ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ยุทธการกำราบ “ทักษิณ ชินวัตร” ของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา คล้ายกับเข้มข้นยิ่ง
เริ่มจากกระทรวงการต่างประเทศโดย พล.อ.ธนศักดิ์ ปฏิมาประกร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ มีคำสั่งเพิกถอนหนังสือเดินทาง การแจ้งความดำเนินคดีจากผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ฐานทำให้กองทัพเสียหาย ตามด้วย พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะประธานคณะกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหาคดีความมั่นคงในราชอาณาจักร หรือ คดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เห็นว่า ทักษิณ เข้าข่ายผิด รวมทั้งการเคลื่อนไหวจากตำรวจ โดย ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ที่สั่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาถอดยศ โดยมี พล.ต.อ.ชัยยะ ศิริอำพันธ์กุล ที่ปรึกษา(สบ.10) เป็นประธาน
ปฎิกริยา “โต้กลับ” ทักษิณดังกล่าว ไล่เรียงทีละประเด็นก็จะเห็นว่า การสั่งเพิกถอนพาสปอร์ตความหมายเหมือนเป็นการตบปากสั่งสอนไม่ได้มีผลอะไรนักต่อนักโทษหนีคดี ขณะที่ดาบสอง,ดาบสาม การแจ้งความดำเนินคดีหมิ่นประมาท หรือ เอาผิดอาญาตาม ม.112 นั้นขึงขังจริงจังแต่ปฎิเสธไม่ได้ว่า ต้องใช้เวลารวบรวมหลักฐาน พยาน พิสูจน์ความผิด กว่าจะฟ้อง ไต่สวน หรือ ดำเนินการตามกฎหมายก็อาจจะต้องใช้เวลา มีเพียงหนึ่งเดียวกรณี “ถอดยศ” ที่จะเป็นจุดตายที่แท้จริง
อีกประการหนึ่ง ความผิดของทักษิณ สมควรที่รัฐบาลต้องเพิกถอนพาสปอร์ต แจ้งความดำเนินคดี เนิ่นนานแล้วก็ทำแล้ว แต่เวลานี้กระแสสังคมไปไกลกว่านั้น คือ รอว่าเมื่อไหร่ การถอดยศตำรวจของทักษิณ ที่เป็นขั้นตอนกฎหมายปกติจะทำให้จบซะที
เนื่องเพราะ ทักษิณ ชินวัตร คือ จำเลยในคดีทุจริตจัดซื้อที่ดินถนนรัชดาภิเษก ที่ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาจำคุก 2 ปี ขณะนี้อยู่ระหว่างหลบหนีคดี โดยจากการพิจารณาของคณะกรรมการถอดยศตำรวจ เห็นว่า ในกรณีนี้เข้าเงื่อนไของค์ประกอบ ระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าด้วยการถอดยศตำรวจ พ.ศ. 2547 ข้อ 1(6) ที่ระบุว่า “ต้องหาในคดีอาญาแล้วหลบหนีไป สำหรับผู้ที่มิได้อยู่ในราชการหรือหน่วยงานของรัฐ”
แต่พอมีการนำเรื่องเสนอไปยัง พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ในฐานะผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติพิจารณากลายเป็นว่า พล.ต.อ.สมยศ ได้ตีกลับหนังสือดังกล่าวลงมาอ้างว่ายังไม่มีการเซ็นชื่อของคณะกรรมการพิจารณาครบถ้วน ความหมายก็คือ “เตะถ่วง” ให้พิจารณาใหม่
อีกทั้งยังมีการให้สัมภาษณ์ ออกมาให้สัมภาษณ์ในทำนองว่า เรื่องการถอดยศ ทักษิณ ชินวัตร มีการกดดันแบบมีวาระซ่อนเร้น และ ย้ำว่าตัวเขาต้องทำตามขั้นตอนให้ถูกต้อง ไม่ทำตามอารมณ์และกระแส และ ที่สำคัญต้องสนองนโยบายและคำสั่งของ “ผู้บังคับบัญชาสองคน” คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง
ขณะเดียวกันเมื่อพิจารณาจากคำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประกอบโดยกล่าวว่า “การถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณมันหนักนิดหนึ่ง เพราะต้องนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย แล้วทำไมต้องนำพระองค์ท่านลงมาอีก ตอนนี้พระองค์ท่านก็ถูกอ้างอิงเยอะ สถาบันเสียหายพออยู่แล้ว”
