ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ดูท่าว่าเสียงเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ( คสช.) อยู่ต่อเพื่อปฏิรูปประเทศจะหนาหูขึ้นทุกวันและหนึ่งในเสียงเชียร์ที่ดังมาอย่างต่อเนื่องชนิดโดดเด้งที่สุดจนได้รับฉายาว่า “อวยจนไส้แตก” ก็คือ “นายไพบูลย์ นิติตะวัน สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.)
“ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์” ได้สัมภาษณ์พิเศษเพื่อเปิดใจถึงสิ่งที่อยู่ในหัวใจของหัวหมู่ทะลวงฟันผู้นี้ ว่าเพราะอะไรเขาถึงอยากให้รัฐบาลคสช. อยู่ต่ออีกสองปี และการลงประชามติครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยอย่างไรบ้าง
- เพราะอะไรคุณไพบูลย์ถึงออกมาสนับสนุนให้มีการทำประชามติ เพื่อหนุนให้ คสช. อยู่ทำงานต่อไปอีก 2 ปี
ความจริงเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมร่วมทำกับประชาชน เรียกร้องรัฐธรรมนูญตั้งแต่ก่อนพ.ค. 25 57 เราเรียกร้องเรื่องนี้ว่าให้ปฏิรูปให้เสร็จก่อน แล้วจึงไปเลือกตั้ง จนประชาชนเริ่มเสียชีวิตบาดเจ็บล้มตายกันมากมาย คนออกมาหลายล้าน อย่างที่เราเรียกกันว่าการต่อสู้ของมวลมหาชน กระทั่งวันที่ 22 พ.ค. คสช. เข้ามายึดอำนาจ มีเสียงกดดันจากพวกนักการเมือง คสช. ก็กลายเป็นเร่งรัดที่จะออกขั้นตอนรัฐธรรมนูญ โดยที่แนวทางการยกร่างรัฐธรรมนูญนั้น ก็ไปเขียนในรูปแบบเดียวกับรัฐธรรมนูญปี 50 พอรัฐธรรมนูญผ่านการเห็นชอบแล้ว ก็ต้องออกกฎหมายลูก ใช้เวลาเพียงสั้นๆ ออกกฎหมายเพียงสามฉบับคือ กฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้ง พรรคการเมืองและคณะกรรมการ กตต. มีเพียงสามฉบับและใช้เวลาสั้นๆ คือ ให้รีบไปเลือกตั้งเลย มันจึงเป็นรูปแบบที่เคยทำมาแล้วในรัฐธรรมนูญปี 50 แล้วมีปัญหา เพราะตอนนั้นรีบไปเลือกตั้ง
อย่าลืมว่าครั้งนี้ไม่เหมือนปี 49 เพราะครั้งนี้ ประชาชนออกมาเรียกร้องการปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง แต่ปี 49 ไม่ได้มีอย่างนี้ แล้วไปสู่การเลือกตั้งในเวลาสั้นๆ โดย คณะรัฐประหารเข้ามาแก้ปัญหาสั้นๆ แล้วไป โดยที่ยังไม่ทันได้ปฏิรูปอะไรเลย จากนั้นก็ไปส่งต่อให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้น พวกผมกับประชาชนทั้งหลายที่ออกมาบอกอยู่แล้วว่า สาเหตุที่การเมืองวิกฤติอย่างนี้ เป็นเพราะพรรคการเมืองทั้งหลายสร้างปัญหาการปฏิรูปประเทศ จนประเทศเสียหาย ฉะนั้น ต้องปฏิรูป แล้วเราก็คัดค้านนักการเมืองพวกนี้ไม่ให้ปฏิรูป เพราะพวกเขาเป็นคนสร้างความเสียหาย แล้วจะมาปฏิรูปประเทศได้อย่างไร
