xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ “กรณีของนายทักษิณ กฎหมายต้องเป็นกฎหมายแค่นี้พอ”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ
ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -คราวนี้แม้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) จะประกาศเดินหน้าถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ตามกฎหมาย แต่กระทั่งถึงขณะนี้ สังคมก็ไม่รู้ว่าทิศทางจะจบลงอย่างไร โดยเฉพาะจากท่าทีของ “พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง” ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้ที่จะต้องเซ็นลงนามอนุมัติ

“น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ” อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์แก่ “ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์” ถึงทั้งกรณียกเลิกการพาสปอร์ตและการถอดยศของนักโทษชายหนีคดีทักษิณเอาไว้อย่างน่าสนใจ

- เห็นคุณประสงค์บอกว่ามีการถอดถอนพาสปอร์ตของทักษิณไม่ครบทุกเล่ม ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรกันแน่

การถอดถอนพาสปอร์ตของนายทักษิณ ผมได้ติดตามการเคลื่อนไหวมาโดยตลอด แต่ได้เห็นว่าการที่ฝ่ายรัฐบาลหรือกระทรวงต่างประเทศออกมาชี้แจงว่า ได้ถอดพาสปอร์ตของนายทักษิณไปแล้วสองเล่ม ซึ่งเป็นหนังสือเดินทางของประชาชนทั่วไป โดยได้บอกว่าถอนตั้งแต่ปี 2551 ฉะนั้นตรงนี้ผมยังติดใจอยู่ เพราะถ้าหากจำได้ในสมัยของรัฐบาลประชาธิปัตย์ นายกษิต (ภิรมย์) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศในเวลานั้นได้ถอนพาสปอร์ตของนายทักษิณไปแล้วทั้งสามฉบับ ไม่ว่าจะเป็นพาสปอร์ตธรรมดาทั่วไป และพาสปอร์ตทางการทูตเล่มสีแดง ซึ่งตอนนั้นรัฐบาลในปี 2551 ได้ออกมาบอกว่าถอนพาสปอร์ตออกไปหมดแล้ว ซึ่งมันก็ใช่ แต่พอรัฐบาลยิ่งลักษณ์เข้ามา รัฐมนตรีต่างประเทศในเวลานั้นคือ คุณสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล เขาก็ประกาศเลยว่าคืนพาสปอร์ตให้แล้ว แล้วปกตินายทักษิณมีพาสปอร์ตธรรมดา กับพาสปอร์ตทูตเล่มสีแดง ดังนั้นถ้าเขาจะคืนแค่พาสปอร์ตธรรมดาก็คงไม่ใช่

ใครที่ข้องใจเรื่องนี้สามารถไปดูหลักฐานในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ หลักฐานชิ้นสำคัญคือ ข่าวของไทยพีบีเอส ในวันที่ 16 ธ.ค. 2554 ที่มีข่าวเรื่องนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ออกมาให้สัมภาษณ์ว่าแกเป็นคนถือพาสปอร์ตทุกฉบับ รวมถึงเล่มสีแดงไปให้ทักษิณ โดยเหตุผลที่เคยยกเลิกไปเพราะเห็นว่าทักษิณอยู่ต่างประเทศเลยอาจจะทำให้เกิดความเสียหายต่อพาสปอร์ต แต่ตอนหลังเขาบอกว่าได้พิจารณาแล้วว่าแม้ทักษิณจะอยู่ต่างประเทศจริง แต่ก็ไม่ได้ก่อความเสียหาย จึงคืนพาสปอร์ตให้แล้วตามคำขอของนายทักษิณที่ยื่นเรื่องผ่านสถานทูตไทยในอาบูดาบี นี่เป็นการให้สัมภาษณ์ของนายสุรพงษ์ในเวลานั้น

นอกจากนั้นยังมีข่าวจากไอเอ็นเอ็น ที่รองโฆษกกระทรวงต่างประเทศในสมัยนั้นออกมาบอกว่า ได้รับหนังสือขอคืนพาสปอร์ตของนายทักษิณ กระทรวงการต่างประเทศจึงดำเนินการคืนพาสปอร์ตให้ รวมถึงยังมีหลักฐานการตั้งกระทู้ถามอภิปรายจากพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งในปี 2554 พรรคประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายค้าน เขาได้มีการตั้งกระทู้ถามนาย สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ในเรื่องนี้อย่างดุเดือด สามารถไปขอดูหลักฐานบันทึกการประชุมในปี 2554 เกี่ยวกับกระทู้ถามของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งคนตั้งกระทู้ถามคือ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์

