xs
xsm
sm
md
lg

ส่องรธน.ชั่วคราวฉบับแก้ไข กระชับอำนาจในมือ“บิ๊กตู่”

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวการเมือง

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ป้อมพระสุเมรุ

ในที่สุด คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และคณะรัฐมนตรี (ครม.) ก็มีมติส่งคำขอแก้ไข ร่างรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ปี 2557 ให้กับสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณาใน 7 ประเด็น ตามที่เคยบอกไว้ก่อนหน้านี้ว่า เพื่อเปิดทางให้มีการทำประชามติ

แต่เกมนี้ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทรืโอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. โดยฝีมือของ “ทีมเนติบริกร”ข้างกายมาแบบเหนือเมฆ เพราะตามที่คาดการณ์กัน จะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว เฉพาะประเด็นที่เกี่ยวข้องกับ “ประชามติ”เท่านั้น แทบที่จะไม่มีใครคาดการณ์มาก่อนว่า จะชงคำขอแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญรวดเดียวถึง 7 ประเด็น

ในส่วนของวัตถุประสงค์หลักในการเปิดทางให้มีการทำประชามติได้กำหนดให้ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เป็นผู้กำหนดกรอบ พร้อมจัดทำวิธีการ หลักการ เงื่อนไข ของการออกเสียงประชามติใหม่ทั้งหมด โดยยึดตาม พ.ร.บ.ประชามติ 2552 แค่เฉพาะบทลงโทษเท่านั้น แต่อำนาจทั้งหมดไม่ได้อยู่ในมือ กกต. เสียทีเดียว เพราะ กกต. ต้องส่งร่างกฎหมายที่ใช้ในการออกเสียงประชามติครั้งนี้ ให้กับ สนช. เห็นชอบอีกขั้นตอนหนึ่ง

หากข้อกำหนดของ กกต.ไม่ได้ดั่งใจ สนช.ที่เต็มไปด้วยบรรดา “ขุนทหาร”ซึ่ง “บิ๊กตู่”สามารถคอนโทรลได้อยู่เกินครึ่งสภา สามารถแก้ไขข้อกำหนดของกกต.ได้อย่างชอบธรรม ตามรัฐธรรมนูญชั่วคราวกำหนดไว้

แต่ที่ถูกจับตามองมากที่สุดคงหนีไม่พ้น“คำถาม”ที่จะระบุไว้ใน“บัตรออกเสียง”ที่นอกจากจะถามว่า ประชาชนเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ แล้วยังเขียนกว้างเอาไว้ให้อำนาจ “สนช.-สปช.”สามารถเสนอคำถามเพื่อสอบถามความเห็นจากประชาชนได้สภาละ 1 คำถาม แต่มีเงื่อนไขว่าคำถาม ที่ “สนช.-สปช.”จะถามประชาชน จะต้องส่งให้ ครม.พิจารณาก่อน จึงจะสามารถส่งให้ กกต.บรรจุใน “บัตรออกเสียง”ได้
 
งานนี้ไม่ต้องมองหน้าก็รู้ใจแล้วว่า“สนช.-สปช.”คงต้องการถามว่า จะให้ “บิ๊กตู่”อยู่ต่ออีก 2 ปีเพื่อปฏิรูปก่อนเลือกตั้งหรือไม่ แต่ลักษณะของ คำถาม คงต้องดีไซน์กันใหม่ให้มีความรอบคอบ-เนี๊ยบเนียนมากกว่าที่จะถามกันตรงๆ โดยคำถามอาจจะเป็นในลักษณะ“ชี้นำ” อาทิ ประชาชนต้องการให้ปฏิรูปต่อหรือไม่ ซึ่งคำถามแบบนี้อาจจะเข้าล็อก“บิ๊กตู่”และ“พ้องพวก”เพราะหาก ประชาชนอยากให้ปฏิรูปต่อ ก็สามารถนำไปกล่าวอ้างให้อยู่ใน“ตำแหน่ง”ได้อย่างชอบธรรม และไม่เป็นที่น่ารังเกียจในสายตาต่างชาติมากเกินไป

