ย้อนรอย เหตุใด “น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ” ถึงตั้งข้อสังเกต “บัวแก้ว” ยุค คสช. กำลังหลอกคนไทยทั้งประเทศ กรณี ถอนพาสปอร์ตแดงของ “พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร” แม้ กระทรวงต่างประเทศ จะออกแถลงการณ์ด่วน ฉบับ 2 ระบุว่า มีการยกเลิกหนังสือเดินทางของพันตำรวจโท ทักษิณ ไปทั้งหมดแล้ว โดยเฉพาะหนังสือเดินทางนักการทูต “พาสปอร์ตเล่มแดง” มีการยกเลิกเมื่อ 15 ธ.ค. 51 พบ เป็นช่วงเปลี่ยนผ่าน จากรัฐบาลพลังประชาชน ไปยัง ประชาธิปัตย์ แค่ 5 วัน
วันนี้ (1 มิ.ย.) มีรายงานว่า เว็บไซต์สำนักสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ ได้เผยแพร่ข่าวเรื่อง การยกเลิกหนังสือเดินทางของพันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร (ฉบับที่ 2) ระบุว่า
ตามที่ปรากฏข่าวในสื่อมวลชนบางฉบับว่ากระทรวงการต่างประเทศ ยังมิได้ยกเลิกหนังสือเดินทางทูตของพันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร นั้น กระทรวงการต่างประเทศ ขอยืนยันข้อมูลที่ถูกต้องดังนี้
1. ก่อนที่จะยกเลิกหนังสือเดินทางของพันตำรวจโท ทักษิณ เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2558 พันตำรวจโท ทักษิณ ถือหนังสือเดินทางบุคคลธรรมดา (เล่มน้ำตาล) เพียง 2 เล่มเท่านั้น คือ หนังสือเดินทางหมายเลข U957441 และหมายเลข Z530117 ตามที่ประกาศไปแล้ว
2. หนังสือเดินทางทูตฉบับล่าสุดที่พันตำรวจโท ทักษิณ ถือครองคือ หมายเลข D215863 ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศได้ยกเลิกไปแล้วตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2551
ขณะที่ พล.ต.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การที่กระทรวงการต่างประเทศออกมาชี้แจง ถือว่าได้ถอนหนังสือเดินทางของ พ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งหมดแล้ว การที่บางฝ่ายออกมากล่าวอ้างว่ากระทรวงการต่างประเทศยังยกเลิกไม่หมด ก็ไม่ทราบว่าไม่เข้าใจหรือไม่พยายามเข้าใจกันแน่ ทั้งที่คำชี้แจงของกระทรวงการต่างประเทศถือว่าชัดเจนแล้ว
สำหรับ ข้อ 1 ที่กระทรวงการต่างประเทศระบุนั้น มีการออกข่าวสารนิเทศ เมื่อ วันที่ 26 พ.ค. ที่ผ่านมา ให้ยกเลิกหนังสือเดินทาง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ระบุ เป็นเรื่องของฝ่ายความมั่นคงได้มีการเสนอให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาดำเนินการภายในอำนาจหน้าที่ เกี่ยวกับที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พิจารณาว่าจากคำให้สัมภาษณ์ ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีเนื้อหาคำพูดบางส่วนกระทบต่อความมั่นคงในประเทศ และชื่อเสียงของประเทศไทย ทำให้กรณีดังกล่าวอยู่ในระหว่างสอบสวนเพื่อดำเนินคดีอาญาในความผิดตามประมวลกฏหมายอาญามาตรา 112 326 และ 328 ตาม พ.ร.บ.ความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 (3) (5)
