ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -เป็นข่าวใหญ่ระดับยึดพื้นที่พาดหัวไม้ตามหน้าสื่อต่างๆ มากว่าสัปดาห์ เรื่องราวข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ “ขบวนการค้าโรฮิงญา” ถูกถ่ายทอดบนพื้นที่สาธารณะที่ดำเนินต่อเนื่องมา ล้วนสร้างความตื่นระทึกปะปนฉงนสงสัยในความรู้สึกของผู้คน ซึ่งไม่ใช่เฉพาะเป็นข่าวดังกระฉ่อนให้คนไทยเฝ้าตามติดเท่านั้น นานาประเทศต่างก็หันมาสอดส่ายสายตามาเมียงมองด้วยความสนใจ
น่าแปลกที่ประเด็นข่าวเยี่ยงนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วอย่างนับครั้งไม่ถ้วน แม้จะเป็นข่าวใหญ่บ้างในบางครั้ง แต่ก็มักจะถูกทำให้เงียบเชียบลงในเวลาเพียงไม่นาน จากนั้นเรื่องราวก็จางหายไปแบบแทบจะไร้ร่อยรอย อันเป็นไปพร้อมๆ กับความเป็นคนขี้ลืมของสังคมไทย
แต่ครั้งนี้อาจจะด้วยคณะผู้กุมบังเหียนการนำพาประเทศชาติ ได้อำนาจมาแบบพิเศษบนซากปลักหักพังที่อ้างว่าสังคมไทยเกิดความแตกแยก แล้วมีความพยายามสร้างภาพความเป็นรัฐนาวาธรรมาภิบาล ขณะที่ท่านผู้นำแม้จะขี้รำคาญไปบ้าง แต่ก็มักจะถูกอธิบายว่าเป็นคนนิสัยใจคอรักความเป็นธรรม ที่สำคัญมีการฉายภาพความเป็นคนดีปรากฏเด่น จึงน่าจะส่งผลให้ข่าวที่ปรากฏครานี้กลายเป็นหนังยาว และยังเดาไม่ออกว่าตอนจบจะเป็นเยี่ยงไร
ความจริงแล้วกรณีความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับ “ขบวนการค้ามนุษย์ข้ามชาติ” โดยเฉพาะการที่กำหนดเอาชนกลุ่มน้อยชาว “โรฮิงญา” จากรัฐยะไข่ในประเทศพม่าเป็นสินค้า และมีการส่งเข้ามาใช้ดินแดนไทยเป็นทางผ่านเพื่อไปขายแรงงานในประเทศที่สาม ซึ่งเรื่องนี้ได้กลายเป็นข่าวระลอกล่าสุดแบบไม่น่าจะเป็นประเด็นใหญ่โตอะไร เพราะข่าวทำนองนี้ได้เกิดขึ้นบ่อยครั้งในรอบสิบปีที่ผ่านมา
แต่เมื่อมีความจงใจของกลุ่มคนในสายอำนาจรัฐต้องการให้เป็นข่าวใหญ่ การตีปี๊บเพื่อให้เกิดความครึกโครมจึงอุบัติขึ้น?!
