ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ถึงกับอ้าปากค้างไปตามๆ กันทีเดียวกับการที่ “ไพบูลย์ นิติตะวัน” สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สนช.) ในฐานะประธานคณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา ตั้งโต๊ะแถลงเลิกคณะกรรมการชุดดังกล่าวไปเสียเฉยๆ ทั้งๆ ที่คณะกรรมการชุดนี้ได้จุดกระแสสังคมและเป็นแกนนำในการจัดการกับ “พระเทพญาณมหามุนี(ไชยบูลย์ ธัมมชโย)” เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายให้ต้องอาบัติปาราชิกตามพระลิขิตของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
คำถามก็คือเกิดอะไรขึ้น ทำไมนายไพบูลย์ถึงได้ตัดสินใจเยี่ยงนั้น ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วภารกิจของคณะกรรมการชุดนี้มีประโยชน์ต่อประเทศชาติเป็นอย่างมาก เพราะทำให้ทุกคนตระหนักและรับรู้ถึงขยะที่ซุกซ่อนอยู่ใต้พรมของยุทธจักรดงขมิ้นอย่างหมดเปลือก
งานนี้ย่อมไม่ใช่เรื่องธรรมดา เพราะการที่คนอย่างนายไพบูลย์ยอมก็ย่อมหมายความว่า ต้องมี “คำร้องขอพิเศษ” จากใครบางคนที่ทรงอำนาจในบ้านนี้เมืองนี้ ใช่หรือไม่
“เนื่องจากมีแรงทักท้วงมาก ผมคิดว่าประธานสปช.ก็ยังดำริว่าอยากให้ดำเนินการต่อ แต่ผมในฐานะเป็นอดีตประธานคณะกรรมการฯชุดนี้ ผมเห็นว่าได้ทำหน้าที่ปรากฏผลงานบรรลุจนหมดแล้ว การจะทำหน้าที่ต่อไป ผลประโยชน์ที่จะได้รับ จะได้น้อยกว่า และจะทำให้ประธาน สปช. อาจจะถูกต่อว่าโดยไม่จำเป็น ดังนั้นเพื่อรักษาเกียรติของประธาน สปช. ผมจึงเป็นผู้ที่เสนอว่าเราได้ศึกษาครบสมบูรณ์แล้ว และผลงานได้เปิดเผยต่อประชาชนให้ได้รับทราบและตื่นตัว จึงครบภารกิจ ผมจึงเสนอต่อประธาน สปช.ว่าจะสรุปรายงานเพื่อที่จะให้จบการทำหน้าที่ของคณะกรรมการชุดนี้”
นั่นคือเหตุผลที่นายไพบูลย์อธิบายอาไว้เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2558 ที่ผ่านมาพร้อมยอมรับว่า มีการกดดันในการทำงาน
แน่นอน ผู้ที่ตกอยู่ในข่ายต้องสงสัยในลำดับต้นๆ ย่อมหนีไม่พ้นนายเทียนฉาย กีระนันทน์ ประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) เพราะหากยังจำกันได้นายเทียนฉายเคยออกมาท้วงติงชัดๆ ว่า ฆราวาสไม่ควรยุ่งกับกิจการของสงฆ์
จริงอยู่นายเทียนฉายอาจจะเป็นหนึ่งในผู้ส่งสารถึงความยุ่งยากที่กำลังจะเกิดขึ้นกับบ้านเมืองต่อนายไพบูลย์ โดยเฉพาะการระดมคนเพื่อปลุกม็อบพระที่ “หัวโจกพระแดง” ประกาศชัดว่าจะชุมนุมใหญ่ในวันที่ 12 มีนาคม 2558 และอาจทำให้สถานการณ์บ้านเมืองลุกเป็นไฟขึ้นอีกครั้ง แต่เชื่อว่า ผู้ที่ทำให้นายไพบูลย์ยอมถอยย่อมไม่ได้มีแค่นายเทียนฉายเพียงคนเดียว และที่สำคัญคือเชื่อว่า นายเทียนฉายมิได้เป็นปัจจัยสำคัญหรือมีพลังเพียงพอที่จะทำให้ภารกิจของนายไพบูลย์ล่มปากอ่าวเยี่ยงนี้เสียด้วยซ้ำไป
