“สุเทพ” นำทีมแถลงเปิดตัวมูลนิธิมวลมหาประชาชนฯ จนท.ร่วมสังเกตการณ์ เชิญอุดมการณ์เดียวกันร่วมมูลนิธิฯ ยันของประชาชนแท้จริง มุ่งปกป้องผลประโยชน์ชาติ ไม่เป็นปฏิปักษ์ใคร ยันทำตาม คสช. ลั่นปฏิรูปก่อนเลือกตั้งไม่ยึดติดเวลา ชี้รัฐบาลทำไม่ถูกจะเตือน ไม่เดินขบวน ย้ำวางมือการเมือง ไม่เกี่ยว ปชป.แย้มอาจมีเห็นต่าง “สาทิตย์” ปัดเป็นกลุ่มการเมือง ให้อิสระสังกัดพรรค “กษิต” รับถูกเชิญแจงต่างประเทศ มุ่งแต่ปฏิรูป
วันนี้ (30 ก.ค.) ที่โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล ห้องพินนาเคิล ชั้น 4 อดีตแกนนำ กปปส.นำโดยนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย พร้อมด้วยนายถาวร เสนเนียม นายอิสสระ สมชัย นายวิทยา แก้วภราดรัย นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รองประธานมูลนิธิฯ นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขานุการมูลนิธิฯ น.ส.จิตภัสร์ กฤดากร ผู้ช่วยเลขานุการฯ นายพุฒิพงษ์ ปุณณกันต์ และนายชุมพล จุลใส คณะกรรมการมูลนิธิฯ ร่วมกันแถลงข่าวเปิดตัว “มูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย” นอกจากนี้ยังมีสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมด้วย เช่น นายเทพไท เสนพงศ์ และนายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี เป็นต้น
เริ่มจากนายเอกนัฏแถลงถึงวัตถุประสงค์การจัดตั้งมูลนิธิ กปปส.ว่า 1. สนับสนุนการศึกษาวิจัย สัมมนา หรือการประชุม รวบรวมความรู้ ความคิดเห็นในรูปแบบต่างเกี่ยวกับการปฏิรูปประเทศการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม 2. ติดตามศึกษารวบรวมและวิเคราะห์รายงานข้อมูลและสถานะของประเทศเป็นระยะ 3. ดำเนินการเพื่อสาธารณประโยชน์หรือร่วมมือกับองค์กรการกุศลอื่นๆ และ 4. ส่งเสริมระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ด้วยความเป็นกลาง
ขณะที่นายสุเทพกล่าวว่า ที่ผ่านมามูลนิธิ กปปส.ได้จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายกับกระทรวงมหาดไทย ซึ่งจะปฏิบัติตามกฎหมายให้ความร่วมมือกับ คสช.และรัฐบาลในการรักษาความสงบของบ้านเมืองและขับเคลื่อนประเทศไทย ที่ผ่านมามูลนิธิ กปปส.ได้ดำเเนินการดูแลครอบครัวผู้เสียชีวิตจากการเสียสละเพื่อชาติและแผ่นดินทุกราย จัดเงินทุนให้ลูกกำพร้าทุกครอบครัว นำเงิน 2 ล้านบาทไปฝากให้เป็นทุนการศึกษา เราไม่ทิ้งกัน โดยเงินทั้งหมดที่นำมาใช้เยียวยาเป็นเงินจากมวลมหาประชาชน ไม่ได้นำงบประมาณแผ่นดินมาใช้ ประการที่ 2 ได้มีการรณรงค์ให้พี่น้องประชาชนตระหนักคุณค่าวัฒนธรรมอันดีของชาติไทย โดยเฉพาะการบวชจัดบรรชาอุปสมบถหมู่รวม 689 รูป จาก 58 จังหวัดทั่วประเทศไทย เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่เราเทิดทูนบูชากันทั้งประเทศ
