รมว.ยุติธรรม ประชุม ขรก.ในสังกัดทั่วประเทศ พร้อมมอบแนวทางการขับเคลื่อนนโยบายเร่งด่วน 5 ด้าน คาดโทษ อธ.กรมราชทัณฑ์ หากพบใบสั่งยาเสพติดจากเรือนจำอีกเจอเด้งแน่ ชี้เรือนจำสุราษฎร์ฯ เสนอชื่อนักโทษเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษไม่เป็นธรรม สั่ง ผบ.คุกจัดการปัญหาด่วน
วันนี้ (27ต.ค.) ที่ศูนย์การประชุมอิมแพค เมืองทองธานี พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมมอบนโยบายให้กับข้าราชการกระทรวงยุติธรรมทั่วประเทศ ในการดำเนินการขับเคลื่อนตามนโยบายสำคัญเร่งด่วน5ด้าน ภายหลังผู้บริหารกระทรวงยุติธรรมร่วมจัดทำแผนปฏิบัติงานระยะ3เดือนและ1ปี เพื่อให้เกิดการทำงานเชิงบูรณาการในทุกระดับ สามารถนำไปปฏิบัติในเขตพื้นที่ให้สอดคล้องกับการแก้ไขปัญหาและความต้องการของประชาชน โดยมีผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม และหัวหน้าส่วนราชการต่างๆ ในสังกัดกระทรวงยุติธรรมกว่า 600คนเข้าร่วมประชุม ทั้งนี้ได้ใช้เวลาในการประชุมนานกว่า3ชั่งโมง
พล.อ.ไพบูลย์กล่าวว่า นโยบายที่สำคัญเร่งด่วน5 ด้าน ประกอบด้วย 1. การอำนวยความยุติธรรมเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ โดยปรับปรุงการบริการศูนย์ยุติธรรมชุมชนทั่วประเทศ ให้ประชาชนสามารถเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม รวมถึงเร่งเสนอร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสังคม 2. ด้านการพัฒนาและแก้ไขนิสัยผู้กระทำผิด เน้นจัดระบบแก้ไขฟื้นฟูผู้กระทำผิดภายในเรือนจำ รวมทั้งพัฒนาทักษะผู้กระทำผิดให้สอดคล้องกับตลาดแรงงาน จนสามารถประกอบอาชีพได้ 3. ด้านการปราบปรามยาเสพติด จะปราบปรามจับกุมยาเสพติดที่เชื่อมโยงกับเครือข่ายผู้ต้องขังในเรือนจำ 4. การป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ จะเชื่อมโยงการประสานงานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเปิดช่องทางร้องเรียน 5. และการปราบปรามอาชญากรรมพิเศษนั้นจะจัดตั้งหน่วยปฎิบัติการพิเศษ ร่วมกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายภายในและภายนอกกระทรวงฯ ในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ การค้ามนุษย์ ปราบปรามผู้มีอิทธิพล และความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ทั้งนี้นโยบายดังกล่าว มุ่งหวังให้ประชาชนทุกคนมีหลักประกันในการได้รับความเป็นธรรมอย่างเสมอภาคและเท่าเทียมกันต่อไป