พอเกิดยึดอำนาจ ก็กลายเป็นว่าเขียนรัฐธรรมนูญกัน เพื่อรอให้พวกนั้นมาปฏิรูปตามแผนที่ คสช. หรือสภาปฏิรูปเสนอไป ประชาชนจึงรับไม่ได้ เขาก็ต้องออกมาเรียกร้องว่า ทำไมไม่ปฏิรูปให้เสร็จเสียก่อนแล้วจึงค่อยไปเลือกตั้ง ซึ่งประเด็นนี้ประชาชนก็เรียกร้องกันเยอะ แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร ผมเลยคิดว่า มันน่าจะมีช่องหนึ่งที่แสดงออกได้คือ การทำประชามติ เพราะปกติเราก็ต้องมีการทำประชามติว่ารับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว ดังนั้นก็ควรมีประชามติอีกข้อซึ่งถามไปเลยว่า จะให้มีการปฏิรูปก่อนเลือกตั้งหรือไม่ คือ ให้ปฏิรูปเสร็จก่อนแล้วจึงค่อยเลือกตั้ง เพื่อ คสช. จะได้มีเวลาปฏิรูปประเทศไปอีกสักระยะหนึ่ง
ผมคิดว่าถ้าให้อยู่ต่ออีกหลายปี เดี๋ยวจะกลายเป็นคำถามขึ้นมา ดังนั้นเวลาหลังจากการลงประชามติไปสักสองปี น่าจะเหมาะสม โดยขั้นต้นผมเสนอว่าให้เขียนในร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ด้วย ตอนนั้นยังไม่มีการจัดทำประชามติว่ารับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ ก็ควรเขียนว่ารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้มีการทำประชามติในเรื่องนี้ด้วย การเสนอความเห็นมีสองช่วง ช่วงแรกผมเสนอให้แก้ไขร่างรัฐธรรมนูญมาตรา 308 อันนั้นเป็นช่วงเวลาที่ทาง คสช.ประชาชน ยังไม่ชัดเจนว่าจะมีการทำประชามติหรือไม่ ผมเลยเห็นว่าควรจะมีเรื่องนี้ในมาตรา 308
แล้วมาห้วงที่สอง มาทราบว่าทาง คสช. หรือ ครม. จะแก้รัฐธรรมนูญเพื่อจะให้มีการจัดทำประชามติ ซึ่งก็หมายถึงช่วงนี้ ผมจึงเสนอไปว่านอกจากเรื่องว่าจะรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ ก็ควรจะมีเรื่องการปฏิรูปให้เสร็จก่อน แล้วจึงไปเลือกตั้ง ก็น่าจะเป็นอีกประเด็นในการทำประชามติ
ผมมองว่าถ้ามีการจัดทำประชามติจะเป็นช่องทางสำคัญที่ทำให้ประชาชนสามารถเดินไปแสดงความเห็นได้ และมีผลด้วย ถ้าประชาชนมีประชามติว่าต้องการให้ คสช.อยู่ต่อ ความชอบธรรมในการบริหารประเทศก็จะเกิดขึ้น เราจะสามารถแก้ไขปัญหาให้สงบขึ้น แต่ถ้าเสียงข้างมากกลายเป็นไม่เห็นด้วย บอกว่าต้องไปเลือกตั้ง เราก็ควรไปเลือกตั้ง ไม่มีข้อขัดแย้ง ฉะนั้นการทำประชามติจะเป็นการทำเพื่อหาข้อยุติ ผมเชื่อว่าประชาชนส่วนใหญ่ต้องการเห็นการปฏิรูปประเทศให้เสร็จสิ้นก่อน
