ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ดูจะกลายเป็นเรื่องธรรมดาสามัญไปเสียแล้วสำหรับการแต่งตั้ง “นางสุวณา สุวรรณจูฑะ” ให้ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) เมื่อเทียบกับปัญหาใหญ่ที่เกิดขึ้นในกระทรวงยุติธรรม เพราะดูเหมือนว่าความขัดแย้งระหว่าง “บิ๊กต๊อก-พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กับ “พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันทน์” ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์จะลุกลามบานปลายจนยากที่จะประสานรอยร้าวให้กลับคืนมาได้
จริงอยู่การที่คณะรัฐมนตรี(ครม.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้มีมติเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2557 ให้นางสุวณา สุวรรณจูฑะ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นอธิบดีดีเอสคือเรื่องใหญ่ เพราะเป็นกรมสำคัญที่เกี่ยวข้องกับต้นธารกระบวนยุติธรรม และที่ผ่านมามีความขัดแย้งกันอย่างหนักระหว่าง “คนใน” กับ “คนนอก” และปัญหาของ “ผู้มากบารมีแห่ง คสช.” จนปรากฏการโยนหินถามทางรายชื่ออธิบดีดีเอสไอคนใหม่โผล่มาเป็นหางว่าว โดยเฉพาะ 2 ตัวเต็งล่าสุดที่ชื่อ “พล.ต.ท.เดชณรงค์ สุทธิชาญบัญชา” ซึ่งเพลานี้รั้งตำแหน่งรักษาราชการผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กับ “ดร.เอ-พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันทน์” อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทั่งในที่สุด พล.อ.ไพบูลย์ก็ตัดสินใจแหกโผและเลือกนางสุวณาเป็นอธิบดีดีเอสไอ และครม.ก็มีมติเห็นชอบ
เรื่องอธิบดีดีเอสไอบอกได้คำเดียวว่า พล.อ.ไพบูลย์ตัวเล็กใจใหญ่สมคำร่ำลือ จริงๆ
ทว่า เมื่อเทียบกับปัญหาเที่ยวล่าสุดของบิ๊กต๊อกกับคุณหญิงหมอแล้วต้องบอกว่า เก้าอี้อธิบดีดีเอสไอคนใหม่แม้จะน่าสนใจแต่ก็ถึงจะอย่างไรก็ไม่น่าสนใจเท่าปัญหาหลัง
แน่นอน แม้ พล.อ.ไพบูลย์จะไม่ได้แสดงอาการอะไรมากนัก แต่การที่ตัดสินใจให้สัมภาษณ์สื่อหลังการโพสต์เฟซบุ๊กของ พญ.คุณหญิงพรทิพย์ และปรากฏเป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ ก็มิอาจมองเป็นอย่างอื่นได้ว่า ความอดทนของ พล.อ.ไพบูลย์ ต่อ พญ.คุณหญิงพรทิพย์กำลังจะหมดลงหรืออาจใช้คำว่า หมดลงไปแล้วเสียด้วยซ้ำไป
เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2557 พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก "Khunying Porntip Rojanasunan" ว่า “สิบกว่าปีในกระทรวงยุติธรรมมีเรื่องราวที่น่าเรียนรู้มากมาย วันนี้นับเป็นครั้งแรกที่มีการเรียกประชุมผู้บริหารทุกกรมทั้งประเทศหลังจากการปฏิรูประบบราชการแยกกระทรวงยุติธรรมออกจากศาล การประชุมครั้งแรกกลับไม่สร้างความประทับใจนัก นโยบายไปกันคนละทิศละทางเริ่มจากรัฐบาลมอบตามที่สนใจ แต่ละกรมต้องรีบปรับแผนการปฏิบัติงานโดยที่ยังไม่ได้มีโอกาสพบทั้งรัฐมนตรีและปลัดซึ่งใหม่หมด ยังไม่ได้มีการบูรณาการการทำงานตามนโยบายระหว่างหน่วยงานในกระทรวงยุติธรรม มาวันนี้ได้ฟังผู้บริหารเล่าบ้าง บ่นบ้าง บรรยายบ้างจากมุมมองจากตัวเองมากกว่ามุมมองเชิงระบบ เห็นทีอนาคตการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมให้ประชาชนเข้าถึงได้อย่างทั่วถึงคงอีกไกล”
จากนั้น เมื่อวันที่ 28 ต.ค. พญ.คุณหญิงพรทิพย์ก็ตอกย้ำอีกครั้งด้วยความ แรงระดับเดิมว่า “ไหนๆก็ถูกระบายสีในข่าวว่าเหวี่ยงและเบื่อ มาฟังจากหมอดีกว่า เดิมทีหมอมีแนวคิดทำงานที่ถนัดและขับเคลื่อนงานด้วยตัวเองได้ จึงเลือกเป็นพยาธิแพทย์และสอนหนังสือ ให้ความสำคัญกับการสอนให้ตระหนัก เรื่องเศษแก้วแตกที่ต้องช่วยกันดูแล
“เมื่อถูกเชิญให้มาช่วยปฏิรูปงานกระบวนการยุติธรรมก็ได้ทำตามหน้าที่ให้ดีที่สุด ยามนี้ที่สังคมกำลังดีใจกับการปฏิวัติที่ได้ยินแต่ความตั้งใจทำบ้านเมืองให้มีธรรมาภิบาล แปลว่าอภิบาลบ้านเมืองให้มีธรรม แต่กลับได้พบกับการบริหารบ้านเมืองที่ไม่เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล การมีส่วนร่วมสำคัญอย่างยิ่งทั้งจากข้าราชการและประชาชน หลักการทำงานของกระทรวงยุติธรรมต้องมุ่งเน้นการสร้างสังคมให้มีความยุติธรรม ให้ประชาชนเข้าถึงความเป็นธรรมแบบยั่งยืน
“สิ่งที่เกิดขึ้นคือการไม่เปิดโอกาสสดับตรับฟังความจริงของปัญหาให้ครบด้านจากทุกส่วน แต่ฟังเอาจากแหล่งที่คิดว่าเพียงพอ การประชุมเมื่อวานเป็นสิ่งดีมากเพราะไม่เคยเกิดขึ้นตั้งแต่ปฏิรูป แต่กลายเป็นการให้นโยบายหนักไปทางยาเสพติดและยังเป็นแบบคนละทิศละทาง นโยบายลดความเหลื่อมล้ำก็พูดแต่เรื่องยุติธรรมจังหวัด แต่ไม่นับรวมการร้องขอความเป็นธรรมในคดีต่างๆ แต่ละคนสะท้อนความคิดความรู้ของตน รวมทั้งความสนใจของตน โอกาสดีๆจึงกลายเป็นการเสียเวลา การบริหารราชการผู้นำต้องสร้างศรัทธาด้วยความรู้ความสามารถ ความจริงใจมากกว่าการใช้อำนาจ ข้าราชการพลเรือนไม่ได้ถูกปกครองด้วยระบบนายกับลูกน้อง เราไม่สามารถทำตามคำสั่งที่ไม่ดีไม่ถูกต้องได้ ความยุติธรรมต้องเริ่มจากความมีธรรมในตัวเองก่อน คงต้องสะท้อนวิธีคิดฝากไว้ว่าพลังแห่งอำนาจไม่เคยเปลี่ยนแปลงอะไรได้อย่างยั่งยืน พลังแห่งธรรมเท่านั้นที่ยั่งยืน”