โดยล่าสุด กกต. ก็รู้งาน เด้งออกมาแถลงเรื่องเงื่อนเวลาทันที พร้อมกำหนดวันลงประชามติอย่างรวดเร็วทันใจ ซึ่งเบื้องต้น จะยึดเอาวันที่ 10 มกราคม 2559 เป็นวันลงประชามติ แต่ก็อาจจะขยับได้เหมือนกัน เพราะยังมีเงื่อนไขของรัฐธรรมนูญอีกหลายข้อ โดยเฉพาะกรณีที่ 2 พรรคการเมืองใหญ่อย่าง “พรรคเพื่อไทย-ประชาธิปัตย์”ออกมาเล่นคีย์เดียวกันโดยไม่ได้นัดหมาย ว่า หากสปช.โหวตคว่ำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่จะมีการลงคะแนนกัน ในวันที่ 6 กันยายน ก็จะหมายความว่า กระบวนการยกร่างรัฐธรรมนูญจะ“เซ็ตซีโร่” เริ่มใหม่ทันที

แต่สมมติที่ฐานที่ว่านั้น ก็ยังเป็นแค่การ“มโน”ไปเอง ไม่สามารถคาดเดาอะไรได้ มีเพียง “สปช.นอกคอก”บางคน ที่เร่ไปปล่อยข่าวกับนักการเมือง-สื่อมวลชน เพราะคงหงุดหงิดใจพอสมควร ที่การแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวครั้งนี้ มีกำหนดให้ สปช. พ้นจากตำแหน่งหลังโหวตร่างรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะผ่าน หรือไม่ผ่าน

โอกาสที่บรรดา สปช. ต้องตกงานออกมาเตะฝุ่นเฉกเช่นเดียวกับบรรดานักการเมืองจึงสูงลิบลิ่ว ความหวังที่จะเบียด “สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ”จำนวน 200 ที่นั่ง ซึ่งผุดขึ้นมาใหม่นั้น ก็คาดเดาลำบาก เพราะแม้จะมีการเปิดช่องให้ “สปช.หน้าเก่า”กลับเข้ามาได้ แต่อำนาจเด็ดขาดในการเลือกคนนั้นอยู่ในมือ “บิ๊กตู่” ไม่ได้มีกลไกในการเสนอและสรรหา เหมือนเมื่อครั้งตั้ง สปช.

ฟันธงเปรี้ยงได้เลยว่านับแต่วันนี้คงไม่มี สปช.หน้าไหน กล้าออกอาการ“เปรี้ยว”ใส่ “บิ๊กตู่”แน่นอน เพราะหากเสนอแนวคิดที่สวนทางกับ“คสช.-ครม.”มีหวังหลุดวงโคจรไปนั่งอยู่ข้างสนาม
 
ฟันธงต่อไปอีกว่า การโหวตคว่ำ หรือไม่คว่ำ ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของสปช. นั้นก็ย่อมต้องรออาณัติสัญญาณจากคสช. ที่“บิ๊กตู่” จะเป็นผู้กดรีโมต คงมี สปช. น้อยคนที่จะแหกคอก ไม่ว่าจะอยากให้ผ่าน หรือไม่ก็ตาม

มองข้ามช็อตไปที่การลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ ก็มีการตระเตรียมทางหนีทีไล่ไว้เรียบร้อย หากถูกเสียงประชามติคว่ำกลางอากาศ บรรดา“เนติบริกร”ที่รายล้อม “บิ๊กตู่”ได้เตรียมลู่ทางการอยู่ต่อในอำนาจไว้อย่างรัดกุม

โดยมีการวางตัว "กรรมการร่างรัฐธรรมนูญ" จำนวน 21 คน ขึ้นมาใหม่ พร้อมจัดทำร่างรัฐธรรมนูญให้เสร็จ ภายใน 6 เดือน และต้องนำมาทำประชามติอีกครั้ง ยิ่งต่อเวลาการอยู่ในอำนาจของ“บิ๊กตู่ ณ คสช.”เพิ่มไปโดยปริยาย ดีไม่ดี อาจจะอยู่ถึงต้นปี หรือกลางปี 2560 ด้วยซ้ำ งานนี้บรรดานักการเมืองปากหอย ปากกา คงอดอยากปากแห้งกันอีกนาน 