แล้วผมบอกเลยว่า ผมจะไปกาสนับสนุนพลเอกประยุทธ์ ผมเชื่อว่ามีประชาชนหลายสิบล้านคิดเหมือนผม เขาจะได้มีโอกาสไปกาด้วย ส่วนพวกที่ค้านก็มีสิทธ์ไปกาไม่เห็นด้วย แต่ตอนนี้เขากลัวว่าผลประชามติจะออกมาชัดเจนว่าประชาชนคิดอย่างไร เขาเลยพยายามใช้วิธีบั่นบอน บิดเบือน พยายามไม่ให้มีการทำประชามติ โดยบอกว่าผมเสนอไม่ชอบธรรม ไม่ถูกต้อง แต่ผมเป็นคนไม่กลัวอยู่ ฉะนั้นถ้าใครจะพูดอย่างไรก็มาดีเบตกันได้ว่าอันไหนถูก อันไหนผิด ผมพร้อมดีเบตด้วยเสมอ
ไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ฝ่ายตรงข้ามบอกว่า ไม่ได้ ต้องมาฟังเสียงประชาชน เรื่องสำคัญแบบนี้ต้องให้ประชาชนมีส่วนร่วมหมด เรียกร้องให้รัฐบาลเปิดทำประชามติว่าจะรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ แต่เรื่องนี้กลับพูดไปอีกอย่าง พวกที่ไม่อยากให้มีการทำประชามติ เรียกว่านักประชาธิปไตยจอมปลอม เพราะการให้ลงเสียงประชามติ เป็นประชาธิปไตยอย่างหนึ่ง ดังนั้นคุณก็ต้องยอมรับตรงนี้ด้วย ไม่ใช่มาบอกว่าอันนี้ทำดี อันนี้ไม่ดี แต่ผมไม่แปลกใจหรอก พวกนักการเมืองในระบอบการเมืองที่ล้มเหลวนั้น มักจะมีวิธีการแบบนี้แหละ เพราะเขาไม่ได้เป็นนักประชาธิปไตยที่แท้จริง
- คิดว่าคุณไพบูลย์คงพอใจการทำงานของ คสช. ไม่น้อย ถึงได้ออกมาสนับสนุนให้อยู่ต่อเพื่อปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง เลยอยากรู้ว่าคุณพอใจการทำงานของ คสช. อย่างไรบ้าง และเรื่องอะไร
ผมไม่อยากแค่พูดเรื่องการทำงานของ คสช. แต่อยากให้เปรียบเทียบกับรัฐบาลก่อนหน้านั้น ถ้า คสช.เปรียบเทียบกับรัฐบาลที่มาก่อนหน้านั้น และมาจากพรรคการเมือง มีอยู่สองพรรคนั้น ประชาชนก็สัมผัสได้ชัดเจนว่ามันแตกต่างกันมาก คือ คสช. มีการทำงานโปร่งใส มีความรวดเร็ว มีความซื่อสัตย์สุจริตอย่างเห็นประจักษ์ มีการปราบทุจริต สามารถรักษาความสงบได้ ส่วนเรื่องเศรษฐกิจนั้นก็สามารถหยุดยั้งความเสียหายของเศรษฐกิจ คือให้ชะลอลงได้และค่อยๆ ปรับตัวให้ดีขึ้น ฉะนั้นถ้าถามว่า ชอบการบริหารประเทศของ คสช .หรือพลเอกประยุทธ์ หรือไม่ ผมบอกเลยว่าฝีมือดีกว่าพวกที่ผ่านมาหลายสิบเท่า ดังนั้น ผมก็ต้องชอบพลเอกประยุทธ์ ส่วนประชาชนก็คิดอย่างเดียวกัน
ผมชอบลักษณะการทำงานของพลเอกประยุทธ์ที่ทุ่มเท เอาใจใส่ ตั้งใจทำงานมาก แล้วการหยิบประเด็นต่างๆ มาตัดสินใจนั้นถือเป็นลักษณะของผู้บริหารประเทศจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขปัญหาสำคัญๆ เช่น การตามเรื่องจำนำข้าว การเร่งรัดออกกฎหมายที่เกี่ยวเนื่องกับ AEC การออกกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกลไกเศรษฐกิจทั้งหลาย การผลักดันให้มีการปฏิรูปในโครงสร้าง การปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นโดยให้กระทรวงหน่วยงานทั้งหลายมามีส่วนร่วมในการปราบปรามทุจริต