ประเด็นตั้งต้นก่อนที่จะเป็นข่าวดังกระฉ่อนหนนี้ เริ่มต้นจากข่าวเล็กๆ ที่ปรากฏทางหน้าสื่อเมื่อวันที่ 29 เม.ย.2558 แบบที่คนไม่ค่อยสนใจนัก ข่าวนี้ ASTVผู้จัดการภาคใต้ ได้พาดหัวไว้ว่า “ตร.เมืองคอนแกะรอยคดีค้ามนุษย์ จับนายหน้าโรฮิงญาพัวพันเหตุฆ่าแรงงานชาติเดียวกัน” เนื้อหาก็บอกเพียงว่า ตำรวจ สภ.นครศรีธรรมราช ร่วมกับ สภ.สงขลา ติดตามจับตัว นายอานัว ชาวโรฮิงญา อายุ 40 ปี ซึ่งถูกศาล จ.นครศรีธรรมราชออกหมายจับในคดีฉ้อโกงไว้ได้ช่วงคืนที่ผ่านมาในท้องที่ อ.เมือง จ.สงขลา ก่อนจะถูกส่งตัวไปให้ สภ.นครศรีธรรมราชดำเนินคดี
สาเหตุก็เนื่องจาก นายกูราเมีย ชาวโรฮิงญาที่อาศัยอยู่ จ.นครศรีธรรมราชอย่างถูกต้องได้แจ้งความไว้ว่า หลานชาย 2 คนคือ นายรอฟิต กับ นายคาซิม หลบนี้ออกจากรัฐยะไข่ในพม่าเมื่อราว 6 เดือนก่อน เมื่อเข้าสู่ไทยกลับถูกจับตัวไปกักขังเพื่อเรียกค่าไถ่ไว้ที่ค่ายกักกันใน จ.สงขลา บริเวณใกล้ชายแดนไทย-มาเลเซีย ซึ่งนายอานัวเดินทางไปหาที่ จ.นครศรีธรรมราช เพื่อทำหน้าที่นายหน้าติดต่อให้ไปเสียค่าไถ่เป็นเงิน 95,000 บาท แต่เมื่อโอนเงินจ่ายค่าไถ่ตัวแล้วกลับไม่ยอมส่งตัวหลานชายให้ แถมเรียกเงินอีกรอบ 120,000 บาท จากการที่ไม่มีเงินจะให้เพิ่มจึงได้ตัดสินใจเข้าแจ้งความให้ตำรวจช่วยเหลือ
ต่อมาตำรวจสืบทราบว่าฝ่ายนายอานัวทราบเรื่องที่น้าชายของเหยื่อทั้ง 2 คนเข้าแจ้งความไว้ที่ สภ.นครศรีธรรมราช ก็เลยเกิดความไม่พอใจอย่างหนัก จึงกลับไปที่ค่ายกักกันใน จ.สงขลาเพื่อปฏิบัติการสั่งสอน โชคดีที่นายรอฟิตหนีออกจากค่ายกักกันไปได้ จึงเหลือเพียงนายคาซิมและได้ถูกฆ่าตายเพื่อเป็นการโต้ตอบในที่สุด
สำหรับข่าวการจับกุมตัวนายอานัวนายหน้าค้ามนุษย์ที่เป็นชาวโรฮิงญาด้วยกันที่ จ.นครศรีธรรมราชครั้งนี้ เมื่อเป็นข่าวก็เป็นไปเช่นเดียวกับข่าวในลักษณะเดียวกันที่เกี่ยวข้องกับขบวนการค้ามนุษย์ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วมากมาย หลายต่อหลายครั้งยังถึงขั้นมีผู้เสียชีวิตนับสิบราย อย่างการลักลอบขนชาวโรฮิงญาแล้วเกิดอุบัติเหตุ เป็นต้น หรือที่เพิ่งเกิดขึ้นก่อนหน้าไม่นานคือ ข่าวการสังหารนายหน้าค้าชาวโรฮิงญา 2 ศพใน จ.สตูล และ จ.สงขลา หรือแม้กระทั่งข่าว 5 นายทหารลักพาตัวแกนนำขบวนการค้าโรฮิงญาในพื้นที่ จ.สงขลา ไปเรียกค่าไถ่ 2 ล้านบาท
เมื่อไม่มีความพยายามขยายผลให้เป็นประเด็นใหญ่ ข่าวเกี่ยวกับขบวนการค้าโรฮิงญาข้ามประเทศเหล่านั้นก็ค่อยๆ จางหายไปจากการรับรู้ของสังคม!!