**ติดที่ “คนสองคน” ?
ก่อนหน้านี้ ที่ประเทศเกาหลีใต้ ทักษิณ ชินวัตร เข้าร่วมปาฐกถาพิเศษด้านเศรษฐกิจ ในงานthe 6th Asian Leadership Conference (ALC) เขาถือโอกาสนี้ป่าวประกาศต่อคนทั่วโลก พุ่งเป้าโจมตีต่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในโอกาสครบ 1 ปีในเหตุการณ์ยึดอำนาจและเข้ามาบริหารประเทศ โดยระบุในทำนองว่าบริหารเศรษฐกิจล้มเหลว ไม่เข้าใจความรู้สึกของชาวบ้าน(เท่าเขา) พร้อมทั้งพาดพิงไปถึงกองทัพและสถาบันองคมนตรีว่าเกี่ยวข้องและอยู่เบื้องหลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 จนทำไปสู่การเพิกถอนหนังสือเดินทางและถูกดำเนินคดีจากกองทัพ รวมทั้งมีการพิจารณาถอดยศ ดังกล่าว
ประเด็นความเคลื่อนไหวของทักษิณดังกล่าวถูกขยายความตามติดจากผู้สันทัดกรณี นัยยะต่างๆค่อยๆถูกถอดรหัสออกมา โดยเฉพาะเรื่องถอดยศ นักโทษหลบหนีคดี ทำไมถึงล่าช้า กว่ากรณีอื่นๆ
คอลัมน์ใน"บันทึกหน้าสี่"ของ หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ก็ได้เขียนถึงความเคลื่อนไหวดังกล่าวในช่วงจังหวะพอดียิ่งทำให้เห็นภาพกันไปต่างๆนานา ว่าเรื่องนี้"ไม่ธรรมดา"จริงๆ ส่วนจะไม่ธรรมดาแบบไหนก็ต้องมาว่ากันอย่างละเอียดดังนี้
บันทึกฯไทยโพสต์ อิสรภาพแห่งความคิด บอกว่า เมื่อวันจันทร์กระทรวงการต่างประเทศออกประกาศเรื่อง "การยกเลิกหนังสือเดินทางของพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร (ฉบับที่ 3)" ระบุว่า "ตามที่ปรากฏข่าวในสื่อมวลชนบางฉบับว่ากระทรวงการต่างประเทศยังมิได้ยกเลิกหนังสือเดินทางทูตของพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร นั้น กระทรวงการต่างประเทศขอยืนยันข้อมูลที่ถูกต้องดังนี้
1.ก่อนที่จะยกเลิกหนังสือเดินทางของพันตำรวจโททักษิณ เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2558 พันตำรวจโททักษิณถือหนังสือเดินทางบุคคลธรรมดา (เล่มน้ำตาล) เพียง 2 เล่มเท่านั้น คือหนังสือเดินทางหมายเลข U957441 และหมายเลข Z530117 ตามที่ประกาศไปแล้ว
2.หนังสือเดินทางทูตฉบับล่าสุดที่พันตำรวจโททักษิณ ถือครองคือหมายเลข D215863 ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศได้ยกเลิกไปแล้วตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2551" ก็เป็นที่เข้าใจตรงกันว่า พาสปอร์ตเล่มแดงหมายเลข D215863 ถูกยกเลิกตั้งแต่ปี 2551 แล้ว...๐
อย่างไรก็ตาม กรณีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) อยู่ระหว่างดำเนินการไต่สวนกรณีนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ คืนหนังสือเดินทางให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ต้องดำเนินการต่อไปว่า นายสุรพงษ์ได้คืนหนังสือเดินทาง (เล่มสีน้ำตาล) ให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ผู้เป็นนักโทษหนีคดี จริงหรือไม่ และเป็นการดำเนินการชอบด้วยกฎหมายหรือไม่...๐