เหตุผลที่อ้างว่า เพื่อรักษาเกียรติของประธาน สนช.เป็นสิ่งที่เลื่อนลอยเกินไป
สรุปก็คือ คนที่ทำให้นายไพบูลย์หยุดแบบกะทันหันได้ย่อมไม่ใช่นายเทียนฉาย หากแต่เป็นคนที่อยู่เหนือกว่านายเทียนฉาย
ถ้าจะเป็นเป็นคำขอร้องที่ถูกส่งผ่านมาจากมหาเถรสมาคม(มส.) ก็ไม่น่าจะเป็นคำขอร้องที่ส่งผ่านโดยตรงมายังนายไพบูลย์ หากต้องมีขั้นตอนและกระบวนการผ่านผู้มีอำนาจในบ้านเมืองมาอีกชั้น เพราะถ้าสังเกตให้ดีจะพบว่า ผู้ที่เปิดประเด็นเรื่องพระธัมมชโยผ่านโลกสังคมออนไลน์จนตกเป็นข่าวใหญ่โต ในระยะหลังดูเหมือนจะมีท่าทีที่เปลี่ยนแปลงไปแบบทะแม่งๆ ในทำนองปกป้องมหาเถรสมาคมเสียด้วยซ้ำไป
ใช่เป็นคำสั่งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) คนใดคนหนึ่ง หรือไม่ เพราะก่อนหน้านี้เป็นที่ชัดเจนว่า รัฐบาลและคสช.ส่งสัญญาณถอยในเรื่องนี้อย่างชัดเจน โดยให้เหตุผลว่าเป็นเรื่องของศาสนจักร ไม่ใช่เรื่องอาณาจักร และไม่ต้องการให้ปัญหาวัดพระธรรมกายเป็นเผือกร้อนสั่นคลอนเสถียรภาพรัฐบาล
ขณะเดียวกัน ข้อสงสัยของสังคมประการถัดมาคือ การประกาศยุบคณะกรรมการที่มีนายไพบูลย์เป็นประธานแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยเช่นนี้ แสดงว่า อำนาจและอิทธิพลของวัดพระธรรมกาย ตลอดรวมถึงมหาเถรสมาคม(มส.) ซึ่งให้การสนับสนุนนั้นไม่ธรรมดาจริงๆ ใช่หรือไม่ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นทำให้สังคมเข้าใจได้ว่า ไม่มีใครในบ้านนี้เมืองนี้สามารถจัดการพระธัมมชโยและวัดพระธรรมกายได้เลยจริงๆ
แม้กระทั่งในยุคที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) เข้ามาเป็นองค์รัฎฐาธิปัตย์ ซึ่งมีอำนาจการปกครองสูงสุด และเป็นผู้แต่งตั้ง สปช.มากับมือก็ยังต้องถอยให้กับพระธัมมชโยและวัดพระธรรมกายได้
ดังนั้น ทัพหน้าหรือหัวหมู่ทะลวงฟันที่จะจัดการกับพระธัมมชโยในเวลานี้จึงเหลือแค่เพียง “หลวงปู่พุทธะอิสระ” แห่งวัดอ้อน้อย จังหวัดนครปฐมเท่านั้น และเรื่องพระลิขิตของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกที่ชี้ชัดว่าพระธัมมชโยต้องอาบัติปาราชิกก็เป็นอันว่าต้องตกไปเหมือนเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา
แต่ก็ดูเหมือนว่า หลวงปู่พุทธะอิสระจะไม่ละความพยายามที่จะสะสางปัญหาซึ่งเกิดขึ้นในองค์กรปกครองสูงสุดของคณะสงฆ์ โดยการเปิดบาดแผลใหม่ด้วยข้อมูลเกี่ยวกับมุมมืดของคณะกรรมการมหาเถรสมาคม ด้วยปริศนาใครหว่า? เป็นถึงเจ้าคณะภาค ทุ่ม 10 ล้านขอเป็นเจ้าคณะ มทก. เอาเมียมาเป็นเจ้าแม่คุมผลประโยชน์ของวัด บังคับเมียน้อยทำแท้ง ใช้บริการนักศึกษา สั่งระดมพระไปร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดง ฯลฯ พร้อมจี้ถาม “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ว่าถึงเวลาหรือยังที่จะกำจัดอลัชชีพวกนี้ให้สิ้นซาก
