ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ปรากฏการณ์ “โรฮีนจา”ที่สังคมไทยและโลกได้รับรู้ ต้องถือว่าเป็นเรื่องราวที่อยู่ในความสนใจของคนทุกเพศทุกวัย ประวัติศาสตร์ความเป็นมาถูกตีแผ่อย่างละเอียดในทุกด้านทุกมุม แม้แต่ประเทศพม่าซึ่งไม่เคยแสดงท่าทีอะไรกับปัญหานี้ แต่กระแสที่เกิดขึ้น ภาพของความทุกข์ทรมานรวมทั้งสุสานโรฮีนจา ที่ขุดพบอย่างต่อเนื่องจำนวนเกือบ 100 ศพ ทำให้การอพยพของกลุ่มชาติพันธุ์มุสลิม หรือ“โรฮีนจา”ไม่ใช่เรื่องธรรมดาที่ประเทศไทย หรือสังคมโลกจะเฉยเมยอีกต่อไปได้
แม้แต่พม่าที่เย็นชาต่อปัญหานี้มาโดยตลอด ตอนนี้แสดงท่าทีอ่อนลง มีการประกาศให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม และตอบรับการประชุม 15 ประเทศที่จะมีขึ้นในวันที่ 29 พ.ค.นี้
เป็นอันว่าปัญหา"โรฮีนจา" ที่เริ่มต้นด้วยความเลวร้าย แต่จากความจริงใจของรัฐบาลที่ประกาศให้เป็นวาระแห่ชาติ มีการระดมสรรพกำลังทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นทหาร ตำรวจ กรมประมง กระทรวงแรงงาน กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพัฒนาสังคมฯ และกระทรวงการต่างประเทศ เมื่อมีข้อมูลสุสานเขาแก้วอันเป็นที่ฝังร่างชาวโรฮีนจา และค่ายกักกันชั่วคราวสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ รอง ผบ.ตร. ฝ่ายกฎหมาย ทำหน้าที่ ผอ.ศูนย์พิทักษ์เด็กและสตรี รวมถึงการปราบปรามขบวนการค้ามนุษย์ และกองบัญชาการตำรวจภาค 9 ได้เข้าปราบปราม และคลี่คลายอย่างทันควัน ปฏิบัติการขุดรากถอนโคนจนถึงวันที่ 20 พ.ค. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ออกหมายจับขบวนการค้ามนุษย์ไปแล้ว 71 หมาย
เป็นการจับกุม 17 ราย มอบตัว 14 ราย และอายัดระหว่างดำเนินคดีอื่น 2 ราย คงเหลือผู้ต้องหาอีก 38 ราย ที่กำลังไล่ล่าอยู่ ปฏิบัติการที่รัฐบาลไทยแสดงให้เห็นจึงน่าจะพบทางออกที่ดี และมีผลบวกต่อกรณีสหภาพยุโรป (อียู) ให้ใบเหลืองไทย เพื่อเร่งจัดการกับการทำประมงผิดกฎหมาย รวมไปถึงกรณีสหรัฐฯ เตรียมประกาศรายงานสถานการณ์ค้ามนุษย์ประจำปีภายในเดือนนี้
แน่นอนว่าผลจะเป็นอย่างไรทั้งรัฐบาล และคนไทยทุกคนคงเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อ แม้บางกระแสเชื่อว่า ทั้งสหภาพยุโรป กับสหรัฐฯ อาจมีเบื้องหน้าเบื้องหลังเพื่อแทรกแซงทางการไทยหลังการยึดอำนาจยาวนานจนครบ 1 ปี และยังมีกฎหมายต่างๆ ที่โลกประชาธิปไตยไม่อาจยอมรับ แต่การปราบปรามอย่างเฉียบขาดไม่มีการละเว้นใดๆ ทั้งข้าราชการ นักการเมือง หรือบรรดาผู้มีอิทธิพลต่างๆ ทั้ง อียู. และสหรัฐฯ เองคงต้องทบทวนท่าทีของตนอย่างจริงจังอีกครั้ง เป็นเรื่องไม่ง่ายที่จะบีบเค้นประเทศไทยให้ตกเป็นเบี้ยล่างอีกต่อไป