การที่หัวหน้ารัฐบาลมาเป็นผู้นำปราบทุจริต ซึ่งพลเอกประยุทธ์ก็สามารถปราบปรามได้และทำได้ชัดเจน มีการตั้งหน่วยงานมากำกับ ผมว่าท่านเข้าใจในเรื่องนี้ว่า ถ้าไปปราบอย่างเดียว ข้าราชการก็คงไม่ทำงาน ดังนั้นในส่วนที่ปราบก็ปราบไป ส่วนในเรื่องที่เร่งรัดก็ต้องทำงาน ต้องเร่งใช้จ่ายเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ถ้าไม่ทำก็โยกย้ายเลย ซึ่งการทำงานแบบนี้จึงเรียกว่าเป็นการทำงานบริหารประเทศ ไม่ใช่เหมือนอย่างที่ผ่านมา ซึ่งผมไม่อยากพูดเลยว่าหัวหน้ารัฐบาลเป็นผู้เริ่มต้นทุจริตเสียเอง แล้วมันจะไปปราบปราบอะไรได้ มีแต่ไปเปิดอีเว้นท์ว่าต่อต้านคอร์รัปชั่น แต่ความจริงคอร์รัปชั่นกันตั้งแต่หัวหน้ารัฐบาลไปจนถึงโครงข่าย
ส่วนเรื่องรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ใครกล้าบอกไหมว่ารัฐบาลพลเอกประยุทธ์คอร์รัปชั่น คำตอบคือ ไม่มี และเท่าที่ผมทราบ ท่านก็เก็บตัวด้วย ไม่ยอมไปเจอใคร เพราะกลัวคนมาล็อบบี้เรื่องผลประโยชน์ต่างๆ นี่คือลักษณะที่เราหามานานแล้วว่า อยากได้ผู้นำแบบนี้ ส่วนโครงสร้างแบบรัฐบาลเก่านั้น ไม่มีทางจะมีผู้นำแบบนี้ได้เลย ในเมื่อมีผู้นำแบบนี้เกิดขึ้น
ผมคิดว่าเราน่าจะกล้าออกมาพูดว่า เราไม่เอาวิธีแบบเดิมๆ แต่ในขณะเดียวกันพวกมายาคติบอกว่านี่คือรัฐบาลประชาธิปไตย เราเลยจะบอกว่าพลเอกประยุทธ์เป็นรัฐบาลทหารก็จริง แต่ถ้าประชาชนทั้งประเทศลงประชามติให้เขาปฏิบัติหน้าที่ เขาก็จะกลายเป็นประชาธิปไตยที่มาจากประชาชนเหมือนกัน มันจึงเป็นเรื่องท้าทายที่ทำให้ผมผลักดันเรื่องนี้ว่า ควรที่จะมีการทำประชามติ แทนที่จะไปเลือกวิธีที่บางคนบอกว่า เราก็แกล้งทำให้รัฐธรรมนูญตกไป รัฐบาลจะได้อยู่ต่อไป ผมมองว่าวิธีนั้นเป็นการยืดเวลาแบบไม่มีศักดิ์ศรี ไม่มีความสง่างาม แต่ถ้าทำประชามติออกมาว่าประชาชนให้อยู่ต่อ มันจะสง่างามกว่า
ผมมองว่าการทำประชามตินี้เป็นประชาธิปไตยที่สุดแล้ว เพราะประชาชนออกมาใช้อำนาจที่ตนมี เป็นเรื่องที่มีระดับของความเป็นประชาธิปไตยสูงกว่าการที่ประชาชนไปเลือกผู้แทนราษฎร์ แล้วให้ผู้แทนฯ ไปเลือกผู้นำประเทศหรือไปกำหนดนโยบายอะไรต่างๆ อันนั้นถือเป็นประชาธิปไตยทางอ้อม ส่วนวิธีประชามตินี้เป็นประชาธิปไตยทางตรง คือ ตรงไปเลยว่าต้องการให้มีคนดำเนินการเรื่องนี้ ให้เขาอยู่ต่อ เพื่อทำหน้าที่ให้เสร็จ
- หาก คสช. หรือรัฐบาลพลเอกประยุทธ์มีเวลาอยู่บริหารประเทศต่อ คุณมองว่าควรจะปฏิรูปประเทศไปทิศทางไหน จึงจะเหมาะสมและยั่งยืนที่สุด
