xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

3 นายพลกับศึกสายเลือด “บูรพาพยัคฆ์-วงศ์เทวัญ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -“ไม่มีมูลฝอย หมาไม่ขี้”

สุภาษิตบทนี้ยังคงใช้ได้ดีกับกระแสข่าวที่แพร่สะพัดอยู่ในกองทัพไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “กองบัญชาการกองทัพบก(บก.ทบ.)” เกี่ยวกับ “การลาออก” ก่อนเกษียณอายุราชการของ “3 นายพลแห่งกองทัพไทย”

นั่นก็คือ บิ๊กต๊อก-พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา(ตท.15) รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด ที่เวลานี้ควบเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม บิ๊กนมชง-พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ(ตท.12) รอง ผบ.ทบ. ที่เวลานี้ควบเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และ บิ๊กน้อย-พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์(ตท.14) หัวหน้าคณะนายทหารฝ่าย เสธ.ประจำผู้บังคับบัญชา ที่เวลานี้นั่งควบเก้าอี้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ

ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว ทั้ง พล.อ.ไพบูลย์ พล.อ.ฉัตรชัย และ พล.อ.สุรเชษฐ์จะเกษียณอายุราชการพร้อมกันในเดือนตุลาคม 2558 นี้

เหตุผลที่ให้พร้อมกับกระแสข่าวที่เกิดขึ้นก็คือ นายทหารระดับสูงของกองทัพทั้ง 3 คนได้เข้าไปมีบทบาทในการบริหารประเทศโดยเป็นรัฐมนตรีพร้อมกันหลายตำแหน่งในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทำให้การบริหารงานของกองทัพเกิดปัญหาในบางเรื่อง ขาดการเอาใจใส่งานประจำ เพราะบรรดานายทหารแต่ละนายต้องไปทำงานที่รับผิดชอบในตำแหน่งรัฐมนตรีที่ค่อนข้างหนัก จึงทำให้งานในตำแหน่งหลักของกองทัพเกิดชะงักจนกระทั่งมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง

หลายคนเชื่อว่า เป็นเรื่องจริง และมั่นใจเสียด้วยซ้ำไปว่า คนที่เปิดเกมนี้ ไม่ใช่ใครอื่น หากแต่เป็นคนกันเองที่ต้องการสืบทอดอำนาจจากรุ่นสู่รุ่นของ“บูรพาพยัคฆ์”

ยิ่งเมื่อมีการผสมโรงจาก บิ๊กจิ๋ว-พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตผู้บัญชาการทหารบกและอดีตนายกรัฐมนตรีโดยยืนยันว่าเป็นเรื่องจริงด้วยแล้ว ก็ยิ่งต้องจับตา เพราะคนอย่างบิ๊กจิ๋วเคลื่อนไหวแต่ละครั้งย่อมไม่ธรรมดา

แต่หลายคนก็เชื่อว่า เป็นการปล่อยข่าวเพื่อสร้างความสั่นสะเทือนให้เกิดขึ้นในกองทัพในยามที่บูรพาพยัคฆ์สืบทอดอำนาจกันจากรุ่นสู่รุ่น และกดให้ “วงศ์เทวัญ” ซึ่งเคยครองความยิ่งใหญ่ในอดีตให้หลุดพ้นในไปจากวงโคจรแห่งอำนาจ

กระนั้นก็ดี แม้ทั้งตัว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ตลอดรวมถึง พล.อ.อุดมเดช และ 3 นายพลจะออกมาปฏิเสธกระแสข่าวดังกล่าว แต่สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ไม่สามารถมองเป็นอื่นได้ว่า “รอยร้าว” หรือ “คลื่นใต้น้ำ”ในกองทัพยังคงดำรงอยู่อย่างไม่เสื่อมคลาย

ถ้ากองทัพเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ข่าวทำนองนี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไร

คำถามมีอยู่ว่า เรื่องนี้น่าสนใจตรงไหน?