กระทรวงการต่างประเทศพิจารณา เห็นว่า เข้าข่ายที่จะยกเลิกหนังสือเดินทางตามระเบียบของกระทรวงการต่างประเทศว่าด้วยการออกหนังสือเดินทาง พ.ศ. 2548 ของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นจำนวน 2 ฉบับ คือ หนังสือเดินทางหมายเลข U957441 และหมายเลข Z530117 ตามที่ประกาศไปแล้ว ตั้งแต่ วันที่ 26 พ.ค. 58
ส่วนข้อ 2 คือ หนังสือเดินทางทูตฉบับล่าสุดที่พันตำรวจโท ทักษิณ ถือครองคือหมายเลข D215863 ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศได้ยกเลิกไปแล้วตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2551
อย่างไรก็ตาม มีข้อสังเกตว่า ที่กระทรวงการต่างประเทศ ได้ระบุว่า มีการถอนพาสปอร์ต หมายเลข D215863 ตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2551 ถือเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาลจากพรรคพลังประชาชน มาเป็นรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ หลังจาก นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ พ้นจากตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศ เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2551 และในช่วงเข้าสู่กระบวนการถอนพาสปอร์ตอยู่ระหว่างวันที่ 10 - 15 ธันวาคม 2551 แต่ในช่วง นายกษิต ภิรมย์ เข้ามาดำรงตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศ เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2551
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม ปี 2551 มีรายงานข่าวจากกระทรวงการต่างประเทศ จากสื่อหลายสำนักฯ ระบุว่า ได้ยกเลิกหนังสือเดินทางทูตของอดีตนายกรัฐมนตรีแล้ว
กระทรวงการต่างประเทศ ได้แจ้งด้วยว่า ได้พิจารณาเรื่องนี้ด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง เนื่องจากมีประเด็นทางกฎหมาย และมีนัยทางการเมืองที่สำคัญ และที่ผ่านมาได้มีการทำความเห็นเสนอต่อรัฐบาลผ่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมาแล้ว 3 รัฐบาล จนกระทั่งได้มีคำพิพากษาเกี่ยวกับอดีตนายกรัฐมนตรี และคดีได้ถึงที่สุดเนื่องจากไม่มีการอุทธรณ์
ก่อนการตัดสินใจยกเลิกหนังสือเดินทางทูตดังกล่าวกระทรวงการต่างประเทศ ได้ปรึกษาหารือกับรัฐบาลอีกครั้ง จนเมื่อ 12 ธันวาคม 2551 กระทรวงการต่างประเทศ ในฐานะผู้รักษาการตามระเบียบนี้ได้ตัดสินใจยกเลิกหนังสือเดินทางทูต โดยกระทรวงการต่างประเทศได้ส่งหนังสือแจ้งเรื่องนี้ไปยังที่อยู่ของอดีตนายกรัฐมนตรีในกรุงเทพมหานครแล้ว