ว่ากันต่อที่การดำเนินการ "ถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" ดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องง่ายตามที่หลายฝ่ายอยากให้เป็น ไม่เช่นนั้น "บิ๊กอ๊อด" พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) คงไม่ตีเรื่องกลับไปให้ พล.ต.อ.ชัยยะ ศิริอำพันธ์กุล ที่ปรึกษา (สบ 10) ประธานคณะกรรมการ เป็นผู้รับผิดชอบเรื่องถอดยศ พิจารณาใหม่ให้รอบคอบแล้วนำเสนอกลับมาใหม่
และล่าสุด "บิ๊กอ๊อด" ออกอาการฉุนเฉียวว่า "หลายๆ ท่านทำโดยมีวาระซ่อนเร้น เพื่อหวังผลตามที่ตัวเองคาดหวัง ผมทำงาน ผมมีหลักการ มีรูปแบบวิธีการทำงาน แนวความคิด ตลอดจนการตัดสินใจเป็นตัวของตัวเอง โดยยึดหลักความถูกต้อง เที่ยงธรรมและกฎหมาย.. ผมมีผู้บังคับบัญชาอยู่สองท่านคือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. และนายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และ รมว.กลาโหม ดังนั้น ผมพร้อมที่จะปฏิบัติตามและสนองนโยบายและคำสั่งของท่านทั้งสองอย่างไม่มีเงื่อนไข"
เมื่อย้อนไปดูคำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ เมื่อวันก่อนว่า "การถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณมันหนักนิดหนึ่ง เพราะต้องนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย แล้วทำไมต้องนำพระองค์ท่านลงมาอีก ตอนนี้พระองค์ท่านก็ถูกอ้างอิงเยอะ สถาบันเสียหายพออยู่แล้ว" หลายฝ่ายก็น่าจะพอเข้าใจว่า "การถอดยศ" เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ต้องให้เวลาเจ้าหน้าที่พินิจพิเคราะห์ให้รอบด้านจริงๆ
นั่น คือ นัยยะที่พล.ต.อ.สมยศพยายามบอกต่อสังคม ว่า การถอดยศทักษิณ ไม่ได่อยู่ที่ผบ.ตร.อย่างเขา เขามีนายสองคน คือ พล.ประยุทธ และ พล.ประวิตร และ ประการที่ซ่อนความนัยเอาไว้คือ เขาต้องการจะเกษียณอายุราชการซึ่งเหลือเวลาอีกไม่กี่เดือนไปอย่างไม่มีปัญหากับใคร
“ผมเป็นคนขี้กลัว เกรงว่า จะเกิดความผิดพลาดจึงต้องทำอย่างรอบคอบ เรื่องเวลาไม่ใช่เงื่อนไขในการทำงานของผม ความละเอียดรอบคอบ ความไม่ผิดพลาดต่างหาก คือ หลักการและเงื่อนไขในการทำงาน ยืนยันว่าไม่กลัวว่าหากพิจารณาถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณแล้วจะส่งผลกระทบหลังเกษียณอายุราชการ เพราะ คนอย่างผมตัดสินใจทำอะไรแล้วไม่กลัว แต่ขออย่างเดียวให้สิ่งที่ทำอยู่บนพื้นฐานของความถูกต้องชัดเจน เป็นไปตามกฎหมาย ที่สำคัญที่สุดอย่ามีใครมาบังคับขู่เข็ญผมทุกรูปแบบ ยิ่งบังคับผมยิ่งดื้อ อย่ามาใช้เล่ห์เหลี่ยม อุบาย สำหรับผมไม่มีความหมายหรอก” ผบ.ตร.กล่าว