ทว่า ช่วงเช้าของวันที่ 1 พ.ค.2558 กลับปรากฏมีกองกำลังเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงนำโดย พล.ต.ต.เอกภพ ประสิทธิ์วัฒนชัย รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 พล.ต.ต.อำพล บัวรับพร ผู้บังคับการตำรวจภูธร จ.สงขลา ตำรวจ สภ.สะเดา ทหารร้อย ร.5021 เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง จ.สงขลา ตำรวจกองปราบ ฝ่ายปกครอง อ.สะเดา เจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้ระเบิด และเจ้าหน้าที่จากศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 9 รวมแล้วกว่า 100 นาย พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ชุดกู้ชีพไม้ขม อีกทั้งกองทัพนักข่าวจำนวนมาก ซึ่งได้เดินเท้าขึ้นไปบนยอดเขาแก้วที่บ้านตะโล๊ะ หมู่ 8 ต.ปาดังเบซาร์ อ.สะเดา จ.สงขลา ห่างจากสันปันน้ำแบ่งเขตแดนกับฝั่งรัฐเปอร์ลิส ประเทศมาเลเซีย เพียงประมาณ 300 เมตร
ทั้งๆ ที่วันที่ 1 พ.ค.ของทุกปีเป็นวันแรงงานแห่งชาติ ซึ่งเป็นวันหยุดราชการ แต่กลับมีการขนเอากองกำลังฝ่ายความมั่นคงที่เกิดจากการสนธิกำลังทั้งจากตำรวจ ทหารและฝ่ายปกครองนับร้อยชีวิต พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ชุดกู้ภัย และที่น่าประหลาดใจคือมีกองทัพนักข่าวติดตามไปด้วย โดยต้องเดินเท้าขึ้นไปยังยอดเขาถิ่นทุรกันดาร ในเขตพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ อันเป็นเขตรอยต่อชายแดนด้านติดกับมาเลเซีย
เมื่อเป็นไปอย่างเอิกเกริก ช่วงเช้าวันที่ 1 พ.ค.นั้นจึงปรากฏเป็นข่าวใหญ่ออกสู่สาธารณะในเวลาแทบจะไล่เลี่ยกัน?!
ไม่เพียงเท่านั้น ในวันที่ 1 พ.ค.เช่นกันแทนที่ทิศทางข่าวในพื้นที่ศูนย์กลางอำนาจรัฐจะเป็นเรื่องของการบอกเล่าเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับวันแรงงานแห่งชาติอย่างเป็นด้านหลัก แต่กลับมีข่าวใหญ่ที่เป็นที่สนใจของผู้คนในสังคมสอดแทรกขึ้นมา นั่นก็คือเรื่องราวที่ผู้นำรัฐบาลและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ต่างตื่นกับปัญหาที่มีการพบหลุมศพจำนวนมากของผู้อพยพชาวโรฮิงญา ซึ่งอยู่ในบริเวณเดียวกันกับค่ายกักกันของขบวนการค้ามนุษย์ข้ามชาติบนยอดเขาในป่าใกล้ชายแดนด้าน อ.สะเดา จ.สงขลา
ในบ่ายของวันแรงงานแห่งชาติที่เพิ่งผ่านมานั้น ว่ากันว่าผู้คนจำนวนครึ่งค่อนประเทศต่างให้ความสนใจกับถ้อยแถลงของ พ.อ.บรรพต พูลเพียร โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ที่ว่า พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม และผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ในฐานะ รอง ผอ.กอ.รมน. และเลขาธิการ คสช. ได้รับทราบรายงานตั้งแต่ต้น และสั่งการให้กองกำลังเทพสตรีโดย ฉก.ร.5 บูรณาการร่วมกับทุกส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเร่งคลี่คลายเหตุการณ์ตามรูปคดี พร้อมแสดงความห่วงใยให้ดูแลผู้หลบหนีเข้าเมืองตามหลักมนุษยธรรมและหลักสิทธิมนุษยชนพื้นฐานด้วย