ดังนั้นคำถามคือ ทำไมรัฐบาลในขณะนี้ถึงไม่มีการพูดเรื่องการคืนพาสปอร์ตในปี 2554 มีแต่ไปพูดเรื่องยกเลิกพาสปอร์ตในปี 2551 เพราะประเด็นคือ เขามีการยกเลิกในปี 2551 จริง แต่พาสปอร์ตในปี 2554 หายไปไหน แล้วถ้าเขาคืนพาสปอร์ตจริง ผมถามว่าเขาคืนทั้งสามเล่ม คือ พาสปอร์ตธรรมดาและพาสปอร์ตสีแดงหรือยัง

ถ้าบอกว่าคืนพาสปอร์ตธรรมดา รัฐบาลหรือรัฐมนตรีต่างประเทศก็ควรออกมาบอกว่าปี พ.ศ.2554 มีอะไรเกิดขึ้นกับพาสปอร์ตที่ให้ทักษิณไป และถอนไปหมดหรือยัง เพราะตั้งแต่ยึดอำนาจรัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์มา ก็ยังไม่ปรากฏการถอดพาสปอร์ตอะไรทั้งสิ้น การคืนพาสปอร์ตไปให้นายทักษิณตั้งแต่ปี 2554 ซึ่งตอนนี้ยังไม่หมดอายุพาสปอร์ตเลย ฉะนั้นประชาชนทั่วไปหรือผมเองยังข้องใจในเรื่องนี้อยู่ แล้วการที่นายสุรพงษ์ออกมาคืนพาสปอร์ตให้นายทักษิณในคราวนั้น ปรากฏหลักฐานเป็นข่าวตามสื่อมวลชนมากมาย นอกจากนั้นยังมีหลักฐานคำพูดต่างๆ ของเขา ซึ่งผมก็มีข้อมูลรายละเอียดเหล่านี้อยู่ ดังนั้นไปตรวจสอบดูได้ ฉะนั้นเรื่องถอนพาสปอร์ตนี้ อยากให้รัฐบาลชี้แจงให้ชัดเจนกว่านี้ เพราะจะมาบอกว่าถอนพาสปอร์ตในปี 2551 ไปแล้วอย่างเดียวไม่ได้ เพราะปี 2554 รัฐบาลยิ่งลักษณ์คืนพาสปอร์ตให้นายทักษิณ แต่ทำไมถึงไม่มีการพูดพาสปอร์ตเล่มนี้เลย

- เรื่องนี้มีวาระซ่อนเร้นอย่างไร

เรื่องนี้บอกว่ามีการลบข้อมูล ตรวจดูในคอมพิวเตอร์ไม่มี เพราะปกติในคอมพิวเตอร์จะต้องมีข้อมูลอยู่ใช่ไหม

ผมมองว่าการลบข้อมูลออกยังไม่สำคัญเท่าหลักฐานตัวเลขในการทำพาสปอร์ตว่าเลขที่เท่าไหร่ เพราะก่อนจะนำไปเข้าข้อมูล มันมีหลักฐานอยู่อีกที่หนึ่ง ดังนั้นช่วยไปตรวจสอบที

เพราะฉะนั้นสรุปว่าการถอดพาสปอร์ตปี 2554 ไม่มีการพูดถึงเลย แล้วก็มาบอกว่าไม่มีข้อมูลในคอมพิวเตอร์ของกระทรวง เพราะข้อมูลอันนั้นมันเป็นปี 2551 ในเมื่อเขาถอนแล้วก็ต้องถอนไป แต่ปี 2554 มันมาให้ใหม่อีก ถ้าข้อมูลในคอมพิวเตอร์ไม่มี แสดงว่าไม่ได้ใส่ไว้หรือลบออกทีหลัง แต่ว่าข้อมูลที่อื่น หลักฐานที่อื่น รวมทั้งหลักฐานการพูดจาของนายสุรพงษ์ที่ตอบโต้แม้ในขณะนี้ว่า ถ้ามีอำนาจจะคืนพาสปอร์ตให้อีก เรื่องนี้ยังมีการพูดถึงกันอยู่เลย ฉะนั้นต้องถือว่าเป็นเรื่องที่ต้องชี้แจงให้มากกว่านี้

