อไร้วาสนา-น้ำตาคลอ
ในช่วงท้าย น.ส.จิตภัสร์ กล่าวว่า ขอบคุณทุกกำลังใจ และขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้ง ที่คงไม่มีวาสนาเข้ามาทำงานตำรวจ สวมเครื่องแบบในฐานะผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ และพร้อมนำคำติมาพัฒนาตัวเอง และรับใช้ประชาชน ในฐานะผู้หญิงที่มุ่งมั่นทำงานเพื่อทำประโยชน์ให้ทุกคนอย่างไม่ย่อท้อ และอยากเห็นคนไทยมอบความรักให้กัน แทนความเกลียดชัง บนความขัดแย้งแตกแยก เพื่อเดินหน้าประเทศไทยอย่างแข็งแกร่งยังยืนต่อไป การตัดสินใจเข้าเป็นตำรวจนั้น เป็นการตัดสินใจด้วยตัวเอง ไม่ได้ปรึกษาใคร ซึ่งพอเกิดกระแสสังคมทุกคนในบ้านให้กำลังใจทำงานเพื่อประชาชนต่อไป ไม่ว่าอยู่จุดไหนก็ตาม จะมีตำแหน่งหรือไม่มี ก็ทำงานเพื่อประชาชนและประเทศต่อไป จากนี้ส่วนตัวก็จะทำงานด้านภาคประชาชนต่อไป ในฐานะผู้ช่วยเลขานุการมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศ ขณะที่งานด้านการเมือง ขอปล่อยให้เป็นเรื่องของอนาคต
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศระหว่างการแถลงข่าวนั้น น.ส.จิตภัสร์ มีน้ำเสียงสั่นเครือ และสีหน้าคล้ายกับจะร่ำไห้ในช่วงที่กล่าวถึงการตัดสินถอนตัว และจะไม่ดำเนินการตามกระบวนการขั้นตอนการรับราชการตำรวจ ทั้งนี้ หลังจากแถลงข่าวเสร็จ ได้ตอบคำถามสื่อมวลชนเพียงเล็กน้อย ก่อนลุกออกจากห้องแถลงข่าวไปทันที
“ป้อม” ปัดลึกซึ้งเป็นแค่ลุงกับหลาน
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม กล่าวว่า การเข้ารับราชการตำรวจมีหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนอยู่แล้ว คือถ้าหน่วยไหนอยากได้กำลังพล ก็จะแจ้งไปที่คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ต.ร.) ว่าอยากได้กี่คน และทาง 191 ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลก็ได้ตั้งคณะกรรมการคัดสรรบุคคลที่จะมาสมัคร และเข้าสู่กระบวนการคัดสรร ซึ่งเห็นว่าไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร ตนตอบแบบนี้มาตลอด แต่สื่อก็ยังถามทุกวัน ขอให้ยุติเพียงเท่านี้ เพราะจริงๆ เรื่องนี้เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และถือว่ากระบวนการในขณะนี้ได้จบลงแล้ว อีกทั้งผลการคัดเลือกยังไม่มีข้อสรุปว่าจะได้เป็นตำรวจหรือไม่ด้วย
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะออกกฎระเบียบในการกำหนดคุณสมบัติบุคคลที่จะเข้ามาเป็นข้าราชการตำรวจ ต้องไม่เป็นกลุ่มการเมืองหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า เป็นเรื่องภายใน สตช. เพราะตนมีหน้าที่ในการกำกับนโยบายเท่านั้น ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับฝ่ายปฏิบัติ
เมื่อถามว่า หาก น.ส.จิตภัสร์ต้องการจะมาสมัครเข้าเป็นทหาร พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า เป็นเรื่องส่วนตัวของ น.ส.จิตภัสร์ว่าต้องการจะมาสมัครเข้าเป็นทหารหรือไม่ ยืนยันโดยส่วนตัวไม่มีความสัมพันธ์เป็นพิเศษกับ น.ส.จิตภัสร์ แต่นับถือกันเป็นลุงหลานเท่านั้น ตนสนิทกับทางพ่อแม่ โดยเฉพาะกับคุณปู่ของ น.ส.จิตภัสร์ และยืนยันว่า ไม่มีใครฝากฝังให้ดูแล น.ส.จิตภัสร์เป็นพิเศษ