สำหรับหนังสือเดินทางธรรมดาที่อดีตนายกรัฐมนตรีถืออยู่อีกเล่มนั้น กระทรวงการต่างประเทศได้ส่งเรื่องให้คณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อตีความในเรื่องสิทธิเสรีภาพในการเดินทางตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญปี 2550 เพื่อนำมาประกอบการพิจารณา
รายงานจากสื่อขณะนั้น ระบุว่า “ข้าราชการระดับสูงของกระทรวงการต่างประเทศ” ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการยกเลิกพาสปอร์ตแดงของ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า การสั่งยกเลิกพาสปอร์ตแดงของ พ.ต.ท.ทักษิณ เกิดขึ้นภายหลังทันที ซึ่งอาจเป็นผลจากที่ได้รับแรงกดดันจากหลายฝ่าย
มีรายงานว่า ประมาณต้นเดือนธันวาคม 2551 น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ ได้เข้ายื่นหนังสือถึงปลัดกระทรวงการต่างประเทศสมัยนั้น ให้ดำเนินการเรื่องดังกล่าวโดยเร็ว มิฉะนั้นจะถือว่า กระทรวงการต่างประเทศละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ รวมถึงมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง
โดยขณะนั้น พรรคประชาธิปัตย์ กำลังจะเข้ามาเป็นรัฐบาลชุดใหม่ (ปี 2551) ทั้งที่ก่อนหน้านี้บุคคลที่เกี่ยวข้องกับการยกเลิก ระบุว่า ต้องใช้เวลาพิจารณาเรื่องนี้ค่อนข้างนาน เนื่องจากต้องดูข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้ถี่ถ้วน
ขณะที่ เมื่อวันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม 2554 นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ อ้างว่า ได้รับจดหมายจากข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศว่า เมื่อ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ ถนนแจ้งวัฒนะประกาศให้เป็นวันหยุดราชการจากผลกระทบน้ำท่วม
“มีข้าราชการและนักการเมืองกลุ่มหนึ่ง แอบเข้าไปลบชื่อของพันตำรวจโททักษิณออกจากบัญชีดำ พร้อมทั้งออกพาสปอร์ตเล่มใหม่ให้เรียบร้อยแล้ว”
ทั้งนี้ หนังสือเดินทางประเทศไทย ในปัจจุบันมีอยู่ 4 ประเภท คือ หนังสือเดินทางธรรมดา ที่ออกให้สำหรับประชาชนทั่วไป มีอายุไม่เกิน 5 ปี หน้าปกสีแดงเลือดหมู หนังสือเดินทางราชการ หน้าปกสีน้ำเงินเข้ม ผู้ถือต้องใช้ในราชการเท่านั้น ไม่สามารถนำไปใช้ในการเดินทางส่วนตัว หนังสือเดินทางทูต หน้าปกสีแดงสด ซึ่งจะออกให้สำหรับพระบรมวงศานุวงศ์ ประธานองคมนตรี นายกและอดีตรัฐมนตรีไปจนถึงข้าราชการระดับสูง และสุดท้าย หนังสือเดินทางชั่วคราว หน้าปกสีเขียว ที่จะออกให้สำหรับพระภิกษุและสามเณรและผู้ที่จะไปประกอบพิธีฮัจญ์
ย้อนรอย “ประสงค์” ปูด เบื้องหลังริบพาสปอร์ตแดง “แม้ว”