จากนั้นในวันที่ 2 พ.ค.และวันต่อๆ มา พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ก็ได้รับหน้าที่แถลงข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ต่อเนื่องมา โดยฟังจากน้ำเสียงสรุปได้ว่า รัฐบาลให้ความสำคัญอย่างเป็นพิเศษกับการแก้ปัญหาขบวนการการค้ามนุษย์ข้ามชาติ โดยเฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. รวมทั้ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยได้มีบัญชาให้ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร กับ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร.ร่วมบูรณาการกันเร่งปัญหาที่เกิดขึ้น พร้อมสั่งให้ลงพื้นที่ดูแลอย่างใกล้ชิด
ตลอดห้วงกว่าสัปดาห์มานี้ นอกจากจะเห็นความใส่ใจของ ผบ.ทบ. และ ผบ.ตร.แล้ว ยังได้เห็นระดับบิ๊กๆ ทั้งทหาร ตำรวจและฝ่ายปกครองลงพื้นที่ติดตามงาน หรือไม่ก็เดินหน้าบริหารจัดการต่างๆ รวมถึงประสานงานกันอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็น พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ รอง ผบ.ตร.ที่รับบทเกาะติดพื้นที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รอง ผบ.ตร.รับบทประสานทั้งในและต่างประเทศ พล.ต.ท.มนตรี โปตระนันท์ ผู้บัญชาการตำรวจภาค 9 และ พล.ท.ปราการ ชลยุทธ แม่ทัพภาคที่ 4 ในฐานะ ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 รวมถึงผู้ว่าฯ และนายอำเภอที่เกี่ยวข้อง
นอกจากนี้แล้วยังมีการขยายผลการติดตามขบวนการค้ามนุษย์ข้ามชาติ รวมถึงค้นหาศพผู้อพยพทั้งชาวโรฮิงญาและสัญชาติอื่นๆ ไปยังหลายพื้นที่ที่คาดว่าจะเป็นสถานที่เคลื่อนไหว นอกจาก จ.สงขลา และ จ.นครศรีธรรมราชแล้ว ก็ยังมีที่ จ.สตูล จ.ระนอง และ จ.พังงา เป็นต้น ซึ่งหลายพื้นที่ผู้รับผิดชอบก็ออกมาแอ็กชั่นให้เป็นที่ประจักษ์แล้ว
“รัฐบาลไทยชุดปัจจุบันมีความมุ่งมั่นชัดเจนที่จะกำจัดขบวนการค้ามนุษย์ในทุกรูปแบบ และสกัดกั้นไม่ยอมให้ใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่าน หรือจุดพักแรงงานผิดกฎหมาย หากผลการสืบสวนขยายผลไปยังบุคคล หรือกลุ่มบุคคลใด ไม่ว่าจะเป็นพลเรือนหรือเจ้าหน้าที่รัฐ ต้องได้รับโทษขั้นเด็ดขาด โดยเฉพาะหากเป็นเจ้าหน้าที่รัฐจะต้องได้รับโทษทั้งอาญาและวินัย เพราะคนชั่ว คนโกงที่หากินกับเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ต้องไม่มีที่ยืนในสังคมไทย”
นั่นคือส่วนหนึ่งของคำแถลงเมื่อวันที่ 2 พ.ค.ที่ผ่านมาของ พล.ต.สรรเสริญ และในวันที่ 3 พ.ค.ถัดมาก็ได้ระบุไว้ว่า
“ท่านนายกฯ ให้นโยบายว่า บุคคลใดที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการค้ามนุษย์จะต้องได้รับการลงโทษอย่างถึงที่สุด ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะตำแหน่งใด และแรงงานที่ตกอยู่ในขบวนการนี้ ไม่ว่าจะเป็นชนเชื้อชาติใด จากถิ่นฐานไหน เมื่อเข้ามาตกระกำลำบากบนแผ่นดินไทย รัฐบาลมีหน้าที่และความรับผิดชอบที่จะต้องดูแลทุกชีวิต ตามหลักมนุษยธรรม”