** ยศตำรวจนักโทษหนีคดี ถอดได้ ทำไมไม่ถอด
กล่าวโดยขั้นตอนปฎิบัติ ระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่า ด้วยการถอดยศตำรวจ พ.ศ.2547 ระบุชัด ตำรวจคนไหนที่เข้าข่ายจะถูกพิจารณาถอดยศมีอยู่ 7 เงื่อนไข
1.ต้องคำพิพากษาของศาลถึงที่สุด ว่าทุจริตต่อหน้าที่ราชการ แม้ศาลจะพิพากษารอการกำหนดโทษ หรือกำหนดโทษแต่รอการลงโทษไว้ก็ตาม
2.ต้องคำพิพากษาของศาลถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุก หรือโทษที่หนักกว่าจำคุก เว้นแต่ความผิดลหุโทษ หรือความผิดที่ได้กระทำโดยประมาท
3.ต้องคำพิพากษาของศาลถึงที่สุดให้เป็นบุคคลล้มละลาย เพราะก่อให้เกิดหนี้สินขึ้นโดยทุจริต
4.กระทำผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง และมีคำสั่งลงโทษไล่ออกจากราชการ
5.ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง สำหรับผู้ที่มิได้อยู่ในราชการหรือหน่วยงานของรัฐ
6.ต้องหาในคดีอาญาแล้วหลบหนีไป สำหรับผู้ที่มิได้อยู่ในราชการหรือหน่วยงานของรัฐ
และ 7.ถูกสั่งให้ออกจากราชการ เพราะขาดคุณสมบัติมาตั้งแต่ก่อนได้รับการบรรจุเป็น ข้าราชการตำรวจ
เรื่องถอดยศทักษิณ ไม่ใช่เพิ่งทำกันวันสองวัน ย้อนไปตั้งแต่สมัยปฎิวัติ 19 ก.ย.2549 จวบจนมาถึงรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ ผ่านนายพลตำรวจที่มีส่วนจะเซ็นเสนอถอดยศทักษิณมาแล้วถึง 7 คน ก่อนจะถึงพล.ต.อ.สมยศ ไล่เรียงตั้งแต่ น้องชายสุดที่รักของพล.อ.ประวิตร พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ , พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ, พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี,พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์, พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว , พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ตามลำดับ
ยืดเยื้อยาวนาน ทุกยุคทุกสมัยเรื่องนี้ถูกซุกเก็บไว้ในลิ้นชักตลอดเวลา ภายใต้การเปลี่ยนแปลงอำนาจทางการเมือง เรื่องนี้ก็หยุดนิ่ง
แต่ก็มีข้อยุตุลงเมื่อ การพิจารณาถอดยศทักษิณมาเสร็จสิ้นครบถ้วนทุกมิติรอบด้านในยุคของพล.ต.อ.ชัยยะ ศิริอัมพันธ์กุล
คณะกรรมการพิจารณาถอดยศทักษิณชุดนี้ ชี้ชัดมาแล้วว่า ทักษิณ อยู่ในข้อ 6 และขั้นตอนต่อไปคณะกรรมการณเสนอพล.ต.อ.สมยศ แล้วผบ.ตร.ก็จะส่งต่อไปยังสำนักนายกรัฐมนตรี มีคำถามเกิดขึ้นว่า ถ้ารัฐบาลที่มีอำนาจเต็มเบ็ดเสร็จอาศัยอำนาจตาม ม.44 เรื่องราวก็น่าจะง่าย และไม่สะดุด สาละวนเป็นเรือที่พายในอ่างเช่นที่เห็นๆ กันหรือไม่
