ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -คดีทุจริตประมูลที่ดินรัชดาภิเษก จนทำให้พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ประสบชะตากรรมกลายเป็นนักโทษหนีคดีโดยคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเมื่อวันที่ 17 กันยายน 2551 และเข้าสู่กระบวนการถอดยศตามหลักเกณฑ์ข้อ 1 (6) แห่งระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าด้วยการถอดยศตำรวจ พ.ศ.2547 ที่ระบุว่า การเสนอถอดยศตำรวจทั้งแก่ผู้ที่อยู่ในราชการและพ้นจากราชการไปแล้วให้กระทำได้ต่อเมื่อ เป็นผู้ต้องหาในคดีอาญาแล้วหลบหนีไป
ผ่านไปเกือบ 7 ปีการถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพิ่งจะเป็นเรื่องเป็นราว และดูเหมือนว่าจะทำได้สำเร็จเมื่อพล.ต.อ.ชัยยะ ศิริอำพันธ์กุล ที่ปรึกษา สัญญาบัตร 10 ออกมาแถลงต่อสาธารณะเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม ที่ผ่านมาให้ทราบว่าขณะนี้ตัวแทนจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มีมติเป็นเอกฉันท์ 5 - 0 ให้ถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ และขั้นตอนต่อไปคือการนำเสนอพล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง ผบ.ตร.เพื่อพิจารณามีความเห็นอีกครั้ง
แม้จะมีแง่มุมทางการเมืองจากฝ่ายที่สนับสนุนอดีตนายกฯออกมาแสดงความเห็นอย่างหลากหลาย เช่นเป็นการกลั่นแกล้งหรือเจ้าคิดเจ้าแค้นทั้งที่ยังมีปัญหาอีกมากมายขอให้รัฐบาลแก้ไข แต่สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือการชำระสะสางให้บ้านเมืองมีหลักนิติรัฐ นิติธรรม ขั้นตอนในแต่ละเรื่องที่ยังคงค้างคาอยู่จะด้วยเหตุผลใดๆก็ตามจำเป็นต้องเดินต่อไปตามกระบวนการของกฎหมายให้ถึงที่สุด
ท่ามกลางความสนใจของผู้คนต่างจับจ้องมายังปฏิบัติการถอดยศ และแรงกดดันทั้งหมดไปตกอยู่ที่ ผบ.ตร.ซึ่งจะเป็นปราการด่านสุดท้ายก่อนเข้าสู่กระบวนการทูลเกล้าฯเพื่อทรงรับทราบต่อไปนั้น หลายฝ่ายเริ่มมีปฏิกิริยาห่วงใย กลัวไปว่าจะเหมือนทุกยุคที่ผ่านมาหรือไม่เพราะไม่เคยมี “ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ”หน้าไหนกล้าจัดการกับเรื่องถอดยศ “ทักษิณ”
หรือแม้แต่ฝ่ายการเมืองในยุคของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งถือว่ามีอำนาจอย่างเต็มที่ยังไม่เห็นความสำคัญ ปล่อยให้เรื่องถอดยศอดีตนายกรัฐมนตรีผู้หลบหนีคดีค้างเติ่งอยู่ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไล่มาตั้งแต่พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณพล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธ์ศรี (รักษาการณ์และนั่งเต็มตัว) พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงห์แก้ว ( เพรียวพันธ์ กับ อดุลย์ ไม่ต้องนับเพราะอยู่ในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจรักษาการณ์ฯ และพล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วงผบ.ตร.คนปัจจุบัน เหลืออายุราชการอีก 4 เดือน