จากนั้นวันนี้ 5 พ.ค. พล.ต.สรรเสริญได้แถลงว่า พล.อ.ประยุทธ์ได้สั่งการเพิ่มเติมเรื่องการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ว่า
“ต้องดำเนินการอย่างจริงจังและใกล้ชิด โดยให้ฝ่ายปกครองทุกพื้นที่ ทั้งระดับหมู่บ้าน ระดับตำบล ระดับอำเภอ เข้าไปติดตามตรวจสอบพื้นที่ของตนทุกตารางนิ้ว หากปล่อยปละให้มีสถานกักกัน กุมขัง เหยื่อขบวนการค้ามนุษย์ หรือสนับสนุนให้พี่พักพิงแก่ขบวนการค้ามนุษย์ ฝ่ายปกครองจะต้องรับผิดชอบ โดยมอบหมายให้ปลัดจังหวัดเป็นผู้รับผิดชอบหลัก โดยเฉพาะหากเกิดเหตุร้ายแรงลักษณะเช่นที่เกิดขึ้นที่สะเดาอีก จะต้องย้ายออกนอกพื้นที่ เพราะถือเป็นผู้บังคับใช้กฎหมายแต่กลับปล่อยปละละเลย”
ทั้งนี้ การแกะรอยติดตามการค้าโรฮิงญาข้ามชาติที่มีอยู่มากมายและหลายหลากขบวนการ แถมยังมีการเชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบกับขบวนการในต่างประเทศ โดยเฉพาะขบวนการในฝั่งพม่าที่มีรัฐยะไข่ริมฝั่งทะเลอันดามันด้านติดกับบังคลาเทศเป็นต้นทาง รวมถึงขบวนการในฝั่งมาเลเซียที่มีบรรดารัฐตอนเหนือเป็นปลายทาง ขณะที่การติดตามค้นหาค่ายกักกันผู้อพยพ รวมถึงการขุดร่างผู้เสียชีวิตขึ้นมาพิสูจน์การตายก็พบแล้วหลายสิบศพ อีกทั้งเชื่อว่ายังมีกระจายอยู่ในหลายพื้นที่และหลายจังหวัด เวลานี้เรื่องราวจึงยังต้องดำเนินต่อไป
ในทางคดีก็มีความคืบหน้า กล่าวคือ มีผู้ต้องหาที่ตำรวจขออนุมัติหมายจับจากศาล และเวลานี้ควบคุมตัวได้แล้ว ประกอบด้วย 1.นายอาสัน หรือ มูสัน อินทนู สมาชิกสภาเทศบาล ต.ปาดังเบซาร์ 2.นายยาหลี เขร็ม ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 8 บ้านตะโละ 3.นายร่อเอ สนยาแหละ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน 4.นายอาหลี ล่าเม๊าะ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน 5.นายอันวา หรือ ซอ เนียง อานู สัญชาติพม่า ส่วนที่ยังหลบหนีอยู่ ได้แก่ 6.นายประสิทธิ์ เหล็มแหล๊ะ รองนายกเทศมนตรี ต.ปาดังเบซาร์ 7.นายพรรคพล เบ็ญล่าเต๊ะ 8.นายเจริญ ทองแดง และ 9.นายสุพจน์ หมื่นซิ่ว ซึ่งผู้ต้องหาคนหลังนี้มีข้อมูลว่าเป็นคนลงมือยิงชาวโรฮิงญาอย่างน้อย 2 ศพ และถือเป็นกุญแจสำคัญที่จะไขไปสู่การจับกุมนักการเมืองใหญ่
สำหรับเจ้าหน้าที่รัฐที่มีหลักฐานเกี่ยวโยงกับขบวนการค้ามนุษย์ข้ามชาติ และได้ถูกโยกย้ายให้คนจากหน้าที่รับผิดชอบไปแล้ว ในส่วนของนายตำรวจใหญ่ ได้แก่ 1.พล.ต.ต.สุนทร เฉลิมเกียรติ ผู้บังคับการตำรวจภูธร จ.สตูล เนื่องจากมีความสนิทสนมกับตัวการใหญ่ในขบวนการที่อยู่ในพื้นที่ จ.สตูล ถูกย้ายให้ไปปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปก.ตร.)
