ในตอนที่ 1 ผมพูดถึงประวัติที่มาของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และสถิติสูงสุดของ SET INDEX ที่ทำไว้ที่ 1,789.16 จุด เมื่อเดือนมกราคม 2537 SET INDEX ขึ้นมา 1,689.16% ภายในเวลา 18 ปี 9 เดือน นี่ยังไม่นับรวม DIVIDEND YIELD อีกประมาณ 3-4% โดยเฉลี่ย ส่วนช่วงวิกฤตต้มยำกุ้งที่ทำให้ SET INDEX จาก 1,789.16 จุด ลงไปที่ 204.59 จุดในเดือนกันยายน 2541 โดยลงไปถึง 1,584.57 จุด หรือ 88.60% ภายในเวลาเพียง 4 ปี 8 เดือน คราวนี้เรามาดูสถิติ SET INDEX กันต่อครับ
ขอเริ่มจากสถิติของ SET INDEX ปี 2557 โดยเปิดฉากขึ้นจากจุดปิดที่ 1,298.71 เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2556 ซึ่งเป็นวันทำการวันสุดท้ายของตลาดหลักทรัพย์ แล้ว SET INDEX ก็ไต่ระดับขึ้นไปตามแนวโน้มขาขึ้น โดยไปทำจุดสูงสุดของปีที่ 1,603.89 จุด เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2557 ขึ้นมาถึง 305.18 จุด คิดเป็น 23.50% สร้างผลตอบแทนให้นักลงทุนได้ดีมาก ทั้งๆ ที่ช่วงครึ่งปีแรกเรามีการประท้วงรายวันบนท้องถนน ดัชนีความมั่นใจทั้งผู้ผลิต และผู้บริโภคตกต่ำ นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาเที่ยวเมืองไทยลดลงอย่างมาก การส่งออกก็ติดลบ สร้างความประหลาดใจให้แก่นักลงทุน และผู้สนใจอื่นๆ ทั่วไป
แต่หลังจากที่ SET INDEX ขึ้นไปทำจุดสูงสุด ก็ทิ้งดิ้งลงมาตลอดจนถึงวันที่ 15 ธันวาคม 2557 ซึ่งนับว่าเป็นวันมหาวิปโยคของนักลงทุนทั้งหลายที่มีหุ้นไทยอยู่ในพอร์ต เพราะว่า SET INDEX ได้ลงจาก 1,514.95 จุด ซึ่งเป็นดัชนี ณ สิ้นวันที่ 12 ธันวาคม 2557 ไปทำจุดต่ำสุดที่ 1,375.99 จุด โดยลงไป 138.96 จุด คิดเป็น 9.17% ก่อนขึ้นมาปิดที่ 1,478.49 จุด รีบาวนด์ขึ้นมาจากจุดต่ำสุดของวันถึง 102.50 จุด คิดเป็นการดีดตัวขึ้นถึง 7.45% จากการที่ราคาน้ำมันลดลงอย่างมาก กลุ่มพลังงาน และปิโตรเคมีซึ่งถ่วงน้ำหนักใน SET INDEX พอสมควร เมื่อราคาหุ้นกลุ่มเหล่านี้ตกลงทำให้ดัชนีตกลงตาม นักลงทุนจึงเทขายหุ้นทั้งกระดาน ทำให้นักลงทุนที่ใช้ MARGIN โดน FORCE SELL บวกกับการเทขายของกลุ่มนักลงทุนที่ใช้ TRADING PROGRAM เมื่อหุ้นตกลงมาถึงจุดหนึ่งโปรแกรมก็สั่งขาย แรงขายของผรั่งที่วันนั้น NET SELL เกือบ 5,000 ล้านบาท และข่าวลืออัปมงคลผสมโรงอีก
ในที่สุด SET INDEX ก็ไปปิดที่ 1,497.67 จุด ขึ้นมาจากจุดปิด ณ วันสิ้นปีที่แล้วถึง 198.96 จุด คิดเป็น 15.32% เมื่อรวมกับ DIVIDEND YIELD ที่ประมาณ 3-4% ผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหุ้นเมื่อปีที่แล้วประมาณ 19% นับว่าไม่น้อยเลยทีเดียว เมื่อเทียบกับผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหุ้นอื่นๆ ทั่วโลก รวมทั้งการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ ทั้งๆ ที่สภาวะทางเศรษฐกิจ และการเมืองที่ไม่ดีเอาเสียเลย
เรามาดูสถิติการขึ้นของ SET INDEX อย่างต่อเนื่องที่มากที่สุดคือ
1.เริ่มจากเดือนมิถุนายน พ.ศ.2529 ซึ่งในขณะนั้น SET INDEX อยู่ที่ 127.26 จุด หลังจากนั้นก็ไต่ระดับในแนวโน้มขาขึ้นระยะยาว จนไปจบรอบขาขึ้นในเดือนมกราคม พ.ศ.2537 ที่ 1,789.16 จุดซึ่งเป็นจุดสูงสุดในประวัติศาสตร์เลยทีเดียว โดยมีนักลงทุน และนักเก็งกำไรที่ติดยอดดอยตรงจุดนี้มหาศาลเลยทีเดียว ซึ่งผมคาดว่าปีนี้คงจะมีเที่ยวบินไปรับนักลงทุนกลุ่มนั้นลงมาจากดอย แล้วไม่รู้ว่าจะมีนักลงทุนกลุ่มใหม่ไปเป็นชาวดอยแทนหรือไม่ และถ้ามี ผมเชื่อว่ารอบนี้น่าจะมีจำนวนชาวดอยมากกว่าคราวที่แล้วอย่างมาก กลับมาดูผลตอบแทนของนักลงทุนที่ลงทุนในช่วงเดือนมิถุนายน 2529 แล้วไปขายที่เดือนมกราคม 2537 จะได้กำไรถึง 1,661.80 จุด หรือ 1,305.83% ภายในเวลา 7 ปี 7 เดือน คิดเป็นผลตอบแทนแบบทบต้นมากกว่า 40% ต่อปี โดยช่วงนั้นเรามีนายกรัฐมนตรีดังนี้คือ