นายสุเทพกล่าวอีกว่า สิ่งที่จะดำเนินการต่อไปนี้ ตนในฐานะประธานกรรมการมูลนิธิจะเริ่มงานทันที เชิญชวนพี่น้องประชาชนผู้ที่มีอุดมการณ์ความคิดแบบเดียวกับพวกเรามาร่วมกันเป็นเจ้าของมูลนิธิที่รักชาติรักแผ่นดิน โดยมูลนิธิของเราจะดำเนินการตามครรลองของประชาธิปไตยอย่างแท้จริง พวกตนเป็นกรรมการชุดเริ่มต้น แต่ต่อมาเมื่อมีประชาชนเข้าร่วมครบ 1 ปี ก็จะมีการจัดเลือกตั้งกรรมการมูลนิธิกันใหม่ โดยระหว่างนี้เราจะฟังความคิดเห็นว่าจะดำเนินการมูลนิธิอย่างไร เรียกว่าเป็นมูลนิธิของมวลมหาประชาชนอย่างแท้จริง ไม่ใช่ของพวกตนเพียง 11-12 คน
นายสุเทพกล่าวอีกว่า การเป็นเจ้าของไม่ใช่เป็นแต่ในนาม แต่ต้องสมัครใจแสดงความจำนง ทุกคนที่เข้ามาเป็นเจ้าของไม่ว่าฐานะจะแตกต่างกันอย่างไร แต่จะได้มีสิทธิมีเสียงเหมือนกันเท่ากัน การบริจาคให้มูลนิธิ จะเป็นไปตามรายได้ใน 1 วันของแต่ละคน บางคนอาจจะ 300 บาท บางคนอาจจะ 3 แสนบาท แต่ทุกคนจะมีเสียงเท่ากัน หากจังหวัดไหนมีสมาชิกเยอะก็จะมีการตั้งสาขาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารงานต่อไป
“เงินของเรามีที่มา ไม่ใช่มูลนิธิที่เงินมาจากไหนไม่รู้ ไม่ใช่เงินจากต่างประเทศ แต่เป็นเงินของคนไทยรักแผ่นดิน ไม่ต้องสงสัยว่าใครอยู่เบื้องหลัง มีแต่คนเบื้องหน้า มูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย จะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน หากต้องมีการเคลื่อนไหวเพื่อปกป้องเราจะทำ เช่น ต่างประเทศ หรือองค์กรต่างๆ ที่ไม่เข้าใจคนไทย สภาพของประเทศไทย เราก็จะส่งคนของเราไปชี้แจง หากประเทศใดเข้าใจผิด ตัดสินใจใดๆ ที่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทย เราจะส่งตัวแทนไปอธิบายกับรัฐบาล กับสภา และสื่อมวลชนของประเทศนั้น เราไม่ต้องการเป็นปฏิปักษ์กับใครทั้งสิ้น แต่เรารักประเทศของเรา” นายสุเทพกล่าว
ประธานมูลนิธิฯ กล่าวว่า มูลนิธิจะเป็นศูนย์รวมในการรวบรวมข้อเสนอแนะแนวทางสร้างสรรค์เพื่อการปฏิรูปประเทศ โดยเปิดให้ทุกคนมีสิทธิเสนอความเห็น โดยเราจะใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ เปิดเฟซบุ๊ก เว็บไซต์ อีเมล ทุกวันนี้เราไม่สามารถเปิดเวทีพูดคุย ไม่ต้องการเป็นอภิสิทธิชน เพราะจะไปสร้างความวุ่นวายให้ คสช. เราพร้อมจะปฏิบัติตามคำสั่ง คสช.ที่เป็นกฎหมาย ใครจะมาว่าไม่เป็นประชาธิปไตย ไม่ใช่ เราอยู่ในประเทศนี้ก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมายประเทศนี้ เราไม่ต้องการให้ใครกล่าวหาว่า คสช.สองมาตรฐาน ยืนยันว่าเราไม่มีผลประโยชน์ในทางการเมือง