ความจริงก่อนหน้านี้ พญ.คุณหญิงพรทิพย์ก็แสดงความคิดเห็นในทำนองนี้มาแล้วหลายครั้ง
เช่น เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2557 เฟซบุ๊กส่วนตัว Khunying Porntip Rojanasunan ของ พญ.คุณหญิง พรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ระบุข้อความว่า “อีกครั้งกับนโยบายรัฐบาล คสช. ในการแต่งตั้งผู้บริหาร อีกหนึ่งปีก่อนเกษียณพิสูจน์ได้ว่ารัฐบาลจากวิธีใดก็มีหลักการทำงานไม่ต่างกัน ให้โอกาสเฉพาะกับคนรู้จักและคนวิ่งเต้น แต่ไม่ให้โอกาสคนทำงาน ขอให้ประชาชนตามดูว่ากระทรวงยุติธรรมยุคนี้จะสร้างความยุติธรรมให้ประชาชนหรือกำลังสร้างฐานอำนาจใหม่ รู้สึกปลงกับชะตากรรมกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทยยิ่งนัก”
ต่อมาในวันเดียวกัน เฟซบุ๊กดังกล่าวได้ระบุข้อความอีกว่า “สิบปีที่ถูกทาบทามมาสร้างสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ที่กระทรวงยุติธรรม จากชีวิตที่ทำทุกวันให้ดีที่สุดต้องเปลี่ยนเป็นการเดินสู่เป้าหมายที่ถูกขอให้ทำ เพราะเชื่อมั่นในหลักธรรมะจัดสรรธรรมะจะคุ้มครอง สิบปีเดินได้แบบลุ่มๆดอนๆแต่สุดท้ายก็ถูกโยกออกไปจากงานที่รัก และธรรมะก็จัดสรรให้มีความหวังจากการปฏิวัติไปสู่ปฏิรูป สี่เดือนที่การสื่อสารจากข้าราชการในกระทรวงยุติธรรมถึงคสช.ทำได้เพียงผ่านคนๆเดียว สุดท้ายคสช.ก็ส่งคนนอกมาเป็นปลัด ไม่ได้อยากเป็นปลัดแต่อยากทำงานให้สำเร็จ ปัญหาของกระบวนการยุติธรรมอยู่ที่ต้นสายธารมากที่สุด จากนี้จะยังเหลือโอกาสให้ปฏิรูปได้อีกหรือ”
และอีกไม่กี่วันถัดมา เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงกรณี พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โพสต์เฟสบุ๊กว่าช่วงนี้ตราชั่งเอียง พล.อ.ไพบูลย์ ถามกลับว่า “ตราชั่งของใคร ของคุณหรือของผม”
กระทั่งเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2557 หลายคนคิดว่า ปัญหาน่าจะยุติลงเพราะ พญ.คุณหญิงพรทิพย์โพสต์ว่า “นับเป็นครั้งแรกที่รัฐมนตรียุติธรรมเข้าใจปัญหาเรื่องการบูรณาการเพื่อการอำนวยความยุติธรรมโดยได้เชิญปลัดมหาดไทย อธิบดีกรมการปกครองและกรมปกครองส่วนท้องถิ่นมาหารือแนวทางการนำความมยุติธรรมให้ประชาชน ที่ผ่านมารัฐมนตรีจากการเมืองไม่เคยผลักดันการแก้ปัญหา ท่านรัฐมนตรีเข้าใจปัญหาอย่างยิ่ง คงต้องรอดูว่าปลัดจะผลักดันการแก้ปัญหาได้อย่างไร ส่วนหนึ่งของความไม่เป็นธรรมมีต้นตอจากเจ้าหน้าที่รัฐทุกส่วนซึ่งต้องถอดหัวโขน กระทรวงยุติธรรมได้ผู้บริหารกระทรวงที่ตั้งใจทำงานอย่างยิ่งขอชื่นชม”
เรียกว่า ชื่นชม พล.อ.ไพบูลย์โดยตรง
