xs
xsm
sm
md
lg

ทำไมความกลัวของประชาชนน้อยลง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ปัญญาพลวัตร
โดย...พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต

ในยุคดิจิตอลการตั้งคำถามท้าทายการทำงานองค์การและเจ้าหน้าที่ของรัฐเกิดขึ้นอย่างแพร่หลายและต่อเนื่อง แม้ว่าบ้านเมืองจะอยู่ภายใต้กฎอัยการศึกและอำนาจเด็ดขาดของผู้ปกครอง แต่ประชาชนก็หาได้เป็นลูกแกะที่เชื่องซึมซึ่งเดินตามคำสั่งแต่เพียงอย่างเดียวแต่อย่างใด ตรงกันข้ามได้ส่งกระแสเสียงที่แตกต่างและท้าทายออกมาในหลายเรื่องราว

หากถามว่าประชาชนมีความหวาดกลัวหรือไม่ ก็คงมีอยู่บ้าง ใครเล่าจะไม่รู้สึกหวาดกลัวอำนาจที่ป่าเถื่อนและไร้เหตุผล แต่ระดับความรู้สึกความกลัวต่ออำนาจรัฐของประชาชนคงไม่มากเท่ากับในอดีต ทั้งนี้น่าจะมาจากเงื่อนไขสำคัญหลายประการ

ประการแรกการสั่งสมบทเรียนและพัฒนายุทธวิธี ประชาชนไทยผ่านการต่อสู้กับอำนาจรัฐและอำนาจเถื่อนมาหลายครั้งหลายคราว ได้สั่งสมบทเรียนและประสบการณ์การจากการต่อสู้และพัฒนายุทธศาสตร์และยุทธวิธีสำหรับการต่อสู้ได้อย่างหลากหลาย รูปแบบและกระบวนการต่อต้านอำนาจจึงมีความซับซ้อนมากขึ้น ซึ่งทำให้ผู้ปกครองเกิดความยุ่งยากในการใช้อำนาจรัฐอย่างดิบเถื่อนเพื่อจัดการกับประชาชน

ในยามต่อสู้กับเผด็จการทุนสามานย์ที่อาศัยคราบของประชาธิปไตยบังหน้า ประชาชนก็ใช้การชุมนุมอย่างสันติ การรณรงค์จัดนิทรรศการเปิดโปงความชั่วร้ายของกลุ่มทุนสามานย์ มีการสื่อสารผ่านสื่อมวลชนหลากหลายช่องทาง และใช้สื่อสังคมออนไลน์ได้อย่างมีพลัง

ฝั่งของกลุ่มทุนสามานย์ แม้จะยึดกุมอำนาจรัฐ แต่ภายใต้กรอบบรรทัดฐานของระบอบที่ตนเองใช้ในการอ้างความชอบธรรมของอำนาจ ทำให้พวกเขาใช้อำนาจรัฐกระทำความรุนแรงอย่างเปิดเผยต่อประชาชนไม่ได้ พวกเขาจึงจัดตั้งกองกำลังเถื่อนเพื่อทำร้ายผู้ต่อต้าน ขณะเดียวกันก็ได้ใช้มวลชนจัดตั้งและสื่อมวลชนของตนเองออกมาตอบโต้ในทุกรูปแบบเช่นกัน แต่ประชาชนก็หาได้หวาดกลัวอำนาจของกลุ่มทุนสามานย์ ในทางตรงกันข้ามกลับยิ่งทำให้ประชาชนมีความมุ่งมั่นในการต่อสู้กับกลุ่มทุนสามานย์ยิ่งขึ้น

ครั้นเมื่อกลุ่มทุนสามานย์ถูกโค่นล้มลงชั่วคราว ผู้ปกครองใหม่ที่เข้ามาโดยการอาศัยกฎอัยการศึกและกองกำลังทหารที่เข้าควบคุมอำนาจรัฐ ประชาชนก็เฝ้าจับตามองตั้งแต่เริ่มต้น กลุ่มนายพลใช้เงื่อนไขความขัดแย้งของประชาชน การทุจริตของกลุ่มทุนสามานย์ และการปฏิรูปประเทศเป็นข้ออ้างในการควบคุมอำนาจรัฐ แต่แล้วเมื่อเวลาผ่านไปสิ่งที่พวกเขากระทำหลายอย่างมิได้เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับสิ่งที่อ้างตอนต้น ระบบเช่นพรรคเล่นพวกยังถูกใช้เป็นกลไกอย่างแพร่หลายในการทำงานและบริหารราชการแผ่นดิน การทุจริตก็ไม่มีวี่แววว่าจะเอาจริงเอาจังแต่อย่างใด มีแต่ตัวเล็กตัวน้อยที่ถูกเล่นงาน แต่ตัวใหญ่กลับลอยนวล ทั้งยังมีแนวโน้มของการเพิ่มและขยายอำนาจขององค์กรราชการ และลดอำนาจฝ่ายประชาชน ความหวังในการปฏิรูปก็ดูเหมือนมีอยู่ไม่มากนัก ประชาชนก็เริ่มตั้งคำถามต่อผู้ปกครองมากขึ้นตามเวลาของการอยู่ในอำนาจ และการต่อสู้รอบใหม่กำลังเกิดขึ้นมา