นอกนั้นล้วนมีพฤติการณ์พัวพัน หรือมีส่วนเกี่ยวข้อง หรือเรียกรับผลประโยชน์ โดยให้ย้ายไปปฏิบัติราชการที่ ศปก.ตร.เช่นกัน ประกอบด้วย 2.พ.ต.อ.ภาสกร ภักดีวานิช ผู้กำกับการ สภ.ควนโดน 3.พ.ต.อ.วีระสัณห์ ธารเปี่ยม ผู้กำกับการ สภ.ปาดังเบซาร์ 4.ร.ต.ท.อารีย์ หมัดสมัน รอง สวป.สภ.ปาดังเบซาร์ 5.ด.ต.อัศณีย์รัญ นวลรอด ผบ.หมู่ป.สภ.ปาดังเบซาร์ 6.ด.ต.สุกาจ โสบผอม ผบ.หมู่ กก.ตชด.43 7.ร.ต.ท.มงคล สุโลผบ.มว.ร้อย.ตชด.4303 8.ด.ต.เฉลิมพล จันทรัตน์สังกัด ตม.6 9.ด.ต.สุชาติ จันทบูรณ์ ผบ.หมู่ป.สภ.ปาดังเบซาร์ และ 10.ร.ต.ท.สุนันท์ แก้วมณี รอง สวป.หมวดการข่าว บก.ตชด.43
ล่าสุดอีกระลอกใหญ่ ผบ.ตร.สั่งเด้งตำรวจอีก 38 นายไปปฏิบัติราชการที่ ศปก.ตร. ฐานบกพร่องหรือเกี่ยวข้องขบวนการค้าค้ามนุษย์ชาวโรฮิงญา โดยมีทั้งตำรวจน้ำ สตม. ปคม. และตำรวจท้องที่ ซึ่งให้มีผลตั้งแต่วันที่ 7 พ.ค.ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ยังมีรายชื่อบุคคลอีกหลายคนที่จะต้องถูกออกหมายจับตามมา รวมถึงมีทหารอีกอย่างน้อย 5 นายที่ติดร่างแหจะต้องถูกออกหมายจับด้วย ซึ่งในจำนวนนี้มียศทั้งระดับ “นายพล” และ “นายพัน” รวมอยู่ด้วย ในส่วนของตำรวจที่อยู่ในข่ายต้องถูกโยกย้ายให้พ้นจากหน้าที่รับผิดชอบ เนื่องจากมีพฤติการณ์พัวพัน หรือมีส่วนเกี่ยวข้อง หรือเรียกรับผลประโยชน์ก็ยังมีอีกหลายนายเช่นเดียวกัน
ความเอิกเกริกครึกโครมในเรื่องนี้ไม่เพียงแต่เป็นเรื่องราวภายในประเทศเท่านั้น เมื่อวันที่ 6 พ.ค.ที่ผ่านมา พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รวมทั้งผู้บริหารกระทรวงก็ได้ให้การต้อนรับ นายแพทริค เมอร์ฟี่ อุปทูตสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย พร้อมคณะ นอกจากหารือเรื่องความร่วมมือในด้านต่างๆ แล้ว ก็ไม่ลืมที่จะหยิบยกปัญหาขบวนการการค้ามนุษย์ของไทยเล่าสู่กันฟังด้วย
นอกจากนี้ในวันเดียวกัน พล.ต.อ.จักรทิพย์ในฐานะ รอง.ผบ.ตร.ฝ่ายความมั่นคง กล่าวระหว่างเป็นประธานการประชุมที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อเตรียมจัดการประชุมร่วมระดับผู้บริหารงานตำรวจฝ่ายไทยกับฝ่ายมาเลเซีย ซึ่งจะมีขึ้นระหว่างวันที่ 11-14 พ.ค.ที่ จ.ภูเก็ตว่า จะมีการหยิบยกปัญหาขบวนการค้าโรฮิงญาข้ามชาติเข้าหารือกับฝ่ายมาเลเซียในฐานะประเทศปลายทางอย่างแน่นอน
อีกทั้งจะมีการประสานไปทางพม่าที่เป็นประเทศต้นทางด้วยเช่นกัน ซึ่งได้มีการมอบหมายให้ พล.ต.ต.ดาวลอย เหมือนเดช ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวน บช.ภ.8 เป็นตัวกลางนำเรื่องนี้ไปประสานพม่าแล้ว เนื่องจากมีพื้นที่ติดต่อกัน
ขณะที่องค์กรด้านศาสนาอิสลามของไทยก็ได้ส่งตัวแทนคือ นายอารี อารีฟ คณะกรรมการสภาเครือข่ายช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม ประจำสำนักจุฬาราชมนตรี ลงคลุกถึงในพื้นที่เพื่อทำหน้าที่ให้คำแนะนำ ร่วมถึงช่วยเหลือและจัดการพิธีฝั่งศพใหม่ให้กับศพของชาวโรฮิงญา ที่ถูกขุดขึ้นมาทำการพิสูจน์เพื่อใช้เป็นหลักฐานในทางคดี ซึ่งเรื่องนี้ย่อมเป็นการดึงดูดให้มุสลิมทั่วโลกหันมามองด้วยความสนใจอย่างช่วยไม่ได้
