คอลัมน์ : จุดคบไฟใต้
โดย...ไชยยงค์ มณีพิลึก
ปัญหาการค้ามนุษย์นับเป็นเรื่องของ “ขยะใต้พรม” ที่หมักหมมมานานนับสิบๆ ปี โดยเพราะ จ.สงขลา คือ แหล่งค้ามนุษย์ที่ใหญ่ที่สุดในภาคใต้ และเป็นศูนย์กลางของเครือข่ายค้ามนุษย์ที่โยงใยไปทั่วโลก
นอกจาก จ.สงขลา จะเป็นศูนย์กลางการค้ามนุษย์แล้ว ยังเป็นแหล่งทำหนังสือเดินทางปลอม และเอกสารปลอมที่ขึ้นชื่อที่สุด รวมทั้งเป็นศูนย์รวมของขบวนการอาชญากรข้ามชาติที่มาจากหลายประเทศ โดยมีชาวมาเลเซียเป็นอันดับต้นๆ
ขบวนการค้ามนุษย์ “ชาวโรฮีนจา” ที่เป็นขยะใต้พรมกองแรกที่ถูกคุ้ยเขี่ยในขณะนี้ เป็นเพียงหนึ่งส่วนของการค้ามนุษย์ใน จ.สงขลา เท่านั้น และก่อนที่จะส่งออกโรฮีนจาได้ใช้พื้นที่ อ.สะเดา จ.สงขลา เป็นฐานเป็นที่พักพิงตามแนวชายแดนก็ไม่ใช่ของใหม่ เพราะเกิดขึ้นมานานเกือบ 10 ปีแล้ว หาใช่เรื่องที่เพิ่งเคยเกิดขึ้นมาในเวลานี้แต่อย่างใด
กลุ่มผู้ทำหน้าที่ “เคลียร์พื้นที่” ตั้งแต่การสร้างค่ายกักกัน ประสานงานกับเจ้าหน้าที่รัฐไม่ว่าจะเป็น ตำรวจภูธร ตชด. ตม. และฝ่ายปกครอง รวมทั้งหน่วยอื่นๆ คือ กลุ่มเก่าที่เคยค้าแรงงานเถื่อนจากภาคอีสานเพื่อไปตัดอ้อยในมาเลเซีย รวมถึงเคยส่งออกหญิงสาวทั้งจากไทยเอง และจากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น พม่า ลาว และอื่นๆ ไปมาเลเซีย
ขบวนการค้ามนุษย์ที่ อ.สะเดา จ.สงขลา ก็ไม่ได้มีแค่กลุ่มคนที่อยู่ในพื้นที่ ต.ปาดังเบซาร์ เพียงกลุ่มเดียว ยังมีอีกกลุ่มหนึ่งที่อยู่ในพื้นที่ ต.สำนักแต้ว และ ต.สำนักขาม ซึ่งมีพื้นที่ติดกับชายแดนมาเลเซีย ด้านรัฐเกดะห์ ซึ่งกลุ่มนี้มีนักการเมืองท้องถิ่น และผู้นำท้องที่เป็นหัวขบวนเช่นเดียวกัน
วันนี้มีการรื้อขยะใต้พรมเพื่อกวาดล้างกลุ่มค้ามนุษย์ที่ ต.ปาดังเบซาร์ แต่ในพื้นที่ ต.สำนักแต้ว และ ต.สำนักขาม ของ อ.สะเดา กลับยังไม่มีการแตะต้อง หรือแม้แต่พูดถึง อาจจะเป็นเพราะยังไม่พบสุสาน หรือที่ฝังศพต่างด้าวที่เสียชีวิตในลักษณะเดียวกัน
แม้วันนี้พื้นที่ฝังศพโรฮีนจาบนเทือกเขาแก้ว บ้านโล๊ะ ต.ปาดังเบซาร์ อ.สะเดา จะส่งผลให้มีการส่งเจ้าหน้าที่หลายระดับ และจากหลายหน่วยงาน ทั้งตำรวจภูธร ตชด. และ ตม. เข้าไปนั่งตบยุงเฝ้าจับตาอยู่ แต่ไม่ได้หมายความว่า ปัญหาการค้ามนุษย์ใน จ.สงขลา จะหมดไป อีกทั้งไม่ได้หมายความว่า ผู้ร่วมกันทำผิดที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐจะหมดอยู่แค่นั้น