น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการสภาท่าพระอาทิตย์ ทางเอเอสทีวี เมื่อเช้าวันที่ 16 ธ.ค. 2551 กรณีกระทรวงการต่างประเทศ ได้เพิกถอนหนังสือเดินทางนักการทูต หรือพาสปอร์ตแดง ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ยังหลบหนีโทษจำคุกในคดีที่ดินรัชดาฯอยู่ในต่างประเทศ ว่า ตนในฐานะรับผิดชอบกระทรวงการต่างประเทศมาก่อน ย่อมทราบดีถึงกฎระเบียบข้อบังคับ และการทำงานของข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศเป็นอย่างดี นอกจากนี้ จากการที่เคยทำงานข่าวกรองมาก่อน ทำให้ทราบว่า กรณีนี้คนที่จะเดือดร้อนที่สุด คือ ข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ เพราะเป็นผู้รับผิดชอบโดยตรง
“ผมทราบมาว่า มีความพยายามที่จะกดดันกระทรวงการต่างประเทศ ไม่ให้ยกเลิกพาสปอร์ต ไม่ว่า พาสปอร์ตแดง หรือพาสปอร์ตประชาชนชนสีเลือดหมู หรือสีน้ำตาล ก็แล้วแต่ มีความพยายามกดดันมาก ผ่านมาถึงตั้งแต่รัฐบาล นายสมัคร สุนทรเวช นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และทราบว่า นายสมัคร ถึงกับข่มขู่กระทรวงการต่างประเทศ ให้หุบปากในเรื่องนี้ อย่าพูดอย่าทำอะไรทั้งสิ้น ถึงขั้นจะย้ายปลัดกระทรวง ทูตบางคน หรืออธิบดีบางกรม งานข่าวกรองผมเช็กแล้ว รู้สึกสงสารข้าราชการกระทรวงต่างประเทศ ตั้งแต่ปลัดกระทรวงลงมา เขาเป็นข้าราชการที่มีประสบการณ์ในอาชีพของเขา แต่ถูกกลั่นแกล้งทางการเมืองอย่างนี้ ผมไม่เห็นด้วย”
น.ต.ประสงค์ กล่าวต่อว่า จากข้อมูลที่ตนทราบมานั้น ถึงขั้นที่ว่า ในกรณีที่การเมืองเปลี่ยนแปลงไป ถ้าเขา (ฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ) กลับมาอีก เขาจะลงโทษเลย ทั้งกระทรวงการต่างประเทศ เพราะฉะนั้นด้วยความห่วงใยผู้ใต้บังคับบัญชาเก่า จึงได้ทำหนังสือเมื่อวันที่ 9 ธ.ค. ที่ผ่านมา ถึงปลัดกระทรวงต่างประเทศ และมอบหมายให้เพื่อนไปนำยื่นให้ที่กระทรวง เนื้อหาสรุปง่ายๆ ว่า เป็นหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงของปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ในการที่จะให้หนังสือเดินทาง ไม่ว่าประเภทไหน หรือยกเลิกหนังสือเดินทางไม่ว่าประเภทไหนกับบุคคลที่รับไปแล้ว
ในระเบียบข้อบังคับมันชัดเจนว่า ในการที่จะให้หนังสือเดินทางประเภทใดประเภทหนึ่งกับบุคคลหนึ่งบุคคลใด ถ้าบุคคลนั้นต้องคดีอยู่ แม้ว่ายังไม่ถึงที่สุด ก็จะออกหนังสือเดินทางให้ไม่ได้ ไม่ว่าประเภทใดประเภทหนึ่ง อีกกรณีคือว่า ถ้าบุคคลผู้นั้นเป็นบุคคลต้องห้าม มีประวัติไม่ดีทางอาชญากรรม หรือก่อการร้ายก็จะไม่ออกให้ กรณีที่ออกให้ไปแล้ว ไม่ว่าพาสปอร์ตแดงหรือประเภทอื่น ถ้าหากคนที่ได้รับไปแล้วประพฤติตัวไม่ถูกต้อง ถูกศาลตัดสินจะคุกไม่ว่าจะลงโทษแล้วหรือยังไม่ลงโทษ แล้วหนีไป ก็เพิกถอนได้