ประการที่สองการกลายเป็นสถาบัน ในยุคปัจจุบันแนวความคิด บรรทัดฐาน และการปฏิบัติหลายอย่างทางการเมืองได้เริ่มที่กลายเป็นสถาบันซึ่งดำรงอยู่อย่างอิสระจากเจตจำนงของปัจเจกบุคคล แม้ปัจเจกบุคคลที่ยึดกุมอำนาจรัฐได้อย่างเบ็ดเสร็จ ก็ยากที่จะละเมิดบรรทัดฐานทางสังคมที่ได้รับการสถาปนาขึ้นมาเป็นสถาบันได้ หากผู้มีอำนาจกลุ่มใดแสดงออกถึงเจตนารมณ์ที่ล่วงล้ำละเมิดบรรทัดฐานเหล่านั้น ก็จะถูกตั้งคำถามจากสังคมทันที

ตัวอย่างเช่น การแสดงบัญชีทรัพย์สินต่อสาธารณะของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง แม้ว่าผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่เป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) บางส่วนซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นนายทหารระดับสูง แสดงเจตจำนงที่ไม่ต้องการแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อสาธารณะ โดยสื่อสารผ่านวาทกรรมที่ว่า สนช. ไม่ใช่เป็นตำแหน่งทางการเมืองบ้าง หรือ เปิดเผยแล้วกลัวว่าจะถูกปล้นบ้าง รวมทั้งการยื่นเรื่องให้ศาลปกครองพิจารณาเพื่อไม่ให้ตนเองต้องเปิดบัญชีทรัพย์สิน แต่ในที่สุดศาลปกครองก็ไม่รับเรื่อง จนคนเหล่านั้นต้องแสดงบัญชีทรัพย์สินออกมา

เมื่อบัญชีทรัพย์สินของบรรดานายพลและข้าราชการระดับสูงได้ถูกเปิดเผยออกมา ก็ปรากฏว่าแต่ละคนมีทรัพย์สินจำนวนนับร้อยล้านบาท บางคนก็เกินร้อยล้านบาท ความสงสัยของผู้คนในสังคมก็ผุดขึ้นตามมาว่าทำไมคนเหล่านี้จึงร่ำรวยกันนัก เพราะเงินเดือนและค่าตอบแทนที่ได้รับจากราชการไม่มีทางที่จะทำให้คนเหล่านั้นมีทรัพย์สินมากขนาดนั้นได้ ยกเว้นบางคนที่ได้รับมรดกจากครอบครัวหรือครอบครัวมีธุรกิจอื่นๆ

ประการที่สามการเชื่อมโยงกับสากล ด้วยความจริงที่ว่าแต่ละประเทศในโลกยุคปัจจุบันไม่อาจอยู่ได้อย่างลำพังโดดเดี่ยว แต่กลับมีความเข้มข้นของการปฏิสัมพันธ์กันสูงในหลากหลายมิติ การกระทำโดยใช้อำนาจรัฐที่ป่าเถื่อนและไร้เหตุผลของผู้ปกครองในบางประเทศ อาจเป็นสาเหตุให้นานาชาติหรือองค์การระหว่างประเทศเข้ามากดดันการกระทำและแทรกแซงกิจการภายในของประเทศนั้นได้

รูปแบบของการกดดันมีความหลากหลายทั้งโดยอาศัยการรายงานข้อมูลด้านการละเมิดสิทธิมนุษยชน การงดการช่วยเหลือทางทหาร การห้ามนักธุรกิจของประเทศตนเข้าไปลงทุน การประกาศเป็นพื้นที่เสี่ยงและไม่สนับสนุนให้ประชาชนของไประเทศตนไปท่องเที่ยวในประเทศที่ผู้ปกครองใช้อำนาจอย่างป่าเถื่อน และการงดซื้อสินค้า เป็นต้น

สำหรับการแทรกแซงกิจการภายในนั้นมีตั้งแต่การสนับสนุนผู้ต่อต้านรัฐบาล การจัดส่งความช่วยเหลือทางเงินและเครื่องมือในการต่อต้าน การส่งอาวุธให้ฝ่ายต่อต้าน การส่งสายลับและกองกำลังลับ การส่งเครื่องบินไปโจมตีที่ตั้งกองกำลังของฝ่ายรัฐบาล และในบางประเทศก็ถึงขั้นการส่งกำลังทหารของตนเองเข้าไปช่วยเหลือผู้ต่อต้านโดยตรง

กล่าวได้ว่าการกระทำของผู้ปกครองและกลุ่มผู้ต่อต้านผู้ปกครองต่างตกอยู่ภายใต้การเฝ้าดูของนานาชาติ บรรดาประเทศต่างๆก็พร้อมที่จะเข้าไปช่วยเหลือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในรูปแบบต่างๆ หากการกระทำของฝ่ายนั้นมีความชอบธรรมในสายตาของพวกเขา แน่นอนว่าการกระทำใดจะมีความชอบธรรมในสายของใครนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่า จุดยืนของพวกเขาเป็นอย่างไร แต่อย่างน้อยทั้งผู้ปกครองและประชาชนต่างก็ทราบว่าการกระทำของตนมีความเชื่อมโยงกับพลังทางสากล จึงมีความระมัดระวังในการกระทำมากขึ้น

ดังนั้นหากกลุ่มใดมีการกระทำที่ป่าเถื่อนและไร้เหตุผล ก็ย่อมจะถูกตอบโต้จากบางประเทศที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำนั้น ประชาชนจึงมีพื้นที่ในการต่อต้านการกระทำของรัฐบาลในบางรูปแบบ และรัฐเองก็ไม่อาจใช้วิธีการป่าเถื่อนรุนแรงดังในอดีต

ประการที่สี่พลังของสื่อสังคมออนไลน์