ประธานมูลนิธิฯ กล่าวอีกว่า แนวทางการปฏิรูปประเทศของเราจะยึดธรรมของทุกศาสนาเป็นสรณะ อาจารย์พุทธาสกล่าวว่าทุกศาสนาต้องร่วมมือกันเพื่อให้รอดพ้นจากความครอบงำของวัตถุนิยม เช่น การปฏิรูปการศึกษา กรรมการมูลนิธิเห็นว่าจะต้องผลักดันให้มีการผลิตคนออกมารับใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อประเทศ ไม่เพียงแต่ทางวิชาการ วิชาชีพ แต่ต้องผลิตคนที่มีคุณธรรมออกมา ตัวอย่างที่เป็นรูปธรรม ซึ่งมูลนิธิจะดำเนินการคือ จัดตั้งวิทยาลัยอาชีวะศึกษาภวนาโพธิคุณ ที่เกาะสมุย เป็นวิทยาลัยต้นแบบ ภายใน 12 เดือน โดยจะสอนวิชาชีพควบคู่กับการฝึกธรรมะ ทำให้รู้จักพอเพียงไม่ใช้จ่ายเกินตัว นอกจากนี้ก็พร้อมจะทำวิทยาลัยแบบนี้กับศาสนาคริสต์และอิสลามต่อไป และหากหน่วยงานใด หรือรัฐบาลเห็นด้วย เราก็ยินดีให้ความร่วมมือ
“อีกตัวอย่าง คือ สร้างชุมชนเศรษฐกิจพอเพียง เดินตามรอยเบื้องพระยุคลบาท โดยเราเลือกเกาะพะลวย หนึ่งในหมู่เกาะอ่างทอง มีประชาชน 200 ครอบครัว มีการทำอาชีพหลากหลาย เราจะทำเกาะนี้ให้เป็นชุมชนต้นแบบ ทุกคนอยู่ด้วยความรักสามัคคี มีความสุขตามหลักพอเพียง อย่างไรก็ตาม ผมขอยืนยันเจตนารมณ์เดิมว่า เราต้องการให้มีการปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง” ประธานมูลนิธิกล่าว
จากนั้นนายสุเทพเปิดให้สื่อมวลชนซักถาม โดยกำชับว่าอย่าถามเรื่องนอกเหนือจากมูลนิธิมวลมหาประชาชน เมื่อถามว่า หากการร่างรัฐธรรมนูญ ไม่ตรงกับแนวทางของมูลนิธิฯ การเคลื่อนไหวจะเป็นอย่างไร นายสุเทพกล่าวว่า พวกเราสืบทอดเจตนารมย์ของมวลมหาประชาชน เราต้องการเห็นรัฐบาลนี้ปฏิรูปประเทศให้สำเร็จก่อนมีการเลือกตั้ง โดยไมจำเป็นว่าต้องใช้เวลาเท่าไร กมธ.ยกร่างฯ คงตระหนักได้ว่า ประชาชนคาดหวังอะไร ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงประเทศอย่างไร เราอยากเห็นท่านทำสำเร็จ แต่หากเห็นว่าท่านผลักดันไปในแนวทางไม่ถูกต้อง เราก็ต้องเสนอความเห็นไปยังท่าน เราจะไม่เดินขบวนไป แต่เราจะส่งตัวแทนไปยื่นหนังสืออย่างเรียบร้อย
เมื่อถามว่า หากต้องทำประชามติรัฐธรรมนูญ นายสุเทพกล่าวว่า เป็นเรื่องของประชาชนทั้งประเทศ ต้องให้ประชาชนว่ากันเอง เมื่อถามว่า การสมัครสมาชิกมูลนิธิจะทำอย่างไร นายสุเทพกล่าวว่า มีสำนักงานที่รามคำแหง 76 การสมัครสามารถทำได้ผ่านเฟซบุ๊ก การปฏิรูปการเมืองจะต้องปฏิรูปพรรคการเมืองให้เป็นของประชาชน เราจึงทำเป็นตัวอย่างให้เห็นว่า เรามีมูลนิธิของประชาชน ไม่ใช่ของครอบครัว เราจะแสดงให้เห็นว่าวิธีนี้ทำได้
เมื่อถามว่า คนกังวลว่ามูลนิธิฯ จะเคลื่อนไหวทางการเมือง นายสุเทพกล่าวว่า เลิกกังวลได้ ตนจะทำมูลนิธิอย่างเปิดเผย อย่างวันนี้ก็จัดแถลงข่าวก่อนการดำเนินงาน อยากให้ทุกคนติดตาม เราเป็นคนในศีลในธรรม หลายคนที่เป็นกรรมการก็เคยบวชมาแล้ว เราทุกคนจริงใจเปิดเผย ฝึกตัวเองให้ยึดแนวทางความสงบ
เมื่อถามถึงการขับเคลื่อนของมูลนิธิฯ เกี่ยวข้องกับพรรคประชาธิปัตย์หรือไม่ นายสุเทพกล่าวว่า ไม่เกี่ยวกับพรรคประชาธิปัตย์ และขอยืนยันว่าไม่กลับไปเป็นนักการเมือง ไม่กลับพรรคประชาธิปัตย์ และต่อจากนี้แนวคิดของมูลนิธิฯ อาจไม่ตรงกับพรรคประชาธิปปัตย์ ฉะนั้นอย่าเคลือบแคลง แต่สมาชิกมูลนิธิจะชอบพรรคไหนก็เป็นสิทธิ