แน่นอน ความน่าสนใจของเรื่องนี้ประเด็นแรกอยู่ตรงที่กระแสข่าวดังกล่าว “จงใจ” หรือ “มีเจตนา” ที่จะละเว้นอีก 1 นายพลคนสำคัญ ซึ่งถ้าจะว่าไปแล้วสำคัญที่สุดด้วยซ้ำไป นั่นก็คือ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ผู้บัญชาการทหารบกที่เวลานี้นั่งควบเก้าอี้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมอีก 1 ตำแหน่ง

เว้นไว้ด้วยเหตุผลประการเดียวคือ พล.อ.อุดมเดชเป็นบูรพาพยัคฆ์

ส่วนความน่าสนใจประเด็นที่สองอยู่ตรงที่ “นายพล” ซึ่งจะก้าวขึ้นมารับตำแหน่งแทนทั้ง 3 นายพล เพราะนอกจากจะมีความเกี่ยวโยงกับความเป็น “บูรพาพยัคฆ์” แล้ว ยังมีความสัมพันธ์กับ “ความเป็นน้องชาย” ของ พล.อ.ประยุทธ์อย่างไม่อาจปฏิเสธได้

นี่คือเกมที่แทงข้างหลังทะลุถึงหัวใจซึ่งทรงประสิทธิภาพยิ่ง เนื่องเพราะเป้าหมายของเรื่องนี้อยู่ตรงที่ผู้มีอำนาจที่สุดในแผ่นดินไทย 2 คนคือ พล.อ.ประยุทธ์และพล.อ.อุดมเดช

กล่าวสำหรับทั้ง 3 นายพลคือ บิ๊กต๊อก-พล.อ.ไพบูลย์ บิ๊กนมชง-พล.อ.ฉัตรชัย และบิ๊กน้อย-พล.อ.สุรเชษฐ์นั้น ต้องทำความเข้าใจร่วมกันก่อนว่า นอกจากจะเป็น 3 นายทหารที่มีส่วนสำคัญในการทำรัฐประหารแล้ว ยังเป็น 3 นายพลที่มีความใกล้ชิดกับ “ขั้วอำนาจใหม่บูรพาพยัคฆ์” ที่มี พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นพี่ใหญ่ แม้จะไม่ใช่บูรพาพยัคฆ์โดยสายเลือดก็ตาม ไม่เช่นนั้นคงไม่ได้รับความไว้วางใจให้นั่งเก้าอี้รัฐมนตรีควบอีก 1 ตำแหน่ง

แต่ถึงจะอย่างไรเลือดย่อมข้นกว่าน้ำเสมอ ดังนั้น ถ้าจะเล่นเกมแห่ง อำนาจ ก็จำต้องพุ่งเป้าไปที่ทั้ง 3 คนนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ถามว่า ถ้าทั้ง 3 คนตัดสินใจลาออกก่อนเกษียณราชการจะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่มีนัยสำคัญในเกมแห่งอำนาจหรือไม่

กรณี พล.อ.ไพบูลย์ ต้องตอบว่า ไม่ เพราะได้มีการวางตัวนายทหารบูรพาพยัคฆ์เอาไว้ล่วงหน้าคือ พล.อ.วลิต โรจนภักดี รอง เสธ.ทหาร ซึ่งได้รับการผลักดันจาก พล.อ.ประวิตร ขยับขึ้นมาแทนก่อนเกษียณอายุราชการในเดือนกันยายน 2558 ทั้งที่ก่อนหน้านี้ พล.อ.วรพงษ์ สง่าเนตร ผบ.ทหารสูงสุด วางตัว พล.อ.สมหมาย เกาฎีระ เสธ.ทหาร เอาไว้เป็นทายาทในตำแหน่งนี้มา

แต่เจตนาที่พุ่งเป้าไปที่ พล.อ.ไพบูลย์ก็เพราะเขาไม่ใช่บูรพาพยัคฆ์ บังเอิญนั่งควบเก้าอี้ทางการเมืองอีก 1 ตำแหน่ง และมีน้องๆ นายทหารให้การสนับสนุนค่อนข้างมาก

เฉกเช่นเดียวกับ พล.อ.สุรเชษฐ์ที่การลาออกไม่ได้ส่งผลต่อเกมแห่งอำนาจเช่นกัน เพราะหากบิ๊กน้อยพ้นเก้าอี้หัวหน้าฝ่ายเสนาธิการ ประจำผู้บังคับบัญชา พล.อ.อุดมเดชและพี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์ก็คงหาพลโทอาวุโส ขึ้นไปครองยศ “พลเอก” ก่อนเกษียณเพื่อเป็นการตอบแทน ในการสร้างขวัญและกำลังใจให้กับผู้ที่รับราชการให้กองทัพจนถึงวาระเกษียณ แต่ที่ถูกลากโยงเข้ามาเกี่ยวก็เพราะเหตุผลประการเดียวคือเป็นนายพลที่นั่งควบเก้าอี้ทางการเมือง