แม้ปรากฏการณ์โรฮีนจา ที่หมักหมมมานับ 10 ปีกำลังจะได้รับการแก้ไขจากประชาคมโลก แต่ไม่น่าเชื่อว่าผลกระทบจากเรื่องนี้คนไทยด้วยกันเองก็มีเรื่องเล่า มีมุมมองมีประเด็นต่างๆ ให้หยิบมาวิพากษ์วิจารณ์กัน
ประเด็นนักข่าวสาว ฐปณีย์ เอียดศรีไชย แห่ง ข่าวสามมิติ สถานีโทรทัศน์สีช่อง 3 ลงพื้นที่เสนอข่าวขบวนการค้ามนุษย์ และการอพยพของชาติพันธุ์โรฮีนจา มาอย่างต่อเนื่อง ถูกโลกโซเชียลถล่มอย่างหนักในหัวข้อ “ดราม่าโรฮีนจา”ลุกลามขนาดกล่าวหาไม่รักชาติ เป็นข่าวใหญ่โตขึ้นมาอีกเรื่องหนึ่ง
แนวคิดไม่ต้องการให้ประเทศไทยทำตัวเป็นม้าอารีลุกลามไปอย่างรวดเร็ว กลายเป็นอารมณ์ร่วมของคนไทยจำนวนหนึ่ง ที่สนับสนุนแนวทางของรัฐบาล และไม่ต้องการให้ต่างชาติ หรือสื่อต่างๆ กดดันการตัดสินใจของทางการไทย นักข่าวเจอดราม่าโรฮีนจา จนต้องยุติบทบาทตัวเองชั่วคราว
แต่ “ดราม่าตำรวจไทย”ก็มีเรื่องให้เม้าท์มอยส์ เพราะเกิดการไม่เคารพกฎจราจร มีการขับรถปาดหน้ากันอย่างน้อย 2 ครั้ง จากการลงพื้นที่ของตำรวจใหญ่ 2 คน คือ พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ รอง ผบ.ตร. เจ้าของหน้างานที่รับผิดชอบโดยตรง กับ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รอง ผบ.ตร.ฝ่ายความมั่นคง ที่กำลังขับเคี่ยวขึ้นเป็นหมายเลข 1 ของยุทธจักรปทุมวันสืบต่อจาก พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. ที่นับเวลาถอยหลังอีก 4 เดือน
พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ ถือเป็นนายตำรวจมีอาวุโสสูงสุด มีผลงานเป็นที่ยอมรับ แต่ด้วยเหตุผลที่ไม่อาจอธิบายได้ นอกจากคำว่า “เหมาะสม” พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง รอง ผบ.ตร. อาวุโสอันดับที่ 4 ในขณะนั้นโดดแซงอย่างไม่เขอะเขิน พร้อมกับกติกาใหม่ให้สิทธิ์คนเป็น ผบ.ตร.เสนอชื่อ ว่าที่ ผบ.ตร.ได้เพียงชื่อเดียวต่อคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ซึ่งกติกานี้ “บิ๊กอ๊อด” ได้รับสิทธิพิเศษจาก พล.ต.ท.วัชรพล ประสารราชกิจ อดีตรักษาการ ผบ.ตร.ไปแล้ว