“สมยศ” ลั่นไม่ได้หนุน “ตั๊น”
พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวว่า เมื่อวันที่ 22 ก.ย.ที่ผ่านมา น.ส.จิตภัสร์ ได้เข้าตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลตำรวจจริง แต่ยังไม่ได้ทำการตรวจสอบประวัติที่กองทะเบียนตรวจสอบประวัติอาชญากรรม ซึ่งขั้นตอนต่อไปจะเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการ บช.น.ว่า น.ส.จิตภัสร์ มีความเหมาะสมในการดำรงตำแหน่งดังกล่าวหรือไม่ ส่วนกรณีที่ น.ส.จิตภัสร์จะถอนตัวจากการสมัคร ก็เป็นสิทธิ์ที่จะสามารถทำได้
พล.ต.อ.สมยศ กล่าวถึงภาพถ่ายที่มีการเผยแพร่ในสังคมออนไลน์ซึ่งระบุว่าเป็น ร.ต.ท.รชต พุ่มพันธุ์ม่วง บุตรชาย ถ่ายภาพร่วมกับ น.ส.จิตภัสร์ ว่า ชายในรูปไม่ใช่ลูกชายตน ส่วนจะเป็นใครนั้นไม่ทราบ แต่ลูกชายตน และ น.ส.จิตภัสร์ รู้จักกันจริงในฐานะนักเรียนไทยที่ไปศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษด้วยกันเท่านั้น ส่วนตนรู้จักกับ น.ส.จิตภัสร์ เพราะเคยเจอทั้งในประเทศไทยและประเทศอังกฤษ แต่ไม่สนิทเป็นการส่วนตัว
ส่วนกระแสข่าวที่ระบุว่ามีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ใน สตช.ให้การช่วยเหลือพา น.ส.จิตภัสร์ ไปสมัครสอบที่ บช.น.นั้น พล.ต.อ.สมยศกล่าวยืนยันว่า ไม่ใช่ตนแน่นอน แต่ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นใคร ซึ่งหากอยากทราบว่าเป็นใครให้สื่อมวลชนหาคำตอบด้วยตนเอง
"สุเทพ" เสียดายแทนตำรวจ
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย กล่าวว่า ถือเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจมาก เพราะการรับสมัครบุคคลที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเข้ารับราชการตำรวจไม่ใช่เพิ่งทำครั้งนี้เป็นครั้งแรก และเผิดรับสมัครผู้ที่มีความรู้เฉพาะด้านที่ตำรวจไม่สามารถผลิตได้เองทุกปี เช่น นักบัญชี หรือช่าง แต่ปีนี้เมื่อมี น.ส.จิตภัสร์ สมัครกลับมีการเคลื่อนไหวต่อต้าน คัดค้าน จึงคิดว่าเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง เพราะชาวไทยมีสิทธิ์เหมือนกันทุกคน จะเป็น กปปส.หรือ นปช.ก็มีสิทธิ์สมัครเข้ารับราชการเท่ากัน ส่วนการสมัครจะได้หรือไม่ก็ยังไม่รู้ เพราะตำรวจก็ต้องคัดเลือกตามกระบวนวิธีการของเขา
“ตำรวจน่าจะดีใจ เพราะคุณจิตภัสร์เป็นคนมีชื่อเสียง เป็นที่นิยมของประชาชนหลายๆล้านคน โดยเฉพาะพี่น้องประชาชนที่เป็น กปปส.ที่คิดว่าคุณจิตภัสร์เป็นคนที่กล้าหาญ มีความรู้ความสามารถ พร้อมเสียสละเพื่อส่วนรวม ถึงขนาดยอมเปลี่ยนนามสกุลเพื่อทำงานตามอุดมการณ์เพื่อบ้านเมือง ซึ่งสมควรได้รับการพิจารณาด้วยซ้ำเพราะจะเป็นผลดีต่อวงการตำรวจไทย การออกมาต่อต้านออกมาขัดขวางถือว่าใจแคบไปหน่อย ควรทำใจกว้าง อย่าไปสร้างปัญหาขึ้นมาอีกเลย” นายสุเทพกล่าว