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวต่อว่า วันนี้กรมราชทัณฑ์ล้มเหลวมาก ซึ่งที่ผ่านมายังมีข่าวการสั่งซื้อขายยาเสพติดผ่านเครือข่ายในเรือนจำเกิดขึ้นหลังจากจับกุมบ่อยครั้ง โดยการใช้โทรศัพท์ในการสั่งซื้อ ซึ่งปัจจุบันยังพบว่ามีโทรศัพท์มือถือเล็ดลอดเข้ามาในเรือนจำ ทั้งๆที่เรือนจำเป็นห้องสี่เหลี่ยมและมีการตรวจตราการเข้า-ออกอย่างเข้มงวด ซึ่งหลังจาก6เดือนนี้ หากพบว่ายังมีของต้องห้ามผ่านเข้าไปในเรือนจำ จะสั่งย้ายอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ทั้งนี้ในส่วนของผู้บัญชาการเรือนจำต่างๆ หากพบข้อมูลหรือหลักฐานว่ายังมีปัญหาดังกล่าว ก็สั่งย้ายเช่นกัน และยืนยันได้ว่าสามารถตรวจสอบข้อมูลได้ เพราะจากกระบวนการสืบสวนผู้เกี่ยวข้องในกระบวนการค้ายาเสพติด มักจะได้ข้อมูลว่ามีการโทรสั่งซื้อ-ขายยาเสพติดจากในเรือนจำ นั่นแสดงว่ามีการนำโทรศัพท์เข้ามา ทั้งนี้ ยืนยันว่าไม่ใช่การกลั่นแกล้ง
นอกจากนี้ รมว.ยุติธรรม ได้กล่าวถึงกรณีที่เจ้าหน้าที่เรือนจำจังหวัดสุราษฎร์ธานี ถูกลอบยิงเสียชีวิต ว่าตนเสียใจกับเหตุการณ์นี้มาก ซึ่งมาเกิดขึ้นในขณะที่ตนดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ทั้งนี้ตนได้กำชับผบ.เรือนจำจังหวัดสุราษฎร์ธานีว่าต้องจัดการปัญหานี้ให้ได้ และถ้าทำไม่ได้ก็เตรียมเก็บของได้เลย อย่างไรก็ตามเหตุการณ์ดังกล่าวน่าจะมีความเชื่อมโยงระหว่างผู้ก่อเหตุกับคนภายในเรือนจำ ซึ่งระบุไม่ได้ว่าเป็นผู้คุมหรือนักโทษ โดยขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ระหว่างการดำเนินการสอบสวนหาผู้กระทำผิด
รมว.ยุติธรรมกล่าวอีกว่า การลดนักโทษในเรือนจำโดยการคัดกรองนักโทษอย่างมีระบบและมีประสิทธิภาพ ล่าสุดมีรายงานว่ามีการคัดกรองผู้ต้องขังเรือนจำจังหวัดสุราษฎร์ธานีอย่างไม่เป็นธรรมในการขอพระราชทานอภัยโทษ โดยมีการคัดเอานักโทษที่มีอิทธิพลออกแทนที่จะคัดไว้ให้อยู่ในรายชื่อนักโทษพิเศษหรือบิ๊กเนม ซึ่งหลังจากนี้ตนจะตรวจสอบอีกครั้ง และจะคาดโทษผู้เกี่ยวข้องกรณีที่คณะกรรมการคัดกรองรายชื่อนักโทษผู้มีอิทธิพลในเรือนจำเพื่อพิจารณาส่งไปแยกขังที่เรือนจำความมั่นคงสูงว่า เหตุใดเรือนจำส่งชื่อมาถึงกรมราชทัณฑ์แล้วชื่อหายไป 50% ซึ่งจะต้องสอบสวนให้ความจริงปรากฏ
สำหรับกรมคุมประพฤตินั้นได้รับทราบปัญหาจากการพูดคุยกับศาลยุติธรรมว่า มีปัญหาในเรื่องข้อมูลและการติดตามผู้ที่ศาลสั่งคุมประพฤติ ดังนั้น ภายในสัปดาห์หน้า จะต้องรายงานตัวเลขผู้ถูกคุมประพฤติทั้งหมดที่อยู่ในความรับผิดชอบโดยส่งมาถึงตนให้เรียบร้อย
ส่วนกรณีการแต่งตั้งข้าราชการสังกัดกระทรวงยุติธรรม3 ตำแหน่ง ประกอบด้วย อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม และอธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน นั้น พล.อ.ไพบูลย์กล่าวว่า ตนได้เสนอชื่อบุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่งดังกล่าว โดยได้เรียนนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ที่กำกับดูแลเรื่องกฎหมายแล้ว และได้รับทราบจากท่านว่าจะเสนอเรื่องเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ดังนั้น คาดว่าพรุ่งนี้น่าจะเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี แต่รายชื่อที่เสนอไปจะได้รับความเห็นชอบด้วยหรือไม่นั้นตอบไม่ได้