หากยังมีพาสปอร์ตที่ยังไม่ได้ถอดถอนจริง คุณคิดว่าเพราะอะไรแต่ละฝ่ายถึงไม่กล้าทำอะไรในเรื่องนี้ให้ชัดเจน

ผมคาดว่าน่าจะมีใครกลัวความผิดที่จะมาถึงตนได้ ก็เลยพยายามจัดการไม่ให้มีเรื่องมีราว เช่น มีการไปเอาข้อมูลออก ดังนั้นขอให้รัฐบาลตรวจสอบเรื่องนี้ให้ดีว่าปี 2554 เกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น แล้วมีข้อมูลหรือไม่ แล้วไม่ใช่ว่าต้องตรวจสอบเฉพาะในคอมพิวเตอร์ แต่ต้องตรวจสอบหลักฐานการให้พาสปอร์ตใหม่ที่มีการรันนิ่งนัมเบอร์ของพาสปอร์ต ถึงแม้จะมีคนเอาข้อมูลออกไป แต่สามารถเช็กได้ว่ารันนิ่งนัมเบอร์นี้ต่อกันหรือไม่ เช่น มีนัมเบอร์หายไปหรือเปล่า

- ในอดีตคุณประสงค์เคยทำจดหมายร้องเรียนให้ถอดถอนพาสปอร์ตของนายทักษิณด้วย อะไรคือมูลเหตุที่ทำให้คุณตัดสินใจทำอย่างนั้น

คนคงคิดกันว่าต้องการปรองดอง ไม่อยากมีเรื่องมีราว แต่ผมมองว่าการตั้งโจทย์อย่างนี้มันผิดมาตั้งแต่ต้นแล้ว ต้องดูว่าอันไหนถูกกฎหมาย อันไหนทำผิดกฎหมาย การทำผิดกฎหมายไม่สามารถนำมาปรองดองกันกันได้ ต้องจัดการทำความผิดให้กลายเป็นเรื่องถูกต้องเสียก่อน เหมือนคนสองฝ่ายทะเลาะกัน เหมือนยึดอำนาจแล้วมาบอกว่าสองฝ่ายทะเลาะกัน ฉะนั้นต้องปรองดองกัน อันนี้ไม่ถูก พูดง่ายๆ คือ ต้องดูว่า ฝ่ายไหนทำผิดกฎหมาย ฝ่ายไหนไม่ได้ทำผิดกฎหมาย ต้องการป้องกันชาติบ้านเมือง ป้องกันสถาบันสูงสุด

ผมเลยมองว่าคนที่ทำผิดกฎหมาย เราก็ควรจะถอดถอนพาสปอร์ตออกให้หมดทุกเล่ม ถือเป็นการทำตามกฎหมาย ผมเคยพูดไว้ว่า ถ้ายศไม่ถอน พาสปอร์ตไม่ถอน แล้วปล่อยตะลอนไม่ตามจับ ผมพูดเรื่องนี้มานานแล้ว แล้วตอนนี้ก็มาพูดเรื่องกำลังจะถอดยศ แต่ก็ยังคาราคาซัง ยังไม่ไปถึงไหน แล้วการถอนพาสปอร์ต คสช. ก็ไม่ใช่คนถอน เพราะเขาถอนตั้งแต่สมัยคุณกษิต แต่ คสช.ต้องไปดูการคืนพาสปอร์ตไปให้ทักษิณนั้น คืนไปกี่เล่ม และสั่งถอนพาสปอร์ตปี 54 หรือยัง แต่ขณะนี้ไม่มีการถอนพาสปอร์ตปี 2554 ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่รัฐบาลในการทำเรื่องนี้

ส่วนเรื่องการจับกุมตัวเหมือนกัน ทักษิณเป็นนักโทษหนีคุก ยังมีหมายจับ มีคดีอยู่ตั้งหลายคดีในศาล หน้าที่ของรัฐจะต้องตามจับกุมคนร้ายที่หนีคดีสำคัญๆ เพราะเมื่อมีหมายจับ เรามีทูตอยู่ทั่วโลก มีตำรวจสากล เราก็สามารถทำเรื่องประสานกันได้ เพราะเรามีการตกลงเรื่องการส่งผู้ร้ายข้ามแดน เป็นเรื่องที่เราทำกันอยู่แล้ว แต่ในกรณีของนายทักษิณนี้ 1 ปีแล้ว ที่ผมไม่เห็น คสช. มีการเคลื่อนไหวอะไร แต่ตอนนี้ยังไม่สายเกินไปที่จะทำ