ที่โรงแรมดุสิตธานี น.ส.จิตภัสร์ กฤดากร ผู้ช่วยและกรรมการมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย แถลงกรณีการสมัครเข้ารับราชการตำรวจในสังกัดกองบังคับการสายตรวจปฏิบัติการพิเศษ 191 (รองสารวัตร 191) กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ว่า ตนมีเจตนารมรณ์ตั้งใจทำงานเพื่อสร้างประโยชน์ให้กับสังคมและประเทศชาติ ซึ่งเป็นภาระหน้าที่ทำมาต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2551 จนถึงปัจจุบัน ตั้งแต่สมัคร ส.ส. ทำงานการเมืองที่ผ่านมา แม้ไม่ได้รับการเลือกตั้ง แต่ก็ทำงานเชิงจิตอาสาตลอด 7 ปี ขอยืนยันในความบริสุทธิ์ใจ ที่อยากมีส่วนในการทำหน้าที่ตำรวจ หรือผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ มีหน้าที่คอยดูแลบำบัดทุกข์ บำรุงสุข ใกล้ชิดพี่น้องประชาชนอีกทาง ซึ่งตำรวจเป็นอาชีพทรงเกียรติ เสียสละ ทำงานหนัก เป็นผู้รักษากฎหมาย เพื่อผดุงความยุติธรรมให้กับประชาชน อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมาส่วนตัวได้ทำงานร่วมกับตำรวจบางสถานการณ์ รับรู้ความทุกข์ยาก โดยเฉพาะตำรวจชั้นประทวน ทำให้มีความเข้าใจและอยากมีส่วนร่วมในการศึกษากระบวนการทำงานของตำรวจ เพราะตำรวจยังขาดแคลนบุคลากร และงบประมาณ ซึ่งถ้ามีโอกาสส่วนตัว ไม่ลังเลที่จะเข้าร่วมเป็นตำรวจ
“การเปิดรับสมัครตำรวจมีประจำทุกปี ต้องผ่านการคัดเลือกตามระเบียบของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) และดิฉันได้ดำเนินการตามปกติ ตามระเบียบที่เกี่ยวข้องทุกประการ ซึ่งยืนยันว่า ดิฉันยังไม่ได้รับบรรจุเป็น ยศ ร.ต.ต. ที่ปรากฏตามสื่อต่างๆ และปัจจุบันยังไม่ทราบว่าจะสอบผ่านการคัดเลือกหรือไม่” น.ส.จิตภัสร์ กล่าว
ยอมถอนตัวหวั่นขยายปมขัดแย้ง
น.ส.จิตภัสร์ ยังกล่าวย้อนไปถึงเหตุการณ์ชุมนุมของกลุ่ม กปปส.ว่า แม้ส่วนตัวมีบทบาทการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ผ่านมา แต่ไม่มีเจตนาเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของพี่น้องตำรวจ เพียงแต่เป็นการแสดงออก ต้องการให้ตำรวจเป็นที่พึ่งแท้จริงของประชาชน แม้ในสถานการณ์การชุมนุมได้เจอกับตำรวจ ต่างมีน้ำจิตน้ำใจไม่ตรีต่อกัน เพราะเข้าใจว่าต่างคนดำเนินการไปตามหน้าที่ ส่วนกรณีมีภาพปรากฏผู้หญิงคนหนึ่งทำลายป้าย สตช. และต่อมามีการนำภาพดังกล่าวตัดต่อว่าเป็นตนเองนั้น ยืนยันว่า ไม่เป็นความจริง รวมถึงการให้สัมภาษณ์ในช่วงชุมนุมที่เป็นภาษาอังกฤษ ก็ไม่เป็นความจริงเช่นกัน ทุกวันนี้น่าเป็นห่วงมาก มีการทำสงครามข่าวสาร โดยไม่คำนึงถึงข้อเท็จจริงแต่ละเหตุการณ์ สะท้อนให้เห็นว่าสังคมไทยในปัจจุบันจมปลักในความขัดแย้ง ไม่ไว้เนื้อเชื่อใจกัน
“เพื่อไม่ให้กรณีของดิฉัน ที่ทำให้พ่อแม่พี่น้องเกิดความไม่สบายใจ และถกเถียงกัน โดยเฉพาะแวดวงข้าราชการตำรวจ ทุกระดับชั้น อันจะทำให้กลายเป็นความไม่สงบสุขในองค์กรตำรวจ หรือ ขยายผลไปเป็นขัดแย้งในสังคม ดิฉันจึงตัดสินใจไม่ดำเนินการต่อไป ตามขั้นการคัดเลือกเป็นข้าราชการตำรวจ" น.ส.จิตภัสร์ ระบุ