ส่วน “ดร.มโน เลาหวณิช” อดีตพระลูกวัดพระธรรมกาย ก็กำลังเผชิญกับปัญหาใหญ่หลังเข้าให้ข้อมูลต่อพนักงานสอบสวนดีเอสไอเกี่ยวกับเส้นทางการเงินของวัดพระธรรมกาย และพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย รวมถึงความสัมพันธ์ของคนในเครือข่ายสหกรณ์ฯ คลองจั่น และประวัติการเกิดขึ้นของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนมงคลเศรษฐี จนถึงขนาดต้องยื่นหนังสือต่อนางสุวณา สุวรรณจูฑะ อธิบดีดีเอสไอ เพื่อขอให้มีการคุ้มครองดูแลความปลอดภัยในฐานะพยานคดียักยอกทรัพย์สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น เพราะไม่มั่นใจในความปลอดภัยของตนเอง
ดร.มโนระบุว่า ช่วงวันอาทิตย์ที่ผ่านมาได้มีรถตู้ขับตามรถยนต์ของตนในระยะกระชั้นชิดบนถนนเส้นทางจรัญสนิทวงศ์ 45 จนถึงบริเวณถนนพระปิ่นเกล้า รวมเวลากว่า 1 ชั่วโมง จึงทำให้มั่นใจว่ามีกลุ่มผู้ไม่ประสงค์ดีต้องการข่มขู่เพื่อให้ตนเลิกยุ่งเกี่ยวกับคดีวัดพระธรรมกาย หลังออกมาเปิดโปงข้อมูลความลับเกี่ยวกับวัดพระธรรมกาย
“ที่ผ่านมาใครที่มีปัญหากับวัดพระธรรมกายจะถูกข่มขู่ และที่ผ่านมาเคยเกิดเหตุการณ์ข่มขู่ด้วยการปาระเบิดเข้าไปภายในบ้านพักมาแล้ว โดยผู้ที่ถูกข่มขู่ 2 ราย คือ นายเสฐียรพงษ์ วรรณปก นักวิชาการทางพระพุทธศาสนา และพระพรหมคุณาภรณ์ หรือประยุทธ์ ปยุตโต เจ้าอาวาสวัดญาณเวศกวัน ผมอาจจะเป็นเหยื่อรายต่อไป”ดร.มโนให้เหตุผล
สำหรับความคืบหน้ากรณีพระธัมมชโยรับเงินบริจาคจากอัครสาวก-นายศุภชัย ศรีศุภอักษร ซึ่งยักยอกออกมาจากสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นนั้น ประเด็นได้มาหยุดอยู่ตรงที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสได) ได้ออกหมายเรียกพระธัมมชโยและผู้ที่ปรากฏรายชื่อรับเช็คมาให้ปากคำ ซึ่งดูเหมือนว่าจะไม่คืบหน้าเท่าใดนัก เนื่องจากพระธัมมชโยขอเลื่อนการให้ปากคำ โดยอ้างว่า มีปัญหาสุขภาพ
เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2558 นายสัมพันธ์ เสริมชีพ ทนายความผู้รับมอบอำนาจจากพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.ปกรณ์ สุชีวกุล หัวหน้าชุดติดตามร่องรอยทางการเงินสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น และวัดพระธรรมกาย เพื่อขอเลื่อนนัดสอบปากคำกรณีรับเงินบริจาคของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ที่ถูกนายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานสหกรณ์ฯ และพวกร่วมกันยักยอกทรัพย์ไปเป็นวันที่ 26 มี.ค. เวลา 10.00น.