ดังนั้น เป้าหมายสำคัญจึงน่าจะอยู่ที่พล.อ.ฉัตรชัยซึ่งเวลานี้นั่งเก้าอี้รองผู้บัญชาการทหารบกมากกว่า เพราะเมื่อใดก็ตามที่ พล.อ.ฉัตรชัยลาออก นั่นหมายความว่าจะทำให้ตำแหน่ง “5 เสือ ทบ.” ว่างลง 1 ตำแหน่งทันที และคนที่จะก้าวขึ้นมานั่งในตำแหน่งนี้ย่อมมีโอกาสที่จะก้าวขึ้นไปเป็น ผบ.ทบ.คนถัดไปสืบต่อจาก พล.อ.อุดมเดชเป็นเปอร์เซ็นต์ที่สูงยิ่ง

ทั้งนี้ เมื่อทอดสายตาตรวจสอบ “ตัวเต็ง” เก้าอี้ตัวนี้มี 2 คน และเป็น 2 คนที่นอนมาตั้งแต่ไก่โห่

ตัวเต็งคนแรกคือ “บิ๊กหมู-พล.อ.ธีรชัย นาควานิช” ผช.ผบ.ทบ. ซึ่งต้องถือว่าเป็น “บูรพาพยัคฆ์สายตรง” เนื่องเพราะรับราชการและเติบโตในกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์กองทัพภาคที่ 1 มาโดยตลอด ที่สำคัญคือ บิ๊กหมู นอกจากจะเป็น เพื่อนร่วมรุ่น ตท.14 ของ พล.อ.อุดมเดช แล้ว ยังเป็นมือทำงานให้กับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม อีกด้วย

ตัวเต็งคนที่สองคือ “บิ๊กติ๊ก-พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา” ผช.ผบ.ทบ.(ตท.15) น้องชายที่คลานตามกันมาโดยสายเลือดของ พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมาเติบโตในกองทัพภาคที่ 3 และได้รับการผลักดันจาก พล.อ.ประยุทธ์ มาโดยตลอด


ด้วยเหตุดังกล่าว ไม่ว่า พล.อ.ธีรชัย หรือ พล.อ.ปรีชาก้าวขึ้นมาเป็นรองผู้บัญชาการทหารบกสืบแทน พล.อ.ฉัตรชัย ก็ล้วนแล้วแต่สร้างความกดดันให้กับ พล.อ.อุดมเดชในฐานะผู้ตัดสินใจทั้งสิ้น เพราะมีทางเลือกแค่ 2 ทางคือทางสายบูรพาพยัคฆ์และทางสายน้องชายของหัวหน้า คสช.

ที่สำคัญคือ ถ้า พล.อ.อุดมเดช พล.อ.ประยุทธ์และพล.อ.ประวิตรตัดสินใจเลือกใครคนใดคนหนึ่งขึ้นมาระหว่าง พล.อ.ธีรชัย กับ พล.อ.ปรีชา ก็รังแต่จะทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นภายในกองทัพบกเร็วขึ้นเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ถ้าจะว่าไปแล้วหาก พล.อ.ฉัตรชัยเกษียณอายุราชการก่อนกำหนด แม้จะส่งผลต่อการวางคนในตำแหน่ง “5 เสือ ทบ.” ก็ตาม แต่เชื่อว่า จะไม่มีนัยอะไรมากนัก เพราะแม้ พล.อ.ฉัตรชัยจะไม่ลาออกก่อนเกษียณอายุราชการในเดือนตุลาคม 2558 “ตัวเต็ง” ที่จะขยับเข้าสู่เก้าอี้ผู้บัญชาการทหารบกแทน พล.อ.อุดมเดช ที่จะเกษียณอายุราชการปลายปี 2558 ก็ยังคงเป็น 2 คนเหมือนเดิมเท่านั้น