พ้อไร้วาสนา-น้ำตาคลอ
ในช่วงท้าย น.ส.จิตภัสร์ กล่าวว่า ขอบคุณทุกกำลังใจ และขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้ง ที่คงไม่มีวาสนาเข้ามาทำงานตำรวจ สวมเครื่องแบบในฐานะผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ และพร้อมนำคำติมาพัฒนาตัวเอง และรับใช้ประชาชน ในฐานะผู้หญิงที่มุ่งมั่นทำงานเพื่อทำประโยชน์ให้ทุกคนอย่างไม่ย่อท้อ และอยากเห็นคนไทยมอบความรักให้กัน แทนความเกลียดชัง บนความขัดแย้งแตกแยก เพื่อเดินหน้าประเทศไทยอย่างแข็งแกร่งยังยืนต่อไป การตัดสินใจเข้าเป็นตำรวจนั้น เป็นการตัดสินใจด้วยตัวเอง ไม่ได้ปรึกษาใคร ซึ่งพอเกิดกระแสสังคมทุกคนในบ้านให้กำลังใจทำงานเพื่อประชาชนต่อไป ไม่ว่าอยู่จุดไหนก็ตาม จะมีตำแหน่งหรือไม่มี ก็ทำงานเพื่อประชาชนและประเทศต่อไป จากนี้ส่วนตัวก็จะทำงานด้านภาคประชาชนต่อไป ในฐานะผู้ช่วยเลขานุการมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศ ขณะที่งานด้านการเมือง ขอปล่อยให้เป็นเรื่องของอนาคต
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศระหว่างการแถลงข่าวนั้น น.ส.จิตภัสร์ มีน้ำเสียงสั่นเครือ และสีหน้าคล้ายกับจะร่ำไห้ในช่วงที่กล่าวถึงการตัดสินถอนตัว และจะไม่ดำเนินการตามกระบวนการขั้นตอนการรับราชการตำรวจ ทั้งนี้ หลังจากแถลงข่าวเสร็จ ได้ตอบคำถามสื่อมวลชนเพียงเล็กน้อย ก่อนลุกออกจากห้องแถลงข่าวไปทันที
“ป้อม” ปัดลึกซึ้งเป็นแค่ลุงกับหลาน
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม กล่าวว่า การเข้ารับราชการตำรวจมีหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนอยู่แล้ว คือถ้าหน่วยไหนอยากได้กำลังพล ก็จะแจ้งไปที่คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ต.ร.) ว่าอยากได้กี่คน และทาง 191 ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลก็ได้ตั้งคณะกรรมการคัดสรรบุคคลที่จะมาสมัคร และเข้าสู่กระบวนการคัดสรร ซึ่งเห็นว่าไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร ตนตอบแบบนี้มาตลอด แต่สื่อก็ยังถามทุกวัน ขอให้ยุติเพียงเท่านี้ เพราะจริงๆ เรื่องนี้เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และถือว่ากระบวนการในขณะนี้ได้จบลงแล้ว อีกทั้งผลการคัดเลือกยังไม่มีข้อสรุปว่าจะได้เป็นตำรวจหรือไม่ด้วย
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะออกกฎระเบียบในการกำหนดคุณสมบัติบุคคลที่จะเข้ามาเป็นข้าราชการตำรวจ ต้องไม่เป็นกลุ่มการเมืองหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า เป็นเรื่องภายใน สตช. เพราะตนมีหน้าที่ในการกำกับนโยบายเท่านั้น ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับฝ่ายปฏิบัติ
เมื่อถามว่า หาก น.ส.จิตภัสร์ต้องการจะมาสมัครเข้าเป็นทหาร พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า เป็นเรื่องส่วนตัวของ น.ส.จิตภัสร์ว่าต้องการจะมาสมัครเข้าเป็นทหารหรือไม่ ยืนยันโดยส่วนตัวไม่มีความสัมพันธ์เป็นพิเศษกับ น.ส.จิตภัสร์ แต่นับถือกันเป็นลุงหลานเท่านั้น ตนสนิทกับทางพ่อแม่ โดยเฉพาะกับคุณปู่ของ น.ส.จิตภัสร์ และยืนยันว่า ไม่มีใครฝากฝังให้ดูแล น.ส.จิตภัสร์เป็นพิเศษ