ทั้งนี้ ให้เหตุผลว่ามีปัญหาเรื่องสุขภาพจากโรคเบาหวาน และความดัน ประกอบกับต้องรวบรวมพยานหลักฐานเอกสารจำนวนมากเพื่อนำมามอบให้พนักงานสอบสวน
“พระธัมมชโยไม่เคยเห็นเช็คที่สั่งจ่ายเข้าวัด เพราะเมื่อมีคนนำมาบริจาคก็จะใส่มาในซอง โดยจ่าหน้าซองชัดเจนว่าจะบริจาคให้ใคร จากนั้นเมื่อรับมาแล้วก็จะมีเจ้าหน้าที่ของวัดนำเช็คไปขึ้นเงินจำนวน 13 ใบ รวมเป็นเงินประมาณ 684 ล้านบาท ไม่ใช่ 800 กว่าล้านตามที่เป็นข่าว และเงินจำนวนนี้ก็ได้ถูกนำไปใช้ในการสร้างศาสนสถานภายในวัดพระธรรมกายหมดแล้ว” ทนายความผู้รับมอบอำนาจจากพระธัมมชโยกล่าว
สำหรับกรณีที่ลูกศิษย์วัดพระธรรมกายได้จัดตั้งกองทุนเพื่อช่วยเหลือเยียวยาสมาชิกของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นนั้น นายสัมพันธ์กล่าวว่า เป็นความจริง แต่ไม่ใช่การระดมเงินเพื่อนำมาคืนให้กับสหกรณ์ฯ แต่อย่างใด ขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจายอดเงินที่ไม่ตรงกัน และศาลมีกำหนดนัดไกล่เกลี่ยในวันที่ 16 มีนาคมนี้
งานนี้ เห็นได้ชัดเจนว่าพระธัมมชโยกำลังติ๊ดชึ่งดึงเกมแบบ chill chill โดยไม่ได้หวั่นเกรงว่าจะต้องตกเป็นจำเลยในคดีนี้ร่วมกับนายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นแต่ประการใด
ทั้งนี้ ทนายความยืนยันว่า พระธัมมชโยไม่เคยเห็นเช็คที่สั่งจ่ายเข้าวัด และเงินจำนวนนี้ได้ถูกนำไปใช้ในการสร้างศาสนสถานภายในวัดพระธรรมกายหมดแล้ว แถมตบท้ายแบบจึ๊ดๆ ด้วยว่า การที่ลูกศิษย์ของวัดพระธรรมกายจัดตั้งกองทุนในกรณีสหกรณ์ฯ คลองจั่นนั้น มิใช่เป็นการระดมเงินเพื่อมาคืนให้กับสหกรณ์ฯ แต่อย่างใด เป็นเพียงการช่วยเหลือเพื่อเยียวยาสมาชิกของสหกรณ์ฯ ที่ได้รับความเดือดร้อนเท่านั้น
แปลไทยเป็นไทยก็คือ นอกจากพระธัมมชโยมั่นใจว่า ไม่ได้ทำผิด ไม่เคยเห็น ไม่เคยจับเช็คแล้ว ยังมีมาตรการเพื่อช่วยเยียวยาสมาชิกที่ได้รับความเดือนร้อนอีกต่างหาก
ช่างเป็นพระและเป็นวัดที่ใจบุญสุนทานเสียจริงๆ....สาธุ อนุโมทนามิ
เห็นเหลี่ยมคูของคดีแล้ว ต้องบอกว่า ยากพอสมควรที่จะตั้งข้อหาพระธัมมชโยร่วมกับนายศุภชัยผู้เป็นอัครสาวกยักยอกทรัพย์จากสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น เพราะการที่พระธัมมชโยอ้างว่า นำเงินไปใช้ก่อสร้างเป็นศาสนสถานหมดแล้วถือเป็นโจทย์ที่มหาหินไม่น้อยสำหรับสำนักการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.) ในการที่จะยึดทรัพย์ เพราะเงินที่ผิดกฎหมายได้กลายเป็นที่ “ธรณีสงฆ์” ไปเสียแล้ว ซึ่งประเด็นนี้ดูเหมือนว่าทีมกฎหมายของผู้นำลัทธิธรรมกายจะเข้าใจเสียยิ่งกว่าเข้าใจ
ถึงตรงนี้....คงต้องกล่าวว่า เรื่องสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นเป็นหนังชีวิตที่คงไม่จบลงง่ายๆ และอาจลุกลามไปถึงขนาดรื้อระบบบริหารจัดการสหกรณ์ที่มีอยู่ในประเทศไทยเลยก็ว่าได้ เฉกเช่นเดียวกับพระธัมมชโยที่ยังคงใช้ชีวิตอย่างฟรุ้งฟริ้ง มุ้งมิ้งต่อไปแบบชิลชิล เพราะยังไม่เห็นลู่ทางจริงๆ ว่าจะดำเนินคดีอย่างไร และในข้อหาไหน