แต่กับการโพสต์ เจ้าปัญหา 2 ครั้ง ถือว่าไม่ธรรมดา เพราะปัญหาไม่ได้หยุดอยู่แค่การโพสต์ของ พญ.คุณหญิงพรทิพย์ หากแต่ส่งผลทำให้นายทหารผู้ที่ได้ชื่อว่า “พูดน้อย” อย่าง พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา ซึ่งเป็นเจ้ากระทรวงยุติธรรมต้องลุกขึ้นมาให้สัมภาษณ์สื่อ แม้จะปฏิเสธว่า ไม่ใช่การตอบโต้ แต่ก็ต้องถือว่าแรงในระดับที่ไม่แพ้กัน
ถ้อยคำการให้สัมภาษณ์ที่ พล.อ.ไพบูลย์มีต่อรายการเจาะลึกทั่วไทยอินไซต์ไทยแลนด์ทางคลื่น 97.0 เมกะเฮิร์ตซนั้น สามารถกล่าวได้ว่า หนักหน่วงในทุกประเด็น
พล.อ.ไพบูลย์ย้ำชัดเจนว่า สถาบันนิติวิทยาศาสตร์มิใช่หน่วยงานหลัก ของ กระทรวงยุติธรรม เป็นเพียงหน่วยงานเสริมเท่านั้น
พล.อ.ไพบูลย์ประกาศชัดเจนว่า พญ.คุณหญิงพรทิพย์มิได้เคยเข้าร่วมประชุมระดับนโยบายของกระทรวงยุติธรรม และเสนอความคิดเห็นในการเปลี่ยนแปลงหรือปฏิรูปใดๆ ทั้งสิ้น
แม้ พล.อ.ไพบูลย์จะไม่พูดชัดๆว่า พญ.คุณหญิงพรทิพย์มีปัญหาเชิงบุคลิกภาพในการทำงานร่วมกับคนอื่น แต่สารัตถะประกอบการให้สัมภาษณ์ได้สื่อความหมายไปในทิศทางเช่นนั้น
นี่ไม่นับรวมถึงการถามต่อหน้า พญ.คุณหญิงพรทิพย์เรื่องการแต่งเครื่องแบบข้าราชการ
“อยากถามว่า พญ.คุณหญิงพรทิพย์ทำไมไม่มาเวลาเขาทำแผน วางกรอบ อยากให้กระทรวงเดินหน้าอย่างไร ทำมาเลย รอบ 12 ปี อะไรบกพร่องวางกรอบมาเลย ถามว่า เวลาเชิญผู้แทนแต่ละกรมมาได้เล่าให้ ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ฟังหรือไม่ พอมีการมาบรรยายสรุปให้ผมฟัง จึงเชิญอธิบดีและรองอธิบดีมานั่งฟังด้วย ถามว่าเห็นด้วยไหม เหมาะสมหรือยัง โดยหัวหน้าแต่ละกลุ่มงานแต่ละด้านคือรองปลัดจะบรรยายสรุปให้ฟัง หลังจากมีการบรรยายสรุป ก็ไม่มีใครว่าอะไร จึงตกลงเดินหน้าตามนี้”
“ผมถามว่าเกิดอะไรขึ้น เวลาให้มาทำ คุณไม่มา ไม่อยากต่อล้อต่อเถียง ผมไม่ชอบคนที่ดีแต่พูด ผมบอกว่า มีอะไรพูดกันในที่ประชุม ผมรับฟังหมดและนำไปแก้ด้วย ให้รองปลัดปรับดู ผมทำงานอย่างนี้ตลอด ถามว่า คนบ่นคิดอะไรบ้าง เวลาผมถามไม่พูดสักคำ ไม่เคยแสดงความคิดเห็นเลย ถ้าบอกว่า ไม่เห็นเป็นระบบก็คิดมาสิว่าจะทำอย่างไร ผมสนใจงานภาพรวม นิติวิทยาศาสตร์เป็นภาพรวมหรือ ถามว่างานยาเสพติด สำคัญไหม นิติวิทยาศาสตร์เป็นงานเสริมแต่ละหน่วยงาน ผมบอกให้รองปลัดไปเช็กดูสิว่าผู้แทนสถาบันนิติวิทยาศาสตร์มาร่วม ไปเล่าให้เจ้านายฟังหรือเปล่า ผมไม่ชอบคนที่ติแล้วไม่มีก่อ เอากันแบบแฟร์ บอกว่าไม่ดีพูดง่าย”พล.อ.ไพบูลย์กล่าว
นี่มิใช่การหมดความอดทนแล้วจะเรียกว่าอย่างไร
ปัญหามีอยู่ว่า เรื่องนี้จะจบลงอย่างไร