หลายคนเอาตัวรอด บางคนไม่คิดทำเพราะเป็นเครือข่ายในระบบ จนมาถึงจังหวะ “เข้าทาง”เอื้อทุกอย่างที่จะสะสางเรื่องคาราคาซังให้เสร็จสิ้น
พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง ผบ.ตร.แสดงท่าทีต่อเรื่องนี้ว่าตนมีรูปแบบการทำงาน และต้องรอบคอบการแสดงความคิดเห็นเชิงปรามาส ดูแคลนว่าจะกรรเชียงรอเกษียณอายุราชการ นั้นอย่ามากดดันกัน
“ผมผ่านชีวิตมามาก และก็รู้เท่าทันท่านทั้งหลายพอสมควร ดังนั้นจะรับฟังแต่สิ่งที่ถูกต้องเท่านั้น ผมเป็นข้าราชการตำรวจ มีวินัยพร้อมที่จะรับฟังและปฏิบัติตามคำสั่งผู้บังคับบัญชาที่ชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น ในสายการบังคับบัญชา ตามกฎหมายของผมมีผู้บังคับบัญชาอยู่สองท่าน คือ หัวหน้า คสช. และนายกรัฐมนตรีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และพล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคงและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ดังนั้นผมพร้อมที่จะปฏิบัติตามและสนองนโยบายและคำสั่งอย่างไม่มีเงื่อนไข แต่ทั้งสองท่านยังไม่เคยแทรกแซง หรือสั่งให้ผมทำในสิ่งที่ผิดกฎหมาย ดังนั้นคนอื่นที่รู้ตัวว่าไม่ใช่โปรดเคารพสิทธิ์ผมด้วย”
ถอดจากคำสัมภาษณ์ของ “บิ๊กอ๊อด” มาทุกคำพูด...แน่นอนว่าไม่ว่าใครก็คงไม่อยากถูกกดดัน โดยเฉพาะเรื่องสำคัญๆยิ่งจำเป็นต้องพิจารณาให้รอบครอบ ให้เป็นไปตามกฎหมาย แต่สำหรับกรณีถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ยังมีมุมมองที่หลากหลาย ในฐานะบุคคลสาธารณะ พล.ต.อ.สมยศ ก็ควรเคารพในสิทธิ์ของคนไทยทุกคนที่แสดงความห่วงใยในเรื่องนี้
ไม่รวม หัวหน้า คสช. และ “บิ๊กป้อม”ที่ ผบ.ตร.ยกไว้บนหิ้งแค่ 2 คนเท่านั้น ถามว่าใครจะสั่งให้ทำในสิ่งที่ผิดกฎหมาย และใครจะแทรกแซงเพราะของอย่างนี้สังคมไทยเขาเห็นกันชัดแจ้งแดงแจ๋
ข้อเท็จจริงอยู่ตรงที่“เผือกร้อน”มันมาอยู่ในมือท่านแล้ว ท่านจะโยนทิ้งหรือจัดการอย่างไรตัวท่านเป็นคนตัดสินใจเท่านั้นไม่ต้องเฉไฉไปเรื่องอื่น
วิวาทะหรือศึกน้ำลายกับผู้คนในสังคม หรือนักการเมืองที่เจือสมประโยชน์กับการถอดยศ “ทักษิณ”ท่านเก็บมาเป็นอารมณ์ก็ไม่มีประโยชน์ คำตอบเดียวก็คือจะเห็นด้วยตามมติ 5-0 หรือแช่แข็งต่อไป เท่านั้นจริงๆ
ใหญ่แค่ไหนก็จับ...ใหญ่แค่ไหน ก็ไม่กลัว ท่านอย่าลืมคำนี้เพราะท่าทีลังเลโดยอ้างความผิดพลาดทางเอกสารหรืออื่นๆเริ่มฟังไม่ขึ้น มติ 5-0 จากที่ประชุม 6 คน 1 เสียงที่หายไปจะด้วยเหตุผลใด ขาดประชุม ติดราชการต่างประเทศคงไม่มีศรีธนญชัยกลับชาติมาเกิดเอาไปล้มมตินี้ได้
ความเป็นจริงที่ยังยึกๆยักๆก็คือความกล้าในหัวใจท่านมีข้าราชการตัวแสบหลายคนที่เข้าเกียร์ว่าง หรือทำงานแบบหน้าไหว้หลังหลอก พวกนี้แม้แต่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หรือผู้มีอำนาจในขณะนี้ก็ต้องรู้ดี
ต่อหน้าก็สู้ สู้ไปขาสั่นไป โดยเฉพาะแวดวงตำรวจอันเป็นถ้ำของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มาในอดีต ตำรวจหลายคนก็ยังเล่นบทสองหน้า ด้านหนึ่งทำงานให้กับรัฐบาลอย่างเต็มที่ อีกด้านแอบมีสายสัมพันธ์ลับๆกับขั้วอำนาจเก่า