ทั้งหมดทั้งปวง แน่นอนว่ามีการฉายภาพรัฐบาลมุ่งดำเนินการแก้ไขปัญหาขบวนการค้ามนุษย์ข้ามชาติอย่างจริงจัง โดยเฉพาะมีเสียงสรรเสริญเยินยอจากผู้คนจำนวนมากอย่างแน่แท้ เนื่องจากมีภาพสะเทือนใจที่ได้เห็นการตกระกำลำบากและถึงขั้นถูกฆ่าตายจำนวนมากของเพื่อนมนุษย์ร่วมโลก
แต่ท่ามกลางเสียงเชียร์ก็อดไม่ได้ที่จะมีคนจำนวนหนึ่งตั้งข้อสังเกตว่า เรื่องนี้ทำไมรัฐบาลชุดที่มีที่มาแบบพิเศษ ถึงเลือกที่จะเล่นบทบาทอันเป็นข่าวครึกโครมอย่างเป็นพิเศษ ขณะที่ พม่ากับมาเลเซีย กลับค่อนข้างเงียบ ทั้งที่ ฝ่ายหนึ่ง เป็นชาติต้นธารที่ก่อกำเนิดปัญหาโรฮิงญาอพยพ กับอีกหนึ่งเป็นชาติเบื้องปลายที่รองรับสายน้ำแห่งชาวโรฮิงญา
ทั้งๆ ที่ประเทศพม่าเลือกที่จะเล่นบทปากว่าตาขยิบมาโดยตลอด พร้อมๆ กับการไม่ยินยอมรับเป็นพลเมืองของตัวเอง หลายต่อหลายครั้งได้สร้างเรื่องสร้างราว อันเป็นไปเพื่อผลักดันมุสลิมโรฮิงญาหลายแสนคนให้พ้นแผ่นดินต่อเนื่องในห้วงราวสิบปีมาที่ผ่านมา
ส่วนประเทศมาเลเซียก็เลือกที่จะเล่นบทปากว่าตาขยิบเช่นกัน แม้ในหน้าฉากจะทำเป็นต่อต้านขบวนการค้าแรงงานข้ามชาติ แต่หลังฉากก็แอบรับชาวโรฮิงญาที่นับถือศาสนาอิสลามด้วยกัน ให้เข้าไปใช้แรงงานทั้งภาคการเกษตรและประมงอย่างไม่ขาดสาย
ไม่เพียงเท่านั้น ผู้คนจำนวนหนึ่งยังตั้งข้อฉงนสนเทศต่อคำประกาศของ พล.อ.ประยุทธ์ในฐานะผู้กุมบังเหียนอำนาจรัฐเบ็ดเสร็จเด็ดขาดที่ประกาศไว้ว่า ไม่ว่าพลเรือนหรือเจ้าหน้าที่รัฐมีส่วนร่วมขบวนการ ต้องได้รับโทษขั้นเด็ดขาด หากเป็นเจ้าหน้าที่รัฐจะต้องได้รับโทษทั้งอาญาและวินัย เพราะคนชั่ว คนโกงที่หากินกับเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ต้องไม่มีที่ยืนในสังคมไทย และฝ่ายปกครองจะต้องรับผิดชอบ จะต้องถูกย้ายออกนอกพื้นที่ เพราะถือเป็นผู้บังคับใช้กฎหมาย แต่กลับปล่อยปละละเลย
ทว่า หากย้อนไปดูรายชื่อผู้ถูกออกหมายจับ ทั้งที่จับได้แล้วและยังตามหาตัวไม่เจอจะพบว่า ล้วนแล้วแต่เป็นเพียงพวกปลาซิวปลาสร้อย ขณะที่เจ้าหน้าที่รัฐที่ถูกลงโทษโยกย้ายแม้จะดูแล้วมีจำนวนเยอะ แต่ก็แทบไม่แตกต่างกัน แถมยังมีแต่เฉพาะกับตำรวจเท่านั้น ขณะที่ทหารและฝ่ายปกครองกับยังไม่ไม่มีความเคลื่อนไหวอันใด
ทำไมรัฐบาลไทยจึงเลือกเล่นบทดรามาในเรื่องนี้ แถมยังมีภาพของการกระทำแบบลูกหน้าปะจมูกอีกด้วย?!
อย่างน้อยก็มีเสียงการันตีในเรื่องนี้ไว้อย่างน่าสนใจ อันเป็นเสียงของ นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติที่ได้กล่าวไว้ว่า
“หากรัฐบาลใช้อำนาจตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราวแก้ไขปัญหานี้ โดยเฉพาะอำนาจในทางบริหาร เพื่อจัดการข้าราชการ นักการเมืองท้องถิ่นที่เข้าไปเกี่ยวข้อง เพื่อกำจัดรากเหง้าของปัญหาได้ ก็น่าจะถือเป็นเรื่องที่ดีและแก้ไขปัญหาได้ เพราะในระบบราชการเดิมเป็นที่รู้กันว่า เวลาเกิดปัญหาขึ้น การแก้ไขหรือเอาผิดพวกเดียวกันเองก็จะเป็นลักษณะลูบหน้าปะจมูก หรือหลับหูหลับตาตลอดเมื่อข้าราชการด้วยกันทำผิด”