“กรณีพาสปอร์ตแดง มันเป็นหนังสือเดินทางพิเศษ ที่ออกให้เฉพาะบุคคลบางคน เช่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายกรัฐมนตรี ซึ่งจะให้ถือไปตลอดชีวิต ส่วนรัฐมนตรีคนอื่นๆ ประธานสภาผู้แทนราษฎร หรือประธานวุฒิสภา ก็ให้ถือพาสปอร์ตถือแดงได้ แค่ชั่วคราว เมื่อหมดวาระแล้วก็ต้องเพิกถอนโดยปริยาย เพราะฉะนั้น นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่ถือพาสปอร์ตแดงต้องประพฤติตนให้ดี สมกับที่รัฐบาลให้เกียรติ
“ในกรณีที่ไปทำผิดเข้าแล้วถูกตัดสินจำคุก ไม่ว่าจะกี่วัน กี่ปี หรือวันหนึ่ง แต่คดีถึงที่สุด โดยระเบียบปฏิบัติเลย ให้กระทรวงการต่างประเทศเรียกพาสปอร์ตคืนทันที หรือยกเลิกโดยแจ้งไปตามสถานทูต สถานกงสุลต่างๆ กรณีคุณทักษิณ คดีถึงที่สุดแล้ว ไม่มีการอุทธรณ์อีก มันเข้าระเบียบปฏิบัติตรงนี้ ที่ปลัดกระทรวงการต่างประเทศต้องปฏิบัติตาม”
น.ต.ประสงค์ กล่าวต่อว่า หนังสือที่ส่งไปถึงปลัดกระทรวงการต่างประเทศนั้น ได้เรียกร้องให้ต้องยกเลิกพาสปอร์ตแดงของ พ.ต.ท.ทักษิณ ทันที โดยอ้างถึงระเบียบปฏิบัติที่มีอยู่ มิฉะนั้นแล้ว ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ต้องรับผิดชอบ และจะถูกฟ้องร้องฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 157 มีความผิดถึงขั้นติดคุกติดตาราง ซึ่งตนรู้ล่วงหน้าว่าจะมีคนมาฟ้องแน่ จึงได้ทำหนังสืออย่างนี้ขึ้นเพื่อช่วยเหลือ
“เมื่อปลัดกระทรวง ได้รับหนังสือของผมวันที่ 9 แล้ว วันที่ 11 ปลัดก็โทร.จะขอนัดพบผม แต่ผมก็ไม่ว่าง เขาก็เป็นผู้น้อยไม่กล้าพูดทางโทรศัพท์ แต่ผมก็บอกว่ามีอะไรให้พูดทางโทรศัพท์มาได้เลย เขาก็เลยเล่าให้ฟังว่า ได้รับหนังสือของผมแล้ว และเล่าว่า ความจริงจะทำหลายครั้งแล้ว แต่ทางฝ่ายการเมืองพยายามกดดันเขา อะไรต่างๆ เขา แต่ผมจะไม่พูดรายละเอียดว่าใครกดดันเขาบ้าง รัฐมนตรีคนไหนเป็นยังไง นายกฯ คนไหนเขาทำยังไง ผมจะไม่พูด แต่ก็ได้บอกปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ว่า ท่านปลัดต้องยกเลิกทันที ไม่เช่นนั้นคุณถูกฟ้องแน่เลย ผมสงสาร ยังไงต้องยกเลิก แต่ว่าก่อนยกเลิกโดยมารยาทนี่คุณเป็นข้าราชการประจำ ให้ไปถาม คุณชวรัตน์ (ชาญวีรกูล) ที่รักษาการนายกฯ และรักษาการรัฐมนตรีต่างประเทศ ด้วยว่าเขาจะมีความเห็นยังไง คุณเอาจดหมายผมไปให้เขาดูเลย
“แล้วก็วันที่ 11 ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ก็รับปาก แล้ววันที่ 12 ก็ โทร. มาหาผมอีก บอกว่า เอาหนังสือของผมไปให้คุณชวรัตน์ดูแล้ว คุณชวรัตน์ เห็นหนังสือผมก็พูดไม่ออก และบอกปลัดว่า เป็นดุลพินิจของกระทรวงการต่างประเทศ
“ก็เป็นคำตอบที่ถูก ก็ต้องน่าชมเชย คุณชวรัตน์ ไว้ด้วยว่า อย่างน้อยก็รู้จักรักษาระเบียบการต่างๆ ที่ถูกต้องเอาไว้ เพราะฉะนั้นถ้าคุณชวรัตน์บอกว่าไม่ให้ยกเลิกละก็ คุณชวรัตน์โดนกฎหมายอาญา ฟ้องร้องทันที ทั้งๆ ที่ วันนี้มั้ง อาจจะหมดสภาพรักษาการ