ผมมองว่าเรื่องการปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง เขาไม่ได้ต้องการลงรายละเอียดหรอกว่าอยากให้ปฏิรูปเรื่องอะไร เวลาเท่าไหร่ มันยังไม่สำคัญเท่ากับว่าใครจะมาปฏิรูป เขาไม่เชื่อว่าระบบการเมืองหรือผู้บริหารที่จากการเลือกตั้งจะสามารถปฏิรูปได้ แต่เขาเชื่อระบบที่พลเอกประยุทธ์เป็น เมื่อเขาเชื่อคณะนี้ว่าทำงานได้ ก็เพราะอย่างที่ผมบอกว่าผลงานดีกว่ารัฐบาลเก่าๆ เป็นสิบเท่า ซื่อสัตย์สุจริต ขยันทำงาน ตั้งใจ ครบถ้วนการเป็นผู้นำประเทศและนำประเทศไปสู่การแก้ไขปัญหา
ดังนั้นการปฏิรูปครั้งสำคัญที่สุดคือ การที่ให้รัฐบาลทหารที่มาจากรัฐประหารสามารถทำงานได้ภายใต้การยอมรับของประชาชน ซึ่งเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ฉะนั้นนี่คือการปฏิรูปครั้งที่ยิ่งใหญ่แล้ว แล้วไม่ได้เลือก โดยที่เขาไม่ได้เป็นนะ คือ เลือกคณะนี้ ไว้วางใจคณะนี้ให้ทำงานก่อน เพราะเชื่อถือ นี่คือประเด็นสำคัญที่หนึ่ง
ส่วนประเด็นที่สอง อยากจะให้คณะนี้ทำอะไรก่อนนั้น ก็ให้เป็นเรื่องที่ค่อยๆ ไปว่ากัน แต่ว่าถ้าข้อที่หนึ่งไม่ใช่คณะนี้ แต่ไปเป็นพวกที่มาจากการเลือกตั้ง ต่อให้กำหนดหัวข้อสวยหรูแค่ไหน ต่อให้เขียนแผนดีแค่ไหน ผมเชื่อว่ามันก็ไม่ได้มีการนำไปใช้ ไม่มีการปฏิรูปหรอก
- เพราะอะไรคุณไพบูลย์ถึงเชื่อมั่นพลเอกประยุทธ์ได้มากขนาดนี้
เพราะผมไม่เคยเห็นนายกรัฐมนตรีที่เป็นอย่างนี้ในประเทศไทย แต่เมื่อมีโอกาสที่พลเอกประยุทธ์เดินเข้ามาและเป็นอย่างนี้ คือ แตกต่างจากนายกรัฐมนตรีคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นความเป็นนักบริหารประเทศ ความกล้าที่จะทำงาน เรียกว่าทำงานตรงไปตรงมา คือ มันต่างกันเยอะ ผมเห็นแล้วมั่นใจ คิดว่าประชาชนจำนวนมากก็คงคิดเหมือนผม
แล้วการที่เราขอให้ท่านทำ มันไม่ใช่เวลาที่นาน เพราะปกตินักการเมืองก็อยู่นานหลายปี หลายวาระ การที่ทำให้เขาอยู่อีกสองปี ไม่ได้ทำให้เขาเหลิงอะไรหรอก แต่จะทำให้เขาทุ่มเทและทำหน้าที่อย่างเต็มที่ แล้วมันจะสร้างความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ซึ่งที่ผมหวังลึกๆ คือ มันจะสร้างบรรทัดฐานใหม่ของนายกรัฐมนตรีประเทศไทยว่าควรจะเป็นแบบนี้ ดังนั้นมันจะเป็นประโยชน์ต่อนายกรัฐมนตรีคนใหม่และต่อประชาชน
ไม่ใช่เอานายกรัฐมนตรีแบบไหนก็ได้ที่มาจากการเลือกตั้ง รู้เรื่องหรือไม่รู้เรื่องก็ไม่เป็นไร ทำยังกะประเทศเป็นของเล่นได้ ไม่มีประเทศไหนที่บริหารประเทศได้โดยวิธีการเอานายกรัฐมนตรีที่ไม่เคยรู้เรื่องอะไรเลย ดันน้องสาวของเจ้าของพรรคไปเป็นนายกฯ ได้ กลไกแบบนี้ทำให้พังไปกันหมด