คุณไม่ต้องไปรอกฎหมายอะไรอื่น ไม่ต้องไปดูว่าหมิ่นมาตรา 112 หรือไม่ ไปรอทำไม เพราะหมายจับของศาลก็มี ทำไมไม่ทำ ดังนั้นตรงนี้ขอให้รัฐรีบดำเนินการหน่อย อย่ามัวแต่ไปคิดว่าจะเจรจา หรือกังวลเรื่องสมุนบริวารของเขาจะไม่พอใจ ในเมื่อเขาทำผิดกฎหมาย เราก็ต้องจัดการ เหมือนอย่างที่นายกฯ บอกว่ากฎหมายก็ต้องเป็นกฎหมาย ต้องทำให้ถูก

- ในฐานะที่ทำงานด้านข่าวกรองมาก่อน คิดว่าหากนายทักษิณยังมีพาสปอร์ตไทยหลงเหลืออยู่จริง จะมีปัญหาต่อความมั่นคงของไทยอย่างไรบ้าง และเราควรแก้ไขปัญหานี้อย่างไร

เรื่องนี้ถ้าหากเราไม่ได้ถอนพาสปอร์ตของเขา แต่ชาวต่างชาติยังเห็นว่าเขามีพาสปอร์ตเล่มแดง เขาก็จะมีสิทธิพิเศษสูงมาก เขาจะไปที่ไหน คนก็ไม่เข้าใจ ก็คิดว่ายังเป็นหนังสือทางราชการอยู่ ดังนั้นควรต้องรีบจัดการเรื่องนี้

แล้วการที่นายทักษิณทำผิดกฎหมายต่างๆนั้น ฝ่ายรัฐบาลขณะนี้ เมื่อได้อำนาจมาก็ควรสั่งให้กระทรวงการต่างประเทศบอกไปตามสถานทูตของเราที่มีอยู่ทั่วโลกว่า เรายกเลิกพาสปอร์ตแล้ว ถ้าพาสปอร์ตปี 54 ยังไม่ยกเลิกก็ต้องยกเลิก ไม่ว่าฉบับสีอะไรก็ตาม เพื่อให้ทุกประเทศเข้าใจ นี่คือประเด็นที่หนึ่ง

ประเด็นที่สอง คือ เรามีทูตอยู่ทุกประเทศ เวลานายทักษิณไปประเทศไหน ไปพูดเรื่องอะไรต่างๆ กับสื่อ หรือล็อบบี้ยิสต์ของนายทักษิณจะไปที่นั่นที่นี่ เพื่อทำให้สื่อต่างประเทศลงข่าวที่ไม่ถูกต้องนั้น สถานทูตไทยก็ควรมีหน้าที่ในการออกมาชี้แจงกับสื่อนั้น หรือทำความเข้าใจกับประเทศนั้น แต่นี่มีการปล่อยปละละเลยมาเป็นปีๆ

ผมเห็นว่า คสช.หรือรัฐบาลในขณะนี้ น่าจะส่งข้อมูลไปให้สถานทูตทุกประเทศว่า นายทักษิณทำผิดกฎหมายอาญาบ้านเราเรื่องอะไรบ้าง ซึ่งมันมีหลักฐานอยู่ ถ้าไม่รู้จะไปเอาหลักฐานที่ไหน ก็ไปเอาหลักฐานจากคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน หรือ คตส. ก็ได้ เพราะสมัยการรัฐประหารปี 49 เขามีการชำระคดีเรื่องคดโกงของนายทักษิณ 10กว่าคดี เอาอันนี้แจ้งทูตต่างประเทศไปเลยก็ได้ บอกว่าทักษิณไม่ได้ถูกกลั่นแกล้งทางการเมือง แต่ทักษิณต้องคดีอาญาแล้วหนีคุก แล้วเวลาทักษิณไปที่ไหน ไปให้ข่าวอะไร ก็เป็นหน้าที่ของสถานทูตไทยในประเทศนั้นจะต้องคอยติดตามว่า มีข่าวสารที่ออกมาไม่ถูกต้องตามข้อเท็จจริงไหม เพื่อไม่ให้ชาวต่างประเทศเข้าใจผิด แต่ที่ผ่านมาเราก็ทำเฉย ทั้งที่ควรจะสั่งสถานทูตให้ทำอย่างที่ผมบอก แล้วจะช่วยได้อีกเยอะเลย