“ทีนี้ท่านปลัดก็โทร.กลับมาบอกผมอีกว่า ส่งเรื่องไปให้กรมกงสุลของกระทรวงการต่างประเทศ ให้สั่งเพิกถอนแล้ววันที่ 12 นี่ก็เป็นความเป็นมา แต่ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ใช่อะไรหรอก บ้านเมืองถ้าหากว่า มันมีกฎหมายอยู่ มีกฎอยู่ มีระเบียบบอยู่แล้วก็ไม่ทำตามกฎระเบียบหรือกฎหมายเหล่านั้น บ้านเมืองมันจะอยู่กันได้อย่างไร เพียงเรื่อยงเล็กๆ อย่างนี้ยังเห็นแก่ตัวกัน แล้วพาสปอร์ตแดงนี่ เป็นพาสปอร์ตนักการทูตที่มีสิทธิพิเศษต่างๆ ที่ผู้ใช้นำไปใช้ในต่างประเทศนี่ ในการตรวจตราต่างๆ เขาไม่ตรวจ”
ส่วนกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวหาว่า เป็นการกลั่นแกล้ง ทำให้เขาเป็นหมาจนตรอกนั้น น.ต.ประสงค์ กล่าวว่า เบื้องหลังเรื่องนี้เป็นเพราะตนสงสารเจ้าหน้าที่ แต่ไม่ทราบว่า ทำไม พ.ต.ท.ทักษิณ เรียกตัวเองเป็นหมา ปกติคนเขาไม่จนตรอก หมาเท่านั้นที่จนตรอก แล้วบอกว่ากำลังจะไล่ให้จนตรอกนี่ ตนไม่คิดไล่คนให้จนตรอกเลย
ในส่วนของพาสปอร์ตธรรมดา ที่กระทรวงการต่างประเทศจะให้กฤษฎีกาตีความ ว่า ควรจะยกเลิกด้วยหรือไม่นั้น น.ต.ประสงค์ กล่าวว่า ความจริงแล้วในระเบียบปฏิบัติของกระทรวงการต่างประเทศนั้น ผู้ถือหนังสือเดินทางไม่ว่าประเภทไหน ถ้าถูกตัดสินจำคุกคดีถึงที่สุดแล้ว ต้องยกเลิกเลย ทุกประเภท แต่ว่าการที่กระทรวงการต่างประเทศยังให้กฤษฎีกาตีความก็อาจจะเป็นความรอบคอบ เพราะว่าพลเมืองย่อมมีสิทธิเสรีภาพในการเดินทางไปไหนมาไหน เพราะฉะนั้นถ้ายกเลิกหนังสือเดินทางจะขัดรัฐธรรมนูญหรือหรือไม่
“ซึ่งถ้าเป็นผม ผมยกเลิกทุกประเภทเลย เพราะระเบียบปฏิบัติให้ผมทำอย่างนี้ เป็นกฎเกณฑ์แล้วนะครับ แต่ว่าเราอย่าไปตำหนิอะไรเจ้าหน้าที่เลย เขาก็ต้องรอบคอบของเขา แต่ว่าในที่สุดแล้ว ไม่มีหรอกครับที่จะไม่ถอนพาสปอร์ต ขนาดพาสปอร์ตแดงเป็นพาสปอร์ตพิเศษยังถอนเลย พาสปอร์ตธรรมดา ทำไมจะถอนไม่ได้” น.ต.ประสงค์ กล่าว
อ่านอีกชัดๆ เหตุใด “น.ต.ประสงค์” จึงตั้งข้อสังเกตคนไทยกำลังถูกหลอก
เมื่อวันที่ 31 พ.ค. น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ อดีต รมว.ต่างประเทศ เปิดเผยว่า กระทรวงการต่างประเทศ ยังถอนหนังสือเดินทาง (พาสปอร์ต) พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไม่หมดทุกเล่ม ยังเหลือพาสปอร์ตทางการทูต หรือ พาสปอร์ตเล่มแดง ที่ออกให้กับคนที่เป็นอดีต รมว.ต่างประเทศ สามารถมีไว้ตลอดชีพ ยกเว้นมีความผิดต้องคดีถูกศาลพิพากษาจำคุก ต้องยกเลิกหนังสือเดินทางทุกประเภท ตามระเบียบปฏิบัติของกระทรวงการต่างประเทศอยู่แล้ว ดังนั้น กระทรวงการต่างประเทศต้องเร่งออกมาชี้แจงให้ประชาชนเข้าใจและคลายความสงสัยทำไมจึงไม่ยกเลิกทุกเล่ม และทำไมรัฐบาล โดย รมว.ต่างประเทศ จึงไม่สั่งการให้สถานทูตไทย ที่ประเทศเกาหลี แจ้งตำรวจสากล จับกุมตัว พ.ต.ท.ทักษิณ หลังจากไปพูดจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูงอย่างชัดเจน