ยังมีเจ้าหน้าที่รัฐอีกจำนวนมากที่เกี่ยวข้องต่อการค้ามนุษย์โดยตรง ทั้งที่เป็น “นายหน้า” เป็น “ผู้จัดหา” เป็น “ผู้นำเข้า” และ “ผู้ส่งออก” โดยใช้ตำแหน่งหน้าที่เอื้อต่อการกระทำผิดกฎหมาย อีกทั้งมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่นั่งตีขิม “เรียกรับส่วย” จากขบวนการค้ามนุษย์ทั้งแบบ “รายหัว” และ “รายเดือน” ที่ยังคงหลุดรอดจากร่างแหของการกวาดล้างในครั้งนี้
กรณีของการค้ามนุษย์ชาวโรฮีนจาที่เกิดขึ้นใน จ.สงขลา ถ้าจะเอาผิดต่อข้าราชการ และหน่วยงานที่บกพร่องต่อหน้าที่ หรือปล่อยปละละเว้น ซึ่งเป็นไปตามมาตรา 157 นั้น ถ้าจะขุดรากถอนโคนกันจริงๆ ผู้ที่อยู่ในข่ายถูกโยกย้าย และถูกสอบสวนไม่ใช่แค่ตำรวจภูธร ตชด.และ ตม.เท่านั้น
แต่ยังมีมากกว่านั้น โดยเฉพาะฝ่ายปกครอง และทหารที่ต้องรับรู้ และรับทราบถึงการค้ามนุษย์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่รับผิดชอบ
ที่สำคัญ อ.สะเดา จ.สงขลา ไม่ได้มีเพียงการค้ามนุษย์ที่เป็นชาวโรฮีนจาเท่านั้น แต่ยังมีการค้ามนุษย์ในรูปแบบอื่นๆ อีกหลายรูปแบบ ไม่ว่าเป็นการปล่อยให้หญิงสาวชาวจีนแผ่นดินใหญ่เข้ามาอาศัยอยู่เพื่อขายบริการทางเพศที่เป็นแหล่งใหญ่ที่สุด
อีกทั้งมีการปล่อยให้หญิงสาวจากลาว และประเทศอื่นๆ เข้ามาอาศัยเพื่อ “ขุดทอง” จากนักเที่ยวชาวมาเลเซีย ซึ่งทั้งหมดอยู่ในข่ายของการค้ามนุษย์ด้วย
แม้ว่าวันนี้ยังจะไม่เป็นปัญหา หรือไม่เป็นเรื่องใหญ่ แต่วันหนึ่ง “โสเภณีข้ามชาติ” เหล่านี้อาจจะเป็นข่าวโด่งดัง และสร้างความเสียหาย และเสื่อมเสียให้แก่ประเทศชาติได้ เช่นเดียวกับเรื่องการส่งผ่านชาวโรฮีนจา หรืออาจจะยิ่งกว่าก็เป็นไปได้ด้วยซ้ำ
การกวาดขยะใต้พรมที่เป็นเรื่องการค้ามนุษย์ชาวโรฮีนจาจะสำเร็จไม่ได้เลย หากหน่วยงานที่รับผิดชอบจะทำการกวาดล้าง หรือทำความสะอาดแค่พื้นที่ อ.สะเดา จ.สงขลา เพราะเครือข่ายการค้ามนุษย์ที่ จ.สงขลา โยงใยไปทั่วในทุกพื้นที่ที่เป็นเมืองชายแดน ไม่ว่าเป็น จ.สตูล จ.นราธิวาส จ.พังงา จ.ระนอง และอีกหลายจังหวัดในภาคเหนือ ซึ่งเป็นเส้นทางที่ใช้ในการลำเลียงผู้ที่เป็นเหยื่อเข้ามายังชายแดนใน จ.สงขลา