ตำรวจประเภทนี้มีประสบการณ์สูง ประเภทมีหมวกหลายใบ มีนายหลายคน ใครชนะกูเอาด้วย ลีลาแบบนี้คือที่มาของตำรวจไทยหลายคนในยุคปัจจุบัน ถ้าเปลือยอกกันชนิดแก้ผ้าคุยจะร้องอ๋อทันทีเพราะหลายคนเชื่อว่ามีเลือกตั้งเมื่อไหร่ “ทักษิณ”ก็จะกลับมาใหญ่อีกครั้ง
คราวนี้ไหนจะลูก ไหนจะน้อง ไหนจะตัว(กู)เองและอีกสารพัด หากตัดสินใจฟาดฟันกับเขาแบบสุดตัว พลาดพลั้งไปใครจะมารับผิดชอบรวมทั้งผลที่จะตามมาในอนาคต
อย่างไรก็ตามทุกลีลา (ตำรวจ)ที่เราท่านได้มองเห็นนั้นหากไม่กล่าวถึงพล.ต.อ.ชัยยะ ศิริอำพันธ์กุล ที่ปรึกษา สัญญาบัตร 10 ในอีกแง่มุมหนึ่งก็คงกระไรอยู่ ประวัติคร่าวๆของ “พล. ต อ ชัยยะ”เป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจ (นรต.) รุ่น 34 รุ่นเดียวกับพล.ต.ท.ฐิติราช หนองหาญพิทักษ์ ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง คนปัจจุบัน
ถ้าจะมองว่ามีความสนิทสนมกับคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ก็ต้องรับว่าเขารักกันจริง ด้านหนึ่งของคุณสนธิ หากติดความเป็นสื่อและนักธุรกิจที่ผ่านประสบการณ์มาอย่างโชกโชน ท่านก็คือผู้ใหญ่คนหนึ่งที่มีเมตตาต่อน้องๆหรือทุกคนที่เข้ามาหา
พล.ต.อ.ชัยยะ ศิริอำพันธ์กุล เสมือนเพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่งในจำนวนหลายๆคนที่เดินเข้ามาในชีวิต แต่น้องคนนี้ต่างจากคนอื่นที่ สุข ทุกข์ รวย จน ไม่ว่าอยู่ในสภาพอย่างไรก็ยังยืนเคียงข้าง มั่นคงอย่างสม่ำเสมอ
ไม่เคยกลัวว่าจะถูกมองอย่างไร ทั้งสูงสดและต่ำสุดในชีวิตของคนชื่อสนธิ คนชื่อชัยยะ ก็คงเป็นอย่างนั้น
เส้นทางรับราชการไม่หวืดหวาหรือมีอภิสิทธิ์ไปกว่าใคร ช่วงการเปลี่ยนแปลงยุครัฐบาล “ขิงแก่” สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ส่งไปเป็น ผบช.ภ. 5 คุมภาคเหนือตอนบนต่อจากพล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม และการออกมาเปิดและปิดจ๊อบกรณีถอดยศ “ทักษิณ”นั้นแม้จะถูกมองว่ามีวาระซ่อนเร้นอะไรหรือไม่ เป็นการกลั่นแกล้งกันหรือเปล่า คำตอบยืนยันได้ชัดเจนคือกระบวนการถอดยศ นั้นเป็นหน้าที่โดยตรงของสำนักงานกำลังพลฯ ซึ่งพล.ต.อ.ชัยยะ ได้รับมอบหมายจาก ผบ.ตร.ให้รับผิดชอบหน่วยงานนี้จึงเป็น “หน้างาน”สายตรงที่รับผิดชอบ
17 กันยายน พ.ศ.2551 อันเป็นวันพิพากษาคดีทุจรติที่ดินรัชดาภิเษก จนทำให้พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ต้องกลายเป็นนักโทษหนีคดีอาญาแผ่นดิน มาถึงวันนี้ผ่านไปเกือบ 7 ปีการถอดยศนักโทษหนีคดีเพิ่งจะเป็นเรื่องเป็นราวทั้งที่เป็นไปตามระเบียบแบบแผน เป็นเรื่องปกติธรรมดาของคนทั่วไป
เว้นแต่คนชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร”ที่ยังคงน่าเกรงขาม อันเป็นเหตุผลที่ทำให้เรื่องธรรมดา เรื่องง่ายๆกลับเต็มไปด้วยอุปสรรคและปัญหา
แม้แต่พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง ผบ.ตร.ที่เคยประกาศว่าตำรวจในยุคของเขาใหญ่แค่ไหนถ้าทำผิดกฏหมายก็ต้องจับ ยังออกอาการลูกสูบสะดุด มีความกังวลใจไม่น้อยกับการถอดยศ “ทักษิณ”