ใครๆ ก็รู้ว่า "สถานะ"ของ ทักษิณ ชินวัตร ในเวลานี้คือ "นักโทษหลบหนี" คุกตะราง หนีหมายจับหลายคดี ถูกยึดทรัพย์สินจากคดีใช้อำนาจหน้าที่มิชอบ จากคดีทุจริต มีพฤติกรรมจาบจ้วงให้ร้ายสถาบันเบื้องสูง ทำลายกระบวนการยุติธรรมกล่าวหาว่า "ยุติความเป็นธรรม"ต่างกรรมต่างวาระหลายครั้ง มีหลักฐานเป็นคำพูดชัดเจน แต่ที่ผ่านมาหลายรัฐบาล หลายผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติกลับถูกสังคมมองว่าได้ "ละเว้น" ไม่ได้บังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง จนทำให้ ทักษิณ ชินวัตร "อยู่เหนือกฎหมาย" กลายเป็น"อภิสิทธิ์ชน"
กรณีของ ทักษิณ ชินวัตร กลายเป็นชวนของการลุกฮือกันขึ้นมาของประชาชนผู้รักความเป็นธรรม "ทนไม่ไหว"นับแสนนับล้านคนจากการที่มีการ"สุมหัว"กันออกกฎหมายลบล้างความผิดให้คนโกงคนฉ้อฉล
คำถามก็คือ หาก"เป็นคนอื่น"ที่กระทำผิดแบบนี้ จะมีระเบียบในการลงโทษผู้กระทำความผิดแบบไหนกันแน่ จะปล่อยให้เรื่องคาราคาซังมานานนับปีแบบนี้หรือไม่ และที่สำคัญเป็นเรื่อง "ละเอียดอ่อน"หรือไม่
ขณะเดียวกัน หากผู้กระทำผิดเป็นข้าราชการและอดีตข้าราชการทั้งทหารและตำรวจมียศตำแหน่ง จะมีระเบียบขั้นตอนดำเนินการอย่างไรบ้าง และมีการถอดยศรวมทั้งเสนอเรียกคืนเครื่องราชย์ฯกลับคืนมาหรือไม่ หากมีก็ต้องมีคำถามต่อว่าทำไมกรณีของ ทักษิณ ชินวัตร ถึงได้ละเอียดอ่อนนัก หรือว่าทั้งพฤติกรรมและคำพูดดังกล่าวที่ผ่านมาของเขา ไม่เข้าข่ายความผิด หรือว่านี่คือ"สถานะพิเศษเฉพาะตัว"ที่ต้องพิจารณาให้รอบรอบกว่าคนอื่นหรือไม่
หรือเกรงกลัวต่อการเคลื่อนไหวไต้ดินของมวลชนเสื้อแดง และพวกคนรักทักษิณ ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า ภายหลังกระแสเรื่องถอดยศดูจริงจังขึ้นมา บรรดาผู้เกี่ยวข้องเรื่องนี้ถึงกับปรับการอารักขาความปลอดภัยกันใหม่ เพื่อรองรับเหตุที่ไม่คาดฝัน
ว่าตามจริงแล้ว การถอดยศตำรวจ หรือ ข้าราชการ ตามระเบียบเป็นเรื่องปกติวิถี มีตัวอย่างที่เทียบเคียงทักษิณได้ก็เช่น กรณี พล ต ต อธิลักษณ์ ตันชูเกียรติ อดีตผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กทม.ที่ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาจำคุกคดีจัดซื้อรถดับเพลิง ถูกถอดยศ และ เรียกคืนเครื่องราชฯ
ข้าราชการอื่นๆ อีกมากมายที่ไม่มีสิทธิพิเศษ ไม่ถูกถอดยศ ไม่ถูกเรียกคืนเครื่องราชฯแบบทักษิณ
ดังนั้นการที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ระบุว่า กรณีของ ทักษิณ ชินวัตร เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ก็อาจจะใช่ แต่ถ้าพิจารณาจากมาตรฐานความผิดกันแบบมาตรฐานเดียวกันแบบเสมอภาค ตรงไปตรงมา ทุกอย่างก็สามารตอบกับสังคมได้ไม่ยาก
แต่ กรณีที่เกิดขึ้นยิ่งปล่อยเนิ่นนานสังคมก็เริ่มสงสัยหนักขึ้น เพราะ จากเรื่องที่ไม่ซับซ้อน กลายเป็นลึกลับผิดสังเกต ถอดยศ ทักษิณ ติดอะไร ติดที่ใคร ทำไมไม่ถอด
วันนี้เราอาจจะได้รับคำตอบเป็นเพราะ คนสองคน! ที่ว่ากัน