- การที่คุณพูดอย่างนี้อาจจะทำให้ต่างชาติเข้าใจผิดได้ว่าประเทศไทยสนับสนุนรัฐบาลที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง เพราะตรรกะของต่างชาติอาจคิดเพียงอย่างเดียวว่าการเลือกตั้งเท่านั้นที่เป็นประชาธิปไตย ถ้าอย่างนั้นคุณคิดว่าเราควรจะสร้างความเข้าใจแก่ต่างชาติในเรื่องนี้อย่างไรจึงจะเหมาะสม
ผมคิดว่าต่างชาติคงจะไม่ออกมาพูดหรอก ถ้าประชาชนทั้งประเทศมีประชามติให้ คสช. อยู่ต่อ แล้วถ้าต่างชาติบอกการลงประชามติเลือกรัฐบาลทหารให้มาปฏิรูปไม่เป็นประชาธิปไตย ผมว่าคนที่พูดจะต้องรับผิดชอบตัวเองแล้วแหละ เพราะคนที่พูด หรือบางประเทศใหญ่ๆ เขาจะรับผิดชอบต่อคำพูดของเขาเอง แต่เอาเข้าจริง ผมเห็นว่าการที่ประชาชนเลือก แล้วคุณมาพูดอีกอย่างหนึ่ง มันเป็นการแทรกแซงภายใน ดังนั้นประเทศเหล่านั้นคงจะไม่ฆ่าตัวตายหรอก แต่ถ้าอยากทำก็ทำเถอะ แต่ไม่มีผลอะไรกับความมั่นคงของวงการนานาชาติ ในเรื่องที่จะให้พลเอกประยุทธ์ทำหน้าที่ต่อ โดยมติของประชามติที่ให้ทำหน้าที่ต่อ เพราะมันจะสง่างาม ใครทำอะไรไม่ได้
แล้วหากประชามติออกมาว่าประชาชนหนุนให้ คสช. อยู่ต่อ จะยังช่วยให้พลเอกประยุทธ์มีความภาคภูมิใจ มั่นใจว่าอยู่โดยความเห็นของประชาชนเสียงข้างใหม่ที่สนับสนุนให้ทำหน้าที่ คนลักษณะนี้ไม่เหลิงหรอก แต่จะทำให้กลายเป็นสัญญาประชาคมที่ประชาชนทำให้ มันจึงเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์และทำให้เขายิ่งทุ่มเทหนักกว่าเก่าอีก
- ห่วงไหมว่าการที่คุณออกมาหนุนให้ คสช. อยู่ต่อ จะทำให้คนอื่นเข้าใจผิดหรือมองว่าคุณทำเพื่อประจบเอาใจนาย
สำหรับผมแล้ว ผมสู้ให้มีการปฏิรูปก่อนการเลือกตั้งนานแล้ว ผมต้องฟ้องรัฐบาลชุดก่อนให้พ้นออกจากตำแหน่ง ก็ทำมาแล้ว ตอนนั้นผมเป็น ส.ว. ผมต่อสู้มาแล้ว
ตอนที่ผมไปออกรายการของคุณสรยุทธ (สรยุทธ สุทัศนะจินดา) และดีเบตกับคุณชูวิทย์ ( ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์) นั้น ผมบอกว่ามีชื่อนายกรัฐมนตรีคนนอกอยู่ในกระเป๋าผมแล้ว ซึ่งชื่อนั้นคือ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ตอนหลังพอพลเอกประยุทธ์เข้ามายึดอำนาจ สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ผมหลุดออกจากตำแหน่ง สว. ทันที ทั้งที่ผมควรจะอยู่ต่ออีกสามปี ถามผมว่าถ้าผมรู้ว่าจะต้องหลุดจากตำแหน่ง สว. เพราะเขาเข้ามายึดอำนาจ ผมจะทำไหม ผมจะต่อสู้เรื่องนี้ไหม ผมก็จะยังยืนยันจะทำ เพราะผมมองว่าเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติ ไม่ใช่เรื่องตำแหน่งผม ในเมื่อเหตุการณ์จริงมันเป็นอย่างนั้นมาแล้ว แล้วตอนนี้ผมต่อสู้เพื่อให้เขาอยู่ต่อไปอีกระยะหนึ่ง เพื่อปฏิรูปประเทศ ผมจะไปสนใจตำแหน่งผมทำไม หลายคนบอกว่าผมได้ตำแหน่งเพราะพลเอกประยุทธ์ ผมต้องบอกว่าเขาเป็นคนทำให้ผมตกงาน แต่เป็นการตกงานเพื่อชาติ