ส่วนแนวทางการชี้แจงต่อต่างประเทศนั้น นายสุเทพกล่าวว่า ได้เชิญนายกษิต ภิรมย์ มาเป็นหัวหน้าทีมต่างประเทศ หากประเทศใดเข้าใจประเทศไทยผิด กษิตก็พร้อมจะไปชี้แจงทั้งในและต่างประเทศ
เมื่อถามว่า มีข้อห่วงกังวลว่าความขัดแย้งจะบานปลาย นายสุเทพกล่าวว่า เราจะร่วมมือกับทุกองค์กร เพื่อประโยชน์ของคนไทย เราไม่ขัดแย้งกับใครทั้งสิ้น เราเพียงแต่ต้องทำทุกอย่างให้ประเทศไทย ตามระบอบประชาธิปไตย เราจะเดินหน้าเทิดทูนสถาบัน เพราะเราเป็นคนไทย ไม่มีคนดีที่ไหนมาเป็นศัตรูกับเราที่เป็นคนดี และหากรู้สึกว่าเราเป๋ไปก็มาทักท้วงกันได้
ต่อข้อถามกรณีบริหารงานของรัฐบาลปัจจุบันเป็นอย่างไรนั้น นายสุเทพกล่าวว่า มวลมหาประชาชนต้องการปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง ขณะนี้แม่น้ำหลายสายกำลังทำงานอยู่ เราขอไม่วิจารณ์ งานเขายังไม่เสร็จ แต่เมื่อไรหากมีความเห็นต่างก็จะยื่นหนังสือไป ที่ผ่านมาการเคลื่อนไหวของ กปปส.ไม่เคยพูดเรื่องเวลา ไม่มีกรอบ เรานึกถึงผลสำเร็จเป็นสำคัญว่าต้องปฏิรูปให้เสร็จเรียบร้อยก่อนเลือกตั้ง เพราะมิเช่นนั้นเราจะได้นักการเมืองแบบเก่าเข้ามาอีก
ทั้งนี้ ภายหลังจากการแถลงข่าว นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รองประธานกรรมการมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศ กล่าวว่า ขณะนี้กรรมการมูลนิธิฯ ซึ่งลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ มีเพียงคนเดียว คือ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานกรรมการมูลนิธิฯ ขณะนี้กรรมการคนอื่นที่อุปสมบท ได้แก่ นายวิทยา แก้วภราดัย, นายอิสสระ สมชัย, นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ และนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ ถือว่าพ้นจากความเป็นสมาชิกภาพโดยอัตโนมัติ ส่วนกรรมการมูลนิธิที่ไมได้อุปสมบถือว่ายังคงเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์อยู่ เนื่องจากยังไม่ไดลาออก อย่างไรก็ตาม ในทิศทางทางการเมืองของกรรมการมูลนิธิหรือสมาชิกนั้น นายสุเทพ เคยระบุไว้ว่าเป็นสิทธิส่วนบุคคล และสามารถไปสมัครเป็นสมาชิกพรรคการเมือง ที่นอกเหนือจากพรรคประชาธิปัตย์ได้ ส่วนการลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.หรือไม่นั้น ขณะนี้ตนยังให้คำตอบไม่ได้เพราะเป็นเรื่องของอนาคตและเป็นเรื่องที่ยาวไกล