ด้วยความที่มิได้เป็นนักเรียนนายร้อย จบกฎหมายปริญาตรี จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง และโท จากรั้วจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทำให้ภาพรวมต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องคอนเน็กชัน การเล่นพรรคเล่นพวกทีเล่นกันทั้งใต้ดินบนดิน ตำรวจหลายคนที่สนิทชิดเชื้อกับ รองฯเอก มักได้ยินเสียงถอนหายใจ เสียงบ่นว่าโดดเดี่ยว
ในทางกลับกัน ความคึกคักกลับไปอยู่ที่ “บิ๊กแป๊ะ”เพราะนอกจากจะมีเพื่อน นรต. 36 ช่วยกันแท็กทีมทำงาน และประชาสัมพันธ์กันอย่างเต็มที่ ยังได้รับการสนับสนุนจาก “บิ๊กอ๊อด”อย่างออกหน้าออกตา
หันไปข้างซ้ายเจอ “บิ๊กช้าง” พล.ต.ท.ดร.ชัยวัฒน์ เกตุวรชัย ผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล เหมือนแมวโดเรม่อน ยืนหนวดกระดิกอยู่ใก้ลๆ หันไปข้างขวาเจอ “แป๊ะน้องเลิฟ” พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รอง ผบ.ตร. ฝ่ายความมั่นคง ผู้หมายมั่นปั้นมือให้เป็น ผบ.ตร.คนใหม่ ยืนชิดอยู่ข้างกาย
กระแสขับรถปาดหน้าก็มาจากวันแถลงข่าวการมอบตัวของ “โกโต้ง” นายปัจจุบัน อังโชติพันธุ์ อดีตนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด หรือ อบจ.สตูล ซึ่งเป็นผู้ต้องหารายสำคัญขบวนการค้ามนุษย์ นายตำรวจที่ควรจะร่วมการแถลงฯ คือ พล.ต.อ.เอก ในฐานะผู้รับผิดชอบหน้างาน และเป็นนายตำรวจที่สังคมรับรู้ว่าทำหน้าที่จัดการกับขบวนการค้ามนุษย์ มาแต่วันแรกๆ
แต่ทำไมวันนั้นจึงมีแต่ บิ๊กอ๊อด บิ๊กแป๊ะ และ บิ๊กโดเรม่อน
เอาล่ะ...ถ้ามองกันอย่างปรองดองสมานฉันท์ ก็สมควรยกผลงาน ยกบารมีให้กับ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ไม่เสียแรงที่เคยลงไปรับผิดชอบ ภาค 9 การเข้าถึงและการติดต่อขอมอบตัว แสดงให้เห็นเครือข่ายที่กว้างขวางเต็มไปด้วยประสิทธิภาพ แต่กลับกันหากมองกันด้วยหลักมารยาท พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. ในฐานะผู้นำหน่วย และเป็นผู้บังคับบัญชาของ ทั้ง รองแป๊ะ และ รองเอก ท่านรู้สึกอย่างไรกับการวางตัวแบบเอียงกระเท่เร่ เหมือนเลือกที่รัก มักที่ชัง
เหตุผลก็คือ ก่อนหน้าโกโต้ง จะถูกพาตัวมาโปรโมตว่าที่ ผบ.ตร.เพียงไม่กี่ชั่วโมง มีข่าวลอยลมจากสำนักงาน รอง ผบ.ตร. ตึกหน้าปีกขวา ระบุว่า รอง ผบ.ตร.ผู้ควบคุมคดีโรฮีนจา กับท่าน ผบ.ตร. ยังพูดคุยปรึกษาหารือกันอย่างออกรสออกชาด
“บิ๊กอ๊อด”ไม่หลุดสักคำว่า “โกโต้ง”ดอดมามอบตัวตั้งแต่เมื่อคืน และเมื่อเปิดแถลงข่าวไม่มีใครแจ้ง ไม่มีใครสะกิด “บิ๊กเอก”ให้รู้ตัว แถมยังปิดเป็นความลับ
พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ ปกติก็แสนจะโดดเดี่ยวอยู่แล้ว มีงานสำคัญๆ เข้ามาทั้งที ชื่อชั้นจากที่เงียบๆ จนแทบหมดราคาต่อรองส่งให้ลอยขึ้นมาเด่นๆ แต่พอถึงพริกถึงขิงกลับมีนักเลงดีเร่งเครื่องแซงปาดหน้าซะงั้น ซ้ำพี่ใหญ่ยังเห็นดีเห็นงามไม่ยอมเป่านกหวีดห้ามปรามอะไร ทั้งเนื้องาน และผลงานที่ควรได้รับเต็มๆ ก็ถูกแบ่งเนื้อสะโพก เนื้อน่องไปโดยสองเกลอแห่งรุ่น 36
นี่คือดราม่าโรฮีนจา ในสังคมตำรวจ
ว่าไปแล้ว ห้วงเวลาที่เหลืออีก 4 เดือนของ “บิ๊กอ๊อด”และเพียง 3 เดือน คือช่วงสิงหาคม จะต้องเสนอชื่อว่าที่ ผบ.ตร. คนใหม่กันแล้ว ตัวเกร็งไม่ต้องเล็งใครให้เมื่อยต้อง อ.เอก กับ จ.จักรทิพย์ อยู่แล้ว แต่ความได้เปรียบเสียเปรียบเขาดูกันตรงไหน ดูที่เนื้องาน ความอาวุโส ประวัติความเป็นมา หรือโชควาสนา
ฝ่ายหนึ่งสมัยเด็กจบโรงเรียนวัด และบังเอิญคนเป็นใหญ่ในแผ่นดินเวลานี้ ก็เป็นศิษย์ร่วมสถาบัน
“วัดนวลนรดิศคอนเน็กชัน”หาญสู้ “นักเรียนนายร้อยรุ่น 36 คอนเน็กชัน”ใครจะหมู่จะจ่า ชั่งน้ำหนักปอนด์ต่อปอนด์ ตามประวัติคนเป็น “อธิบดีกรมตำรวจ”หรือ “ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ”เกือบ 90 เปอร์เซ็นต์ มาจาก นรต. ทั้งสิ้น
พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ รอง ผบ.ตร. ฝ่ายกฎหมาย การเคลื่อนไหวนิ่งๆ ไม่หวือหวา เพิ่งเข้าตาตอนเกิดกรณีขบวนการค้ามนุษย์ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รอง ผบ.ตร. ฝ่ายความมั่นคง เคลื่อนไหวกันอย่างคึกคัก ประเดิมผลงานเมื่อเดือนตุลาฯ 57 ด้วยการยกทีม นรต. 36 ไปพิชิตคดีเกาะเต่า แม้จะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์จับแพะ แต่ตำรวจก็มีทีเด็ดจนมั่นใจว่าจะมัดตัว 2 พม่า ผู้ต้องหาในคดีได้
วันที่ 1 ก.พ.58 เกิดระเบิดที่ห้างสยามพารากอน ย่านธุรกิจใจกลางกรุงเทพมหานคร ช่วงแรกมีภาพวงจรปิดระบุตัวคนร้ายชัดเจน อีกทั้งยังมีการพูดถึงตำหนิรูปพรรณมือระเบิดเทียบความหล่อเหลาปานพระเอกชื่อดัง แต่จนแล้วจนรอดมาถึงบัดนี้คดียังไม่คืบหน้า จับมือใครดมไม่ได้
เดือนมี.ค.58 เกิดคดีสะเทือนใจชาวพุทธ เมื่อมือปืนเหี้ยมบุกยิงพระหมอ หรือ พระอาจารย์บัณฑิต สุปันโณ เจ้าอาวาสวัดป่าตอสีเสียด อ.เมืองฯ จ.อุดรธานี พล.ต.อ.จักรทิพย์ พร้อมเพื่อน นรต. 36 อาทิ พล.ต.ท.ชัยวัฒน์ เกตุวรชัย ผบช.สันติบาล พล.ต.ท.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ ผบช.ประจำสำนักงาน ผบ.ตร. พล.ต.ต.คัชชา ธาตุศาสตร์ ผบก.กองแผนงานกิจการพิเศษ พล.ต.ต.สุวัจน์ แจ้งยอดสุข รอง ผบช.น. พล.ต.ต.รณศิลป์ ภู่สาระ ผบก.ยุทธศาสตร์ พล.ต.ต.จิตรจรูญ ศรีวนิชย์ รอง ผบช.ภ.4 รักษาการ ผบก.จ.อุดรฯ ในขณะนั้น พล.ต.ต.สุทธิพงษ์ วงศ์ปิ่น เป็นต้น