ถ้าคนบอกว่าผมกลับมาเพราะเขา คุณต้องคิดว่าผมเป็น สว. อยู่ดีๆ แต่ต้องมาลดตำแหน่งผมให้เป็น สปช. ดังนั้นสิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นปัจจัยใดๆ หรือไม่มีความหมายกับผมเลย ถ้าบอกว่าผมประจบคุณประยุทธ์ ถามว่าถ้าเราไม่กล้าพูดแทนประชาชนว่า ประชาชนเรียกร้องให้พลเอกประยุทธ์อยู่ แต่ผมไม่พูด เพราะกลัวเขาว่า ผมก็ไม่ควรอยู่ในตำแหน่ง และควรลาออกจาก สปช. ไม่ควรจะอยู่ เพราะไม่กล้าพูด แต่ผมพูด เพราะต้องพูดแทนประชาชน
ผมอยากให้ประชาชนรู้ว่า มีโอกาสที่จะแสดงความคิดเห็นของประชาชนผ่านกระบวนการประชามติว่าเห็นด้วยกับการปฏิรูปประเทศหรือไม่ มันเป็นการออกเสียงที่มีผลที่เป็นรูปธรรมที่สุด เหนือกว่าการไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ซึ่งยังห่างไกลจากการที่ประชาชนมีสิทธิเลือกผู้บริหารจริงๆมาก กลายเป็นว่าเลือกพรรคพ้องตัวเอง ไม่ใช่ประชาธิปไตยทางตรง ประชาชนไมได้มีอำนาจจริงๆ แต่ควรจะตัดสินมาเลยว่าใครทำ ทำเรื่องอะไร และกำหนดเวลา ผมอยากเห็นอย่างนี้มากกว่า
- คุณไพบูลย์บอกว่าพลเอกประยุทธ์ทำงานดี แต่ดูเหมือนว่าเรื่องพลังงานจะยังไม่ชัดเจนมากนักว่าจะปฏิรูปไปในทิศทางไหน ทำให้ฝ่ายภาคประชาชนยังกังวลใจอยู่ คุณคิดเรื่องนี้อย่างไร
ถ้าเป็นรัฐบาลสมัยก่อน คุณคิดว่าเขาจะยอมหยุด ยอมเปลี่ยนและให้ไปศึกษา ให้มาใช้ระบบสัดส่วนตามเสียงเรียกร้องของประชาชนไหม คิดว่าไม่มีวัน แต่นี่พลเอกประยุทธ์กล้าสั่งระงับข้อเสนอข้าราชการทั้งหลายที่บอกว่าต้องเป็นแบบสัมปทานเท่านั้น แต่เขาก็ทุบโต๊ะว่าไม่เอา จะเอาแบบสัดส่วน แน่นอนว่าทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแล้ว แต่สุดท้ายถ้ามันมีเหตุผลของรายละเอียด มีเหตุผลการเจรจา สุดท้ายก็ต้องว่ากันไป แต่ถามว่าจากจุดนั้นมาจุดนี้ มันเปลี่ยนไปเยอะไหม ก็ต้องดูตรงนี้ เหมือนกับว่าการพูดสิ่งหนึ่ง เราจะไปหวังให้ได้ถึง 100 เปอร์เซ็นต์หรือจะหวังตามใจตัวเองทุกเรื่องไม่ได้ แต่ต้องเปรียบเทียบกับก่อนหน้านั้น เช่น อย่างที่ผมบอกว่า ถ้าให้พูดว่าพลเอกประยุทธ์ทำงานดีอย่างไร คงพูดยาก แต่ถ้าให้เปรียบเทียบกับรัฐบาลก่อนหน้านั้น จะเห็นได้ชัด