กระนั้นก็ดี เรื่องวุ่นๆ หาก พล.อ.ฉัตรชัยลาออกยังไม่หมดเท่านั้น เพราะหาก พล.อ.ธีรชัย กับ พล.อ.ปรีชาขยับขึ้นเป็นรอง ผบ.ทบ. ตำแหน่ง ผช.ผบ.ทบ.ก็จะว่างลง 1 ตำแหน่งเช่นนั้น ทั้งนี้ เจ้ากรมข่าวลือคาดการณ์ว่า ถ้าเกมนี้ถูกปล่อยมาจากคนกันเองโดยนักรบตะวันออกน่าจะมีการขยับ “บิ๊กโชย-พล.ท.กัมปนาท รุดดิษฐ์” แม่ทัพภาคที่ 1 มาเป็น ผช.ผบ.ทบ.แทน เพื่อเปิดทางให้ พล.ท.เทพพงศ์ ทิพยจันทร์ แม่ทัพน้อยที่ 1 นายทหารบูรพาพยัคฆ์อีกคน ขยับขึ้นมาเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 แทนในคราวเดียวกัน

ประมาณว่าวางทายาทบูรพาพยัคฆ์จากรุ่นสู่รุ่นอะไรเทือกนั้น

ถามว่า พล.ท.เทพพงศ์มีความสำคัญอย่างไร

ปัญหาของเรื่องทั้งหมดอยู่ตรงที่เดือนกันยายน 2559 เพราะทั้ง พล.อ.ธีรชัย พล.อ.ปรีชา รวมถึง พล.ท.กัมปนาทจะเกษียณอายุราชการในเดือนกันยายน 2559 พร้อมกัน ซึ่งถ้าหากไม่มีการวางทายาทบูรพาพยัคฆ์ไว้ โซ่แห่งอำนาจของบูรพยาพยัคฆ์จะขาดสาย ดังนั้น พล.ท.เทพพงศ์ซึ่งเป็นบูรพาพยัคฆ์โดยสายเลือดและมีอายุราชการยาวถึงปี 2562 จึงเป็นคำตอบที่เหมาะสมและลงตัวที่สุด

อย่างไรก็ตาม จากกระแสข่าวที่เกิดขึ้น ทั้ง 3 นายพลยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่เป็นความจริงแต่ประการใด

“ไม่เป็นความจริง ผมไม่เคยได้ยินใครพูดว่านายทหารมานั่งตำแหน่งรัฐมนตรี ทำให้งานกองทัพหยุดชะงัก ผมจึงไม่รู้จะตอบอย่างไร กระแสข่าวนี้จะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ผมไม่ทราบ เพราะไม่มีใครมาพูดให้ได้ยิน ผมยังไม่ได้ลาออก เพราะผมอยากเป็นทหาร หากจะลาออกก็ควรลาออกจากรัฐมนตรีมากกว่า ซึ่งอยู่ที่นายกรัฐมนตรีเป็นผู้พิจารณาปรับย้าย”พล.อ.ไพบูลย์ลั่น

“ผมไม่รู้เรื่อง ไม่รู้ใครปล่อยข่าว และเอาข่าวมาจากไหน และยังไม่มีแนวคิดจะลาออกใด ๆ ตอนนี้ทำงานควบคู่ไปด้วยก็ไม่มีปัญหาอะไร”
พล.อ. ฉัตรชัย กล่าวปฏิเสธ

ขณะที่พล.อ.อุดมเดชซึ่งให้สัมภาษณ์ชัดเจนเมื่อวันที่ 6 มกราคม 258 ว่า ไม่รู้ว่าเกิดข่าวนี้มาได้อย่างไร ทุกคนที่เกี่ยวข้องไม่รู้ว่า ข่าวนี้เกิดมาได้อย่างไร เพราะจากที่ทำงานกันมาทุกคนที่มีตำแหน่งและได้รับการแต่งตั้งเพิ่มเติมได้ทำหน้าที่มาด้วยดี ไม่มีปัญหาอะไร สามารถแบ่งเวลาในการปฏิบัติงานได้ ทุกคนทำหน้าที่ได้ไม่มีปัญหา