ยกขบวนไปซะขนาดนั้น ในที่สุดคนร้าย และผู้ใช้จ้างวานถูกจับได้ทั้งหมด
วันที่ 10 เม.ย.58 เกิดระเบิดคาร์บอมบ์ ที่ห้างเซ็นทรัลเฟสติวัล เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี พร้อมกับไฟไหม้สหกรณ์สุราษฎร์ธานี (โค-ออป) แม้จะมีการควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยจำนวนหนึ่ง ตามมาตร 44 แต่ไม่เป็นที่เปิดเผยต่อสาธารณะอย่างชัดเจนถึงขั้นตอน และการดำเนินการสอบสวนต่างๆ ตลอดทั้งกลุ่มจ้างวานที่ระบุไปถึงนักการเมืองระดับประเทศ จึงควรนับว่าเป็นคดีที่ยังไม่สามารถปิดได้อีกคดีหนึ่ง
ล่าสุดช่วงเดือน พ.ค.58 เกิดข่าวใหญ่ 2 ข่าว คือ การทะลายแชร์ลูกโซ่ ยูฟัน และขุดรากขบวนการค้ามนุษย์ ซึ่งแต่เดิม พล.ต.ท.สุวิระ ทรงเมตตา ผู้ช่วย ผบ.ตร. เป็นผู้ดูแลคดีแรก และ พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ รอง ผบ.ตร. เป็นผู้ควบคุมคดีตามหน้างานรับผิดชอบ แต่กระนั้น พล.ต.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. ก็สวมบท “เฮียดัน” ให้โอกาส พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รอง ผบ.ตร. ฝ่ายความมั่นคง โดดไปรับผิดชอบงานต่างๆ ทั้งหมด ทั้งที่ความจริงมีเจ้าภาพรับผิดชอบอยู่แล้ว
ความปรารถณาดีต่อ “น้องเลิฟ”เป็นเรื่องที่พอเข้าใจได้ ยิ่งตอนนี้หันซ้ายหันขวา มีแต่คนข้างตัวที่ถูกอกถูกใจทั้งนั้น “ใหญ่อย่าลืมเล็ก อิ่มอย่าลืมหิว” หรือขนาดยกกันให้เห็นระบบอุปถัมภ์เจ๋งๆว่า “นกมีขน คนมีพวก”
คนจะรักจะถูกใจกันห้ามไม่ได้ แต่ในฐานะผู้บังคับบัญชา ท่านต้องพยายามแยกแยะ
เผลอความหวังดีแท้ๆ อาจจะส่งผลเสียอย่างไม่รู้ตัว เพราะคดีความมั่นคงต่างๆนั้น หากมีคำถามดังๆ ตามมา จะสามารถตอบได้หรือไม่ว่าคดีสยามพารากอน คดีเกาะสมุย หรือแม้แต่เหตุร้ายรายวันใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีมุมมอง และมีคำตอบเรื่องนี้อย่างไร
เพราะในที่สุดแล้ว คำตอบจะกลับมาตรงผู้ได้รับมอบหมายหน้าที่ และการจ่ายงาน ในฐานะบังคับบัญชา
แข่งกันแทบบ้า แย่งกันแทบตาย ถ้าคนมีอำนาจเขาไม่ยัดรายชื่อใส่มือ ผบ.ตร. ท่านจะกล้าเสนอผิดไปจากนี้หรือเปล่า