น.ต.ประสงค์ กล่าวอีกว่า พาสปอร์ตที่ถอนไป 2 เล่มที่ตนเห็น เป็นพาสปอร์ตสำหรับบุคคลทั่วไป และเอกชน ในสมัยนายกษิตย์ ภิรมย์ เป็น รมว.ต่างประเทศ ได้ยกเลิกพาสปอร์ตทุกฉบับของ พ.ต.ท.ทักษิณไปแล้ว แต่มาถึงยุคของนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล เป็น รมว.ต่างประเทศ ในปี 53 กลับออกให้ใหม่ ซึ่งพาสปอร์ตตัวดี เล่มแดงนั้น สามารถเข้าได้ทุกประเทศ เพราะเป็นการให้เกียรติ ในฐานะอดีต รมว.ต่างประเทศ ความจริง พ.ต.ท.ทักษิณ หมดสัญชาติไทยไปแล้ว เพราะได้เปลี่ยนไปเป็นคนสัญชาติมอนเตเนโกร และนิการากัว จึงไม่จำเป็นต้องมีพาสปอร์ตทางการทูตของไทยอีก
“พ.ต.ท.ทักษิณ ไปพูดจาบจ้วงสถาบัน และถือเป็นนักโทษหนีคุก มีหมายจับ จึงเป็นหน้าที่รัฐบาลนี้โดยตรง ต้องจัดการแจ้งให้จับกุมส่งตัวมาดำเนินคดีในไทยทันที แต่การยกเลิกหนังสือเดินทาง คล้าย ๆ กับทำไปอย่างนั้นเอง แม้แต่การถอดยศ ความจริงก็ทำได้เลย ไม่ต้องเข้าที่ประชุม เพราะตำรวจทั่วไป หากมีคดีติดคุก ก็ต้องถูกถอดยศ เป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่เรื่องใหญ่โต” น.ต.ประสงค์ กล่าว และว่ารัฐบาลนี้ทำช้า การรัฐประหารยุค พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน จัดการฝ่ายตรงข้ามได้เด็ดขาดกว่านี้ เช่นตั้ง คตส. มาดำเนินคดีกับรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ แต่รัฐบาลนี้พยายามทำให้ยากทุกอย่าง ตั้งต้นก็ผิดแล้วที่ไปเน้นเรื่องความปรองดอง ทำให้คนสงสัยว่าไปรับงานมาหรือไม่ แม้แต่ร่างรัฐธรรมสูญ ก็ลอกของเก่ามาเกือบ 70% เขียนใหม่แค่ 30% เสียเวลาเป็นปี ตนเสียดายมากกับเงินที่หมดไปกับค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าประชุม ค่าเดินทางไปดูงานที่ประเทศเยอรมนี แต่ได้รัฐธรรมนูญที่ไม่ได้อุดช่องว่างการใช้อำนาจที่มากเกินไปของนักการเมืองเลย แถมยังไม่มีระบบการคานอำนาจ การปฏิรูปก็เขียนแบบยืดยาว ซึ่งมันผิด
“การรัฐประหารครั้งนี้อาจเสียของ และคนไทยก็จะได้ใช้รัฐธรรมนูญแบบเยอรมัน ไม่ได้รื้อทุบทิ้งโครงสร้างเดิมทั้งหมด ปัญหาเศรษฐกิจไม่คืบหน้า คนไทยมีความเป็นอยู่ลำบากทุกระดับ นายกฯ ขาดความกล้าหาญในการปรับ ครม. ทำให้ปัจจัยก่อตัว ความไม่พอใจที่มีต่อรัฐบาลนี้ยิ่งมีมากขึ้น บวกกับคลื่นใต้น้ำยิ่งขยายตัว เพราะไม่จัดการกับฝ่ายตรงข้างอย่างถอนรากถอนโคน ตั้งแต่เข้ายึดอำนาจใหม่ ๆ ซึ่งจะเป็นระเบิดลูกใหญ่ทำลายความเชื่อถือรัฐบาล ทำให้อยู่ยากขึ้น” น.ต.ประสงค์ กล่าว