“สิ่งต่างๆ ของผู้เริ่มข่าว จะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ผมไม่สามารถทราบได้ แต่คิดว่า ถ้าเริ่มข่าวโดยมีความตั้งใจแอบแฝง ผมคิดว่า ไม่ปรารถนาดีเท่าไหร่ ขอให้กลับไปคิดว่า เริ่มข่าวนี้อย่างไรและทำไม วันนี้อยากให้ข่าวนี้เป็นวันสุดท้าย เพราะเกี่ยวข้องกับคนในกองทัพบก ผมไม่อยากให้เป็นเช่นนั้นในเรื่องของข่าวสารที่ทุกคนก็พูดว่า ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร จะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจไม่ทราบ ไม่ควรเป็นเรื่องที่ต้องนำมาขยายความกันต่อไป จริงๆ ผมอยากพูดเรื่องนี้ให้น้อย แต่ถ้าถามก็จะพูดว่าไม่มีปัญหาอะไร ทุกคนแบ่งเวลา แบ่งงานได้ ผมเองก็มีหลายหน้าที่ที่เกื้อกูลต่องานของฝ่ายความมั่นคง ทำให้เห็นภาพงานที่จะทำให้กระชับราบรื่นยิ่งขึ้น ถือว่าเป็นการเสริมงานด้วยซ้ำไป ไม่ได้มีปัญหาอะไร”

“คนที่เริ่มจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ คนที่พูดคนแรกรู้ตัวดี ไม่รู้ว่าใครเหมือนกัน ไม่ขอขยายความต่อไป ทุกคนที่มาลงเรือพยายามแก้ไขปัญหา แต่ทุกอย่างต้องได้รับความร่วมมือจากประชาชนทุกคน หากยังคิดแล้วมาพูดต่างๆ มันทำให้รัฐนาวาของเราเดินได้ไม่เรียบ ถ้าเดินเรียบมันจะแก้เร็ว หากคลื่นแรงเรือก็ช้า ถ้าเราอยากให้เรือไปถึงฝั่งเร็วก็ต้องไม่ให้มีคลื่น เพราะฉะนั้น ใครจะคิดอะไรก็ตามที่ทำให้เกิดคลื่น ต้องไม่ตอกย้ำเรื่องเหล่านั้น มันจะได้เรียบและสำเร็จ โดยเร็ว”พล.อ.อุดมเดชกล่าว

เฉกเช่นเดียวกับ พล.อ.ประยุทธ์ที่ยืนยันเสียงแข็งว่า ยังไม่มีนายทหารที่อยู่ร่วมคณะรัฐมนตรี ลาออก เพราะหากใครจะลาออก ตัวเองในฐานะนายกรัฐมนตรี จะต้องรับรู้และเป็นผู้ร่วมอนุญาต โดยทุกคนยังทำงานได้ไม่มีปัญหา แม้จะมีเวลาจำกัด และมีภาระมาก แต่ก็เชื่อว่าทุกคนสามารถจัดสรรเวลาทำงานได้โดยนายพลทั้ง 3 คน เพิ่งได้รับการแต่งตั้งตำแหน่งใหม่ทางทหารได้เพียง 3 เดือน คงยังไม่ต้องมีการปรับตำแหน่ง และหากอนาคตจะมีการปรับก็คงต้องรอเดือนตุลาคมที่เป็นการปรับเปลี่ยน โยกย้ายประจำปี ขอให้ทุกฝ่ายอย่ากังวลต่อเรื่องดังกล่าว ส่วนการปรับเปลี่ยนนายทหารนั้น ได้ให้อำนาจกับผู้บัญชาการทหารบกเป็นผู้ตัดสินใจ ตนเองมีหน้าที่เพียงตรวจเช็กโผโยกย้ายเท่านั้น ส่วนกรณีน้องชายของตัวเองนั้นก็เป็นข้าราชการคนหนึ่งจะไม่มีการข้ามขั้นโดยใช้สิทธิพิเศษใดๆ แน่นอน

ถึงตรงนี้ คงต้องติดตามกันต่อไปว่า เรื่องนี้จะจบลงอย่างไร จะเป็นข่าวจริงหรือข่าวลือเพราะในอีกไม่ช้าไม่นานไม่กี่เดือนวาระการโยกย้ายนายทหารกลางปีก็เกิดขึ้นอย่างแน่นอนในเดือนเมษายน 2558 นี้

โปรดติดตามอย่างไม่กระพริบตาว่า ศึกสายเลือดระหว่างบูรพาพยัคฆ์และวงศ์เทวัญจะลงเอยอย่างไร....



กำลังโหลดความคิดเห็น