“สมยศ” ลั่นไม่ได้หนุน “ตั๊น”
พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวว่า เมื่อวันที่ 22 ก.ย.ที่ผ่านมา น.ส.จิตภัสร์ ได้เข้าตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลตำรวจจริง แต่ยังไม่ได้ทำการตรวจสอบประวัติที่กองทะเบียนตรวจสอบประวัติอาชญากรรม ซึ่งขั้นตอนต่อไปจะเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการ บช.น.ว่า น.ส.จิตภัสร์ มีความเหมาะสมในการดำรงตำแหน่งดังกล่าวหรือไม่ ส่วนกรณีที่ น.ส.จิตภัสร์จะถอนตัวจากการสมัคร ก็เป็นสิทธิ์ที่จะสามารถทำได้
พล.ต.อ.สมยศ กล่าวถึงภาพถ่ายที่มีการเผยแพร่ในสังคมออนไลน์ซึ่งระบุว่าเป็น ร.ต.ท.รชต พุ่มพันธุ์ม่วง บุตรชาย ถ่ายภาพร่วมกับ น.ส.จิตภัสร์ ว่า ชายในรูปไม่ใช่ลูกชายตน ส่วนจะเป็นใครนั้นไม่ทราบ แต่ลูกชายตน และ น.ส.จิตภัสร์ รู้จักกันจริงในฐานะนักเรียนไทยที่ไปศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษด้วยกันเท่านั้น ส่วนตนรู้จักกับ น.ส.จิตภัสร์ เพราะเคยเจอทั้งในประเทศไทยและประเทศอังกฤษ แต่ไม่สนิทเป็นการส่วนตัว
ส่วนกระแสข่าวที่ระบุว่ามีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ใน สตช.ให้การช่วยเหลือพา น.ส.จิตภัสร์ ไปสมัครสอบที่ บช.น.นั้น พล.ต.อ.สมยศกล่าวยืนยันว่า ไม่ใช่ตนแน่นอน แต่ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นใคร ซึ่งหากอยากทราบว่าเป็นใครให้สื่อมวลชนหาคำตอบด้วยตนเอง
"สุเทพ" เสียดายแทนตำรวจ
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย กล่าวว่า ถือเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจมาก เพราะการรับสมัครบุคคลที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเข้ารับราชการตำรวจไม่ใช่เพิ่งทำครั้งนี้เป็นครั้งแรก และเผิดรับสมัครผู้ที่มีความรู้เฉพาะด้านที่ตำรวจไม่สามารถผลิตได้เองทุกปี เช่น นักบัญชี หรือช่าง แต่ปีนี้เมื่อมี น.ส.จิตภัสร์ สมัครกลับมีการเคลื่อนไหวต่อต้าน คัดค้าน จึงคิดว่าเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง เพราะชาวไทยมีสิทธิ์เหมือนกันทุกคน จะเป็น กปปส.หรือ นปช.ก็มีสิทธิ์สมัครเข้ารับราชการเท่ากัน ส่วนการสมัครจะได้หรือไม่ก็ยังไม่รู้ เพราะตำรวจก็ต้องคัดเลือกตามกระบวนวิธีการของเขา
“ตำรวจน่าจะดีใจ เพราะคุณจิตภัสร์เป็นคนมีชื่อเสียง เป็นที่นิยมของประชาชนหลายๆล้านคน โดยเฉพาะพี่น้องประชาชนที่เป็น กปปส.ที่คิดว่าคุณจิตภัสร์เป็นคนที่กล้าหาญ มีความรู้ความสามารถ พร้อมเสียสละเพื่อส่วนรวม ถึงขนาดยอมเปลี่ยนนามสกุลเพื่อทำงานตามอุดมการณ์เพื่อบ้านเมือง ซึ่งสมควรได้รับการพิจารณาด้วยซ้ำเพราะจะเป็นผลดีต่อวงการตำรวจไทย การออกมาต่อต้านออกมาขัดขวางถือว่าใจแคบไปหน่อย ควรทำใจกว้าง อย่าไปสร้างปัญหาขึ้นมาอีกเลย” นายสุเทพกล่าว