ทั้งหมดฉายภาพให้เห็นได้ชัดว่าโรดแมป ของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ อยู่ในมือ“บิ๊กตู่”แต่เพียงผู้เดียว

ประเด็นที่ค่อนข้างเซอร์ไพร้ส์ คือ การแก้ไขคุณสมบัติ และลักษณะต้องห้ามของ สนช. จากเดิมกำหนดให้คนที่ต้อง“ไม่เคย”ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง เป็นต้อง “ไม่อยู่ระหว่าง”ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง โดยอ้างว่าเพื่อให้คนที่เคยถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง แต่พ้นจากระยะเวลานั้นมาแล้ว เข้ามาเป็น สนช.รวมไปถึงตำแหน่งรัฐมนตรี ด้วย แต่ทั้งนี้ไม่รวมถึงบุคคลที่เคยถูกเพิกถอนเพราะคดีทุจริตที่ยังคงอยู่

ดูเหมือนข้อนี้ คนที่ได้รับผลประโยชน์มากที่สุดคงหนีไม่พ้น “สมาชิกบ้านเลขที่ 111-109” ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนใน“ระบอบทักษิณ”แต่ก็มีเพียงคนเดียวเท่านั้น ที่เข้าข่ายจะมีงานทำในยุค คสช. ก็คือ “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์”ที่ปรึกษา คสช. ที่ระยะหลังมีบทบาทอย่างสูงกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และเป็นที่ไว้วางใจของ“บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เป็นอย่างมาก

“สมคิด”มีบทบาทเกี่ยวกับดีลทางธุรกิจกับ“จีน” สำคัญหลายอย่าง ผ่านมาจากคอนเนกชันที่ไม่ธรรมดา จึงมีกระแสข่าวออกมาก่อนหน้านี้หลายครั้งหลายคราว่า จะมีการปรับครม. โดยการดันเด็กในคาถาของ “สมคิด”มานั่งในกระทรวงเศรษฐกิจที่สำคัญ แต่ที่ยังไม่มีการปรับครม. เพราะ “หม่อมอุ๋ย”ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี ด้านเศรษฐกิจ ยังคงคุมเครือข่ายคอนเนกชันเอาไว้ได้

จึงเชื่อว่า พลันที่ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญชั่วคราวมีผลบังคับใช้ เก้าอี้ของ“หม่อมอุ๋ย-พ้องพวก”มีหวังโดนเขย่าแน่นอน และจะเป็นการเขย่าที่สร้างความปั่นป่วน และกดดันให้ “บิ๊กตู่”ตัดสินใจปรับครม. ก็เป็นได้

เพราะอย่าลืมว่า “เศรษฐกิจ”คือปัจจัยสำคัญที่จะคอยค้ำยันความอยู่รอดของ“รัฐบาลบิ๊กตู่”เพราะในอีกขวบปีข้างหน้า สถานการณ์ความมั่นคง น่าจะนิ่ง แต่สถานการณ์ทางเศรษฐกิจ จะผันผวน

หาก “รัฐบาลบิ๊กตู่”คุมเศรษฐกิจไมได้ บรรดาเจ้ากรรมนายเวร รอจองกฐินโยนบาปให้ตลอดเวลา
 
จากนี้ไป โรดแมปทางการเมืองก็อยู่มือของ“บิ๊กตู่”ความอยู่รอดของ“รัฐบาล-ขุนทหาร-เครือข่าย”ก็อยู่ในมือของ “บิ๊กตู่”ชะตาของประเทศ ยุคที่มีแต่การเปลี่ยนแปลงก็อยู่ในมือของ“บิ๊กตู่”เช่นกัน
กำลังโหลดความคิดเห็น