โดยนายสาทิตย์กล่าวย้ำว่า วัตถุประสงค์ของการก่อตั้งมูลนิธิฯ ตามระเบียบทางราชการ กำหนดไว้ว่าห้ามยุ่งเกี่ยวกับทางการเมือง และมีข้อกำหนดชัดเจนในประเด็นห้ามบริจาคเงินให้กับพรรคการเมืองใดเท่านั้น ส่วนในกรณีที่อนาคตจะมีการแก้ไขระเบียบให้มูลนิธิทำงานการเมืองได้ และร่างรัฐธรรมนุญกำหนดให้มูลนิธิที่ผ่านการจัดตั้งถูกต้องตามกฎหมายส่งผู้สมัครเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภาถือเป็นเรื่องที่ยังมาไม่ถึง ดังนั้นยังให้คำตอบใดๆ ที่ชัดเจนเกี่ยวกับประเด็นนี้ไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่ามูลนิธิมวลมหาประชาชนฯ ไม่ใช่กลุ่มการเมือง แม้ผู้ร่วมก่อตั้งจะมาจากอดีตนักการเมืองก็ตาม
ด้านนายกษิต ภิรมย์ คณะทำงานของมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย เปิดเผยว่า นายสุเทพเป็นผู้ทาบทามให้ตนเข้าร่วมขับเคลื่อนงานของมูลนิธิฯ ในด้านการต่างประเทศซึ่งตนใช้เวลาตัดสินใจไม่ได้ เนื่องจากขณะนี้เว้นวางจากการทำงานการเมืองและบทบาทในพรรคประชาธิปีตย์มีไม่มากนัก อย่างไรก็ตามภารกิจแรกของการขับเคลื่อน ตนยังให้รายละเอียดไม่ได้ชัดเจน เนื่องจากต้องหารือกับคณะทำงานก่อน แต่มีกรอบการทำงานคือจะนำเสนอประเด็นปฏิรูป หรือแผนการพัฒนาในประเด็นต่างๆ เช่น แรงงานไทย, แรงงานต่างด้าว เป็นต้น ทั้งนี้จะไม่เข้าไปแทรกแซงงานของข้าราชการประจำหรือทำในส่วนที่รัฐบาลดำเนินการอยู่ เนื่องจากมูลนิธิฯ ไม่ใช่กลไกที่อยู่ภายใต้อาณัติของรัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
นายกษิตกล่าวด้วยว่า เหตุผลที่ต้องชี้แจงอย่างแรก คือ เหตุใดมูลนิธิต้องเข้ามาขับเคลื่อนการปฏิรูป เพราะการปฏิรูปถือเป็นสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชนจากกลุ่มกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือ กปปส. ส่วนปัญหาของไทยกับต่างประเทศ เช่น กรณีปัญหาค้ามนุษย์, เทียร์ 3 หรือรายงานของสหประชาชาติ ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นปัญหามากว่า 20 ปีแล้ว เป็นที่แน่นอนว่าเราควรแก้ปัญหาได้มากกว่านี้ เพราะรัฐบาลมีอำนาจมากมายและมีมาตรา 44 ที่สั่งการหน่วยงานที่นอนหลับ ไม่ทำงานเต็มที่ให้ลุกมาทำงานได้ แต่งานของมูลนิธิฯ จะมุ่งแต่เฉพาะประเด็นปฏิรูป หรือเสนอแนวทาง ความเห็นเพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหา ขณะที่ความตั้งใจการปฏิรูปก่อนการเลือกตั้งนั้น ถือเป็นประเด็นหนึ่ง และต้องทำความเข้าใจด้วยว่าที่เรามีปัญหามา มีการประท้วง 12 ปีจนรัฐบาลทหารเข้ามาแทรกแซงนั้นเป็นเพราะปัญหาอะไร และหากจะปฏิรูปต้องดำเนินอย่างไร โดยทั้งหมดจะทำรูปแบบเอกสาร หรือเป็นลายลักษณ์อักษร
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศการแถลงข่าวเป็นไปอย่างเรียบร้อย โดยมีทหารที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ส่งมาสังเกตการณ์จากสังกัด พล.ม.2 จำนวน 13 นาย นำโดย พ.อ.บุรินทร์ ทองประไพร และยังมีเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบจำนวน 20 นายจาก สน.ปทุมวัน เข้าร่วมสังเกตการณ์ในการแถลงข่าวครั้งนี้ด้วย