บางเรื่องที่ประชาชนเสนอมาผมก็ไม่ได้เห็นด้วยทั้งหมด ฉะนั้นอะไรที่เขาไม่ได้ทำตามใจ 100 เปอร์เซ็นต์ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ดี แต่ต้องเปรียบเทียบกับรัฐบาลก่อนหน้านั้นว่า จะทำแบบนี้ไหม ในเมื่อ คสช. ทำอย่างนี้ก็ต่างแล้ว ถ้ายังไม่สุด ก็ต้องติดตามต่อไป
- แต่ประชาชนบางส่วนอาจห่วงว่าจะเป็นการซื้อเวลาหรือเปล่า เพราะมองอีกด้านเรื่องพลังงานนี่แหละจะแสดงให้เห็นชัดเจนที่สุดว่ารัฐบาล คสช. จริงใจในการปฏิรูปประเทศหรือไม่ คุณมองเรื่องนี้อย่างไร
เขาก็ทำ แต่การจะทำตามใจทุกคนทั้งหมดไม่ใช่วิธีการที่ถูกต้อง สิ่งที่ผมชอบพลเอกประยุทธ์อย่างหนึ่งคือเรื่องนี้ คือ ไม่ทำอะไรตามใจผมสุด ผมชอบ แต่ฟังผมบ้างก็โอเค คือ สิ่งนี้แหละเป็นตัวตนจริงที่ทุกคนต้องยอมรับว่ามันไม่สามารถจะได้อะไรหมดหรอก แต่มันได้บ้างหรือเปล่า แม้ไม่หมดก็ต้องมองในส่วนที่ดี ครั้นจะไปบอกว่าไม่ได้ครบแล้วเป็นความเลว ก็คงไปหาที่ไหนไม่ได้หรอก ควรจะต้องเปิดใจให้กว้างกับทุกฝ่าย
- คุณบอกว่าต้องการปฏิรูปประเทศ แต่ทำไมตอนนี้พูดเหมือนว่าประชาชนอย่าไปคาดหวังว่าจะได้ทั้งหมด 100 เปอร์เซ็นต์ แล้วอย่างนี้การปฏิรูปจะเรียกว่าสำเร็จได้เหรอ หากปฏิรูปออกมาแล้วประชาชนยังไม่พอใจเต็มร้อย
ผมไม่ค่อยได้พูดถึงประเด็นปฏิรูป ผมพูดถึงผลลัพธ์ว่าใคร และผลลัพธ์จะได้อย่างไร ผมเน้นผลลัพธ์อยู่ตลอด คือ จะปฏิรูปอะไรก็ช่าง ผมไม่ไปลงรายละเอียดว่าจะไปปฏิรูปแบบไหน เรื่องไหน แต่ผมวัดผลจากเศรษฐกิจว่าจะต้องมีความมั่นคงขึ้น ความขัดแย้งจะต้องลดลง นี่คือผลลัพธ์ เปรียบเทียบว่าถ้าเขาขับรถอยู่ ผมจะไม่ไปถือพวงมาลัยแทนท่าน แต่จะคอยดูว่าเขาขับรถไปถึงทางหรือเปล่า ดังนั้น ผมก็เชื่อว่าถ้าท่านไม่เลี้ยว ท่านคงมีเหตุผล หรือถ้าท่านเหยียบเบรก ท่านคงมีเหตุผล แต่สุดท้ายท่านต้องพาผมไปถึงจุดหมายปลายทางนะ
ปลายทางของผมไม่ใช่ว่าจะต้องเป๊ะๆ เช่น ต้องปฏิรูปพลังงานนะ ต้องเอาแบบที่ผมเสนอทุกอย่าง ถ้าอย่างนั้นจะกลายเป็นว่าผมเป็นคนขับรถหรือเป็นรัฐบาลเสียเองแล้ว ดังนั้นถ้าเชื่อกัน ก็เรียกร้องไป ฝากไปได้ สุดท้ายก็หวังว่าท่านจะต้องทำให้เศรษฐกิจและสังคมมีความมั่นคง ความขัดแย้งทั้งหลายต้องลดลง แต่ถ้าทำแล้วไม่ดี ก็ต้องว่ากันใหม่
- หากในอนาคตมีการเลือกตั้งใหม่ คุณไพบูลย์อยากเห็นรัฐบาลใหม่ในอุดมคติเป็นอย่างไร
ผมอยากเห็นผู้บริหารประเทศคล้ายกับพลเอกประยุทธ์ อยากให้พลเอกประยุทธ์มาวางรากให้นายกรัฐมนตรี บางคนบอกว่าพลเอกประยุทธ์ทำงานแค่ปีกว่า ยังไม่ได้โชว์ความไม่ดี ถ้าอย่างนั้นก็ให้อยู่อีก 2-3 ปี อยู่ให้เต็ม แล้วดูสิว่าพลเอกประยุทธ์จะรักษาความดีได้ตลอดหรือเปล่า ถ้ายังรักษาความดีได้ตลอด จะได้เป็นตัวอย่างให้แก่รัฐบาลชุดต่อไป