ดังนั้น สิ่งที่ต้องทำในวันนี้เพื่อให้เสียหายเพียงครั้งเดียว และไม่ “เสียของ” คือ ตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครอง และฝ่ายอื่นๆ จะต้องรวมกันกวาดล้างขบวนการค้ามนุษย์ ซึ่งไม่ได้หมายถึงการค้าโรฮีนจาเพียงอย่างเดียว แต่หมายถึงการค้ามนุษย์ในทุกรูปแบบ ทั้งที่เป็นโสเภณีข้ามชาติ เป็นแรงงานเถื่อน แรงงานทาสในเรือประมง และในสถานที่อื่นๆ ซึ่งขณะนี้ยังมีอยู่มากมาย
แม้ว่ารัฐบาลจะสั่งให้กวดขันจริงจัง แต่ก็ยังไม่หมด เข้าทำนอง “ถี่รอดตาช้าง ห่างรอดตาเล็น”
ขบวนการค้ามนุษย์ กับเจ้าหน้าที่ที่ยังเสพติดผลประโยชน์อันมิชอบ เวลานี้ยังร่วมมือกันเพื่อใช้ช่องทางใหม่ๆ ในการทำผิดกฎหมายต่อไป เพราะหากทำได้แค่การกวาดล้างผู้ทำผิดที่ อ.สะเดา ด้วยการลงโทษเจ้าหน้าที่เพียงไม่กี่คน และจับกุมผู้ทำความผิดที่ยังไม่ใช้ตัวการใหญ่
อีกไม่นานขบวนการส่งผ่านชาวโรฮีนจาก็จะคืนชีพอีกครั้ง
“ส่วย” ที่เป็นเม็ดเงินจากการค้ามนุษย์ชาวโรฮีนจานั้น หล่นเรี่ยราดตั้งแต่ในน่านน้ำอันดามัน จนตลอดระยะทางเหยียดยาวหลายร้อยกิโลเมตรกว่าจะไปถึง อ.สะเดา อันเป็นสถานที่กักกันสุดท้าย ซึ่งก็หาใช่มีเฉพาะที่ชายแดน อ.สะเดา เพียงแห่งเดียวก็หาไม่
ดังนั้น ถ้าจะกวาดล้างกันอย่างจริงๆ ถึงขั้น “ขุดรากถอนโคน” ขบวนการค้ามนุษย์ ผู้มีอำนาจก็จะต้องดำเนินการตั้งแต่ “ต้นทาง” จนถึง “ปลายทาง” นั่นแหละ ทำอย่างนั้นถึงจะประสบผลสำเร็จ
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร สิ่งที่เกิดขึ้นจนนำสู่การจับกุมผู้ทำความผิด และการโยกย้ายเจ้าหน้าที่ผู้มีส่วนบกพร่องจนก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศชาติครั้งนี้ ต้องถือว่าเป็นการ “เชือดไก่ให้ลิงดู” ครั้งสำคัญ
แม้ว่าขบวนการค้ามนุษย์จะไม่เข็ดขยาด แต่สำหรับเจ้าหน้าที่คงจะอกสั่นขวัญแขวนกันทั่วหน้า โดยเฉพาะข้าราชการตัวเป้งๆ ที่นั่งทับอึกองใหญ่ หลังจากนี้ก็คงจะเพลาๆ การรับส่วยลงไปบ้าง และนั่นหมายถึงความเลวร้ายของประเทศชาติที่ลดน้อยลงไปด้วยนั่นเอง
สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ทุกคนกำลังมองข้ามคือ “มาเฟีย” ที่แท้จริงของไทยในวันนี้ ได้แก่ “นักการเมืองท้องถิ่น” และ “ผู้ปกครองท้องที่”