แต่หากรัฐบาลไม่ดำเนินการทำอะไรเลย ผลเสียที่ตามมาคือ ต่อไปทักษิณจะจ้างล็อบบี้ยิสต์ แล้วล็อบบี้ยิสต์ก็จะทำให้ฝ่ายราชการประเทศต่างๆ เข้าใจว่าทักษิณถูกกลั่นแกล้งจากฝ่ายไทย ทักษิณไม่ได้ผิดอะไร ซึ่งประเด็นนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก

- เห็นคุณประสงค์สนับสนุนให้ถอดยศนายทักษิณด้วย เพราะอะไร

ไม่ใช่ว่าผมสนับสนุนหรอก แต่ผมเห็นว่าเขาเป็นผู้ต้องโทษคดีอาญา ศาลตัดสินเด็ดขาดไปแล้ว ปกติสำหรับข้าราชการที่มียศถาบรรดาศักดิ์ มีเครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างๆ ตามระเบียบปฏิบัติและกฎหมายก็ระบุว่าต้องถอดยศออก โดยให้กระทรวงทบวงกรมและรัฐบาลดำเนินการถอดยศ ส่วนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ก็ต้องให้สำนักนายกรัฐมนตรีที่ทำเนียบเป็นผู้ดำเนินการว่าเครื่องราชฯ มีเท่าไหร่ก็ต้องเรียกคืนหมด โดยทำพร้อมๆ กับการถอนยศ

แต่ดูแล้วทั้งสองเรื่องคือ ถอนพาสปอร์ตและถอนยศก็ยังคารังคาซังอยู่ ผมอยากให้มันเสร็จไวๆ

ตอนนี้คณะกรรมการมีมติถอดยศทักษิณออกมาแล้ว แต่เท่าที่เห็นก็ยังไม่มีการดำเนินการอะไรที่ชัดเจนนัก จนหลายฝ่ายห่วงว่าอาจจะจบแบบรอมชอมหรือเปล่า คุณประสงค์คิดว่าเป็นเพราะอะไรรัฐถึงไม่มีการจัดการขั้นเด็ดขาดเสียที

มีสองประเด็น ประเด็นแรก บรรดาสมุนบริวารของนายทักษิณหรือคนที่เคยรับใช้ทำงานมายังมีตำแหน่งหน้าที่อยู่ในราชการ ก็เลยทำทีว่าจะทำ แต่ยังซื้อเวลาอยู่ ในขณะที่ฝ่ายหนึ่งก็กลัวว่าจะไปกระทบเรื่องปรองดอง ทำให้สมุนบริวารไม่พอใจ เกรงว่าจะเกิดเรื่องวุ่นวายตามมา แต่ผมว่าทั้งสองฝ่ายอย่าไปคิดอะไรมากเลย ถ้าเป็นกฎหมายแล้วเขาทำผิดกฎหมาย ก็ขอให้จัดการตามกฎหมายเท่านั้นแหละ แล้วตัวเองวันข้างหน้าก็จะปลอดภัย ไม่งั้นก็จะพ้นความผิดที่ละเลยหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่

การที่รัฐบาลไม่กล้าทำอะไร ผมยังคิดว่าไปตกลงอะไรกันไว้หรือเปล่า ซึ่งเรื่องนี้ทำให้คนสงสัย แต่ก็ห้ามให้คนคิดไม่ได้ เพราะที่เห็นก็ยังไม่จริงจังอะไร ทำเหมือนซื้อเวลากันไปเรื่อยๆ หรือเบี่ยงไปทางโน้นที ทางนี้ที ซึ่งไม่สมควร น่าจะเด็ดขาดกว่านี้ ทีกรณีของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ (ฉายาพันธุ์) ไม่กี่วันก็ เรียกคืนหมด แล้วทำไมทำได้ แล้วกรณีของนายทักษิณใหญ่โตกว่าพงศ์พัฒน์เยอะแยะ ทำไมทำไม่ได้ แล้วถ้าหากว่าเรื่องนี้ยังช้าอีกต่อไป ความไม่พอใจของประชาชนที่เขาเห็นว่าไม่ตรงไปตรงมาก็จะเพิ่มมากขึ้น มันก็จะไม่เป็นผลดีต่อฝ่ายรัฐบาล