1.1 ช่วงมิถุนายน 2529-4 สิงหาคม 2531 พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์
1.2 ช่วง 4 สิงหาคม 2531-23 กุมภาพันธ์ 2534 พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ซึ่งเป็นช่วงที่เศรษฐกิจเฟื่องฟูมาก มีการเก็งกำไรที่ดินสูงมาก
1.3 ช่วง 23 กุมภาพันธ์ 2534-1 มีนาคม 2534 มีการทำรัฐประหารโดยคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) โดยมี พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ เป็นหัวหน้าคณะ
1.4 ช่วง 2 มีนาคม 2534-7 เมษายน 2535 นายอานันท์ ปันยารชุน
1.5 ช่วง 7 เมษายน 2535-24 พฤษภาคม 2535 พล.อ.สุจินดา คราประยูร ซึ่งในที่สุดต้องลาออกหลังจากเกิดการประท้วงครั้งใหญ่ที่เรียกว่า พฤษภาทมิฬ
1.6 ช่วง 24 พฤษภาคม 2535-10 มิถุนายน 2535 นายมีชัย ฤชุพันธุ์ รองนายกรัฐมนตรีรักษาการในตำแหน่ง
1.7 ช่วง 10 มิถุนายน 2535-23 กันยายน 2535 นายอานันท์ ปันยารชุน เป็นนายกฯ ขัดตาทัพเพื่อจัดให้มีการเลือกตั้ง
1.8 ช่วง 23 กันยายน 2535-มกราคม 2537 นายชวน หลีกภัย หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ในสมัยนั้น นับเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 20 ของประเทศไทย (ประเทศที่มีการใช้นายกฯ เปลืองที่สุดในโลก?)
2.เริ่มจากเดือนมิถุนายน 2529 SET INDEX อยู่ที่ 127.26 จุด แล้วขึ้นไปทำ HIGH ที่ 1,143.78 จุด ในเดือนกรกฎาคม 2533 โดยขึ้นมาถึง 1,016.52 จุดหรือ 798.77% ภายในเวลา 4 ปี 1 เดือน คิดเป็นผลตอบแทนแบบทบต้นประมาณ 70% ต่อปี นับว่าเป็นอัตราผลตอบแทนที่สุดแสนมหัศจรรย์จริงๆ
strong>3.เริ่มจากเดือนพฤศจิกายน 2557 SET INDEX อยู่ที่ 380.05 จุด แล้วไต่ระดับขึ้นไปที่ 1,649.77 จุดในเดือนพฤษภาคม 2556 ขึ้นมา 1,269.72 จุด หรือ 334.09% ภายในเวลา 4 ปี 6 เดือน คิดเป็นผลตอบแทนแบบทบต้นเกือบ 40% ต่อปี ซึ่งเป็นช่วงที่เรามีนายกรัฐมนตรีดังนี้คือ
3.1 ช่วงพฤศจิกายน 2551-2 ธันวาคม 2551 นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ถูกออกจากตำแหน่ง เพราะคำวินิจฉัยของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ ให้ยุบพรรคพลังประชาชน
3.2 ช่วง 2 ธันวาคม 2551-17 ธันวาคม 2551 นายชวรัตน์ ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรี รักษาการในตำแหน่ง
3.3 ช่วง 17 ธันวาคม 2551-5 สิงหาคม 2554 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
3.4 ช่วง 5 สิงหาคม 2554-พฤษภาคม 2556 น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
4.เริ่มจากเดือนพฤศจิกาจน 2533 SET INDEX อยู่ที่ 536.74 จุด แล้วไต่ระดับขึ้นไปที่ 1,789.16 ในเดือนมกราคม 2537 ขึ้นมา 1,252.42 จุด หรือ 233.34% ภายในเวลาเพียง 3 ปี 2 เดือน คิดเป็นผลตอบแทนแบบทบต้นมากกว่า 45% ต่อปี
ผลตอบแทนที่กล่าวมาทั้งหมดยังไม่ได้นำอัตราเงินปันผลอีกประมาณ 3-4% มาบวกเข้าไปอีกนะครับ
Kitichai Taechangamlert
ติดตามสาระดีๆ และแนวทางการลงทุนของผมได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/VI.Kitichai
Twitter : http://twitter.com/value_talk
หรือหนังสือ จาก 1 ล้านเป็น 500 ล้านผมทำอย่างไร