เพราะไม่เพียงแต่ในเรื่องการค้ามนุษย์ที่ จ.สงขลา และ จ.สตูล เท่านั้น ซึ่งผู้ต้องหาทั้งหมดล้วนเกี่ยวข้องต่อนักการเมืองท้องถิ่น และผู้นำท้องที่ แต่คดีใหญ่ๆ ทุกคดีที่เกิดขึ้นในประเทศ ผู้ที่อยู่เบื้องหน้า และเบื้องหลัง รวมทั้งผู้ที่ถูกจับกุมเมื่อเจ้าหน้าที่เอาจริง ล้วนแต่เป็นกลุ่มที่เป็น หรือเคยเป็น “นายกฯ” หรือ “รองนายกฯ” ทั้งระดับ อบจ. เทศบาล อบต. หรือไม่ก็เป็น ส.อบจ. ส.ท. ส.อบต. รวมถึงกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน สารวัตรกำนัน และผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน เป็นต้น โดยเฉพาะวนเวียนอยู่ในคนกลุ่มนี้กว่า 80%
เชื่อไหมว่าซุ้มมือปืนทั่วประเทศ โดยเฉพาะในภาคใต้นั้นทั้งหมดเป็นซุ้มของนักการเมืองท้องถิ่น หรือไม่ก็ผู้นำท้องที่
ไม่เพียงเท่านั้น บ่อนการพนัน บ่อนชนโค บ่อนไก่ บ่อนกัดปลา และอีกหลากหลายธุรกิจเถื่อน ล้วนแต่เป็นของนักการเมืองท้องถิ่น และผู้นำท้องที่ด้วยเช่นกัน
การลักลอบค้าเหล้า บุหรี่ น้ำมันเถื่อน และของเถื่อนอีกนานาชนิดที่ จ.สงขลา และ จ.สตูล คือ ขบวนการเดียวกันกับขบวนการค้ามนุษย์โรฮีนจาที่ตกเป็นผู้ต้องหาอยู่ในขณะนี้ ซึ่งยังมีกลุ่มคนพวกนี้อีกจำนวนมากที่ไม่ถูกจับกุม แถมยังดำเนินการธุรกิจเถื่อนได้ต่อไป ในวันที่เจ้าหน้าที่เอาจริงก็ใช้วิธีหลบออกจากพื้นที่ชั่วคราว หลังเหตุการณ์ปกติก็จะดำเนินการกับธุรกิจเถื่อนต่อไป
สิ่งที่รัฐบาลต้องทำในขณะนี้ไม่ใช่แค่เรื่องการจับกุมขบวนการค้ามนุษย์โรฮีนจาเพียงเรื่องเดียว แล้วหลังจากนั้นก็ถือว่าจบกันไป แต่กระทรวงมหาดไทยต้องลงมือ “สังคายนา” กลุ่มมาเฟียที่เป็น “นักการเมืองท้องถิ่น” และ “ผู้นำท้องที่” เพื่อกวาดบ้านให้สะอาด ตรงนี้ต่างหากที่เป็นโจทย์ใหญ่ และสำคัญที่สุดในการแก้ปัญหาสังคม และการบังคับใช้กฎหมาย
ทั้งโดยข้อเท็จจริง และโดยความเป็นธรรมบนมาตรฐานของความยุติธรรม ปัญหาการค้ามานุษย์โรฮีนจาที่ จ.สงขลา และ จ.สตูล ที่โด่งดังในขณะนี้ จำเลยของสังคมไม่ใช่มีเพียง “ตำรวจ” เท่านั้น “ฝ่ายปกครอง” ก็อยู่ในข่ายของการปล่อยปละละเลยเช่นเดียวกัน
และที่หนักกว่าคือ ผู้อยู่ในขบวนการค้ามนุษย์ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นหน่วยงานที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของฝ่ายปกครองทั้งสิ้น