ผมแค่ขอให้ทำตามที่นายกฯ บอกว่า “กฎหมายก็ต้องเป็นกฎหมาย” ทำแค่นี้พอ แต่ที่ผ่านมาทั้งหมดมาเกือบปีคือ กฎหมายก็คือกฎหมาย แต่ไม่ได้ทำตามกฎหมายในหลายๆ เรื่อง ดังนั้นขอให้ผู้ที่เกี่ยวข้องหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเสียที ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการถอดยศ เรื่องถอนพาสปอร์ต หรือเรื่องไม่ตามจับ ก็ให้ตามจับเสียที อย่าปล่อยให้เขาเที่ยวตะลอนๆ พูดจาบจ้วง

ยังมีเรื่องไหนที่คุณประสงค์เป็นห่วงอีกหรือไม่

มีเรื่องการทุจริตของทักษิณและสมุนบริวาร ซึ่งยังไม่เสร็จเรียบร้อยดี เรื่องสำคัญที่สุดคือ ปัญหาภาคใต้ที่มันวุ่นวายมาถึงขณะนี้นั้น มันเคยสงบขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่พอนายทักษิณเข้ามามีอำนาจ ก็ลงไปภาคใต้ ไปสั่งการให้ทหารกลับที่ตั้งแล้วใช้ตำรวจแทน ขณะเดียวกันก็ได้จับกุมฆ่าโดยอ้างคดียาเสพติด มีการฆ่าดะเต็มไปหมด ตายเป็นพันๆ คน หรือมีการตายเยอะๆที่ตากใบ ฉะนั้นเรื่องภาคใต้เกิดขึ้นเพราะนายทักษิณ นี่จึงเป็นประเด็นความมั่นคงสำคัญที่นายทักษิณทำไว้กับประเทศ

ผมเลยมองว่าเราสามารถดำเนินการกับนายทักษิณโดยใช้เป็นคดีศาลอาญาระหว่างประเทศได้ ให้หาทางทำสิครับ เพราะศาลอาญาระหว่างประเทศเราก็มีอยู่ ถ้าเราจับตัวไม่ได้ ก็ให้ศาลอาญาระหว่างประเทศจัดการ เอาแค่เรื่องฆ่าตัดตอนคน ก็สามารถเป็นคดีระหว่างประเทศได้แล้ว ดังนั้นถือว่านายทักษิณเป็นอาชญากรจากประเทศไทย ซึ่งรัฐหรือศาลอาญาระหว่างประเทศควรจัดการเขา เพราะเขาทำผิดกฎหมายศาลอาญาระหว่างประเทศ

- นอกจากนั้น คุณประสงค์ยังออกมาเคลื่อนไหวกับภาคประชาชน เพื่อเสนอร่าง พ.ร.บ. ปิโตรเลียมใหม่แก่รัฐ อยากรู้ว่าเนื้อหาร่าง พ.ร.บ. นี้มีสาระสำคัญอย่างไรบ้าง

ขณะนี้ภาคประชาชนที่เคลื่อนไหวเรื่องพลังงานได้ร่างแก้ไขกฎหมายปิโตรเลียมปี 2514 ขึ้นมาใหม่ เพราะฉบับเดิมเอื้อประโยชน์ให้ผู้รับสัมปทาน แล้วไม่ได้มีการแก้ไขในเรื่องนี้เลย ทั้งๆที่เป็นทรัพยากรธรรมชาติของคนไทยทุกคน ตอนนี้ยังเปิดประมูลสัมปทานปิโตรเลียมไม่ได้ เพราะประชาชนออกมาเรียกร้องว่าต้องแก้ไขกฎหมายปิโตรเลียมให้เรียบร้อยก่อน แม้รัฐบาลจะจัดให้มีการเสวนาระหว่างภาคประชาชนและรัฐบาลอยู่ครั้งหนึ่ง แต่ตอนหลังก็ไม่ได้มีการทำอะไร แล้วปรากฏว่าฝ่ายกระทรวงพลังงานไปดำเนินการยกร่างกฎหมายกันขึ้นมาเอง โดยมีการเสนออะไรขึ้นมาบ้างแล้ว ซึ่งผมมองว่าเป็นการทำฝ่ายเดียว โดยไม่ให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม ถ้ารัฐบาลบอกว่าทำงานเพื่อประชาชน อันนี้ก็จะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่ารัฐบาลไม่ได้ฟังเสียงประชาชน ทั้งที่น้ำมันเป็นผลประโยชน์ของชาติ

ผมจะขอพูดในฐานะเป็นประธานของภาคประชาชนว่า ภาครวมของร่างกฎหมายปิโตรเลียมที่เราอยากจะนำเสนอนั้น มีอยู่ 3 เรื่องใหญ่คือ

เรื่องแรกเกี่ยวกับทางเลือกในการที่จะให้ต่างชาติเข้ามาดำเนินการร่วมกับฝ่ายไทย มีอยู่สามทางคือ จะให้สัมปทานก็ได้ จะให้แบบแบ่งปันผลผลิตก็ได้ หรือจะจ้างผลิตก็ได้ ในร่างกฎหมายนี้จะมีรายละเอียดทางเลือกของแต่ละทางไว้เป็นประเด็นๆ อย่างรัดกุม เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนมากที่สุด ไม่เหมือนในฉบับที่แล้ว ซึ่งรายละเอียดทั้งหมดจะอยู่ในร่างกฎหมายนี้ แต่ผมขอพูดในหลักการก่อน ซึ่งในแต่ละทาง ไม่ว่าจะเป็นสัมปทาน จ้างผลิต หรือแบ่งปันผลิต แต่ละเรื่องจะมีเงื่อนไขชัดเจนว่าจะต้องทำอย่างไร ไม่ใช่มาพูดลอยๆ

เรื่องที่สอง คือ ถ้าร่างกฎหมายฉบับประชาชนนี้ผ่านมาเป็นกฎหมายถูกต้อง มันจะเป็นพื้นฐานสำคัญในปลายปีนี้ที่จะมีการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน เพราะจะเกี่ยวข้องกับการค้าขาย การดำเนินการกับต่างประเทศ

ส่วนเรื่องที่สาม คือ กฎหมายที่ภาคประชาชนร่างมานั้นได้พูดถึง “สิทธิของประชาชนในก๊าซและปิโตรเลียม” ไว้อย่างละเอียด โดยระบุว่าทุกอย่างต้องได้รับความเห็นชอบจากภาคประชาชนในกระบวนการหรือเงื่อนไขตามที่ระบุไว้ในกฎหมาย

ทั้งสามเรื่องนี้เป็นสิ่งที่เราต้องการนำเสนอแก่รัฐและแก่ประชาชน เรามองว่ากฎหมายทั้งหมดนี้จะเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชนจะได้รับผลประโยชน์โดยตรง เพราะราคาแก๊สและน้ำมันจะไม่เป็นแบบว่าเราไม่รู้ว่าจะต้องใช้จ่ายน้ำมันเพิ่มอีกเท่าไหร่ ผมขออย่างเดียวว่าขอให้ภาครัฐฟังเสียงภาคประชาชน แล้วเอากฎหมายที่ภาคประชาชนเสนอนี้ไปประกบคู่กับของกระทรวงพลังงานหรือของรัฐ โดยเอาข้อมูลมาแลกเปลี่ยนกัน ก่อนจะออกมาเป็นกฎหมาย แล้วมันจะเป็นผลดีต่อชาติบ้านเมือง

คสช. บอกว่าจะทำงานเพื่อบ้านเมือง แต่ถ้าหาก คสช. ไม่ฟังภาคประชาชน ผมก็เสียใจว่าท่านพูดแล้วไม่ทำ ถ้าหากท่านทำงานให้บ้านเมือง ทำงานให้ประชาชนจริงๆ ก็หวังว่ารัฐบาลหรือ คสช. จะรับเรื่องนี้ไปพิจารณาหรือดำเนินการร่วมกันระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนต่อไป

ภาพโดย วชิร สายจำปา




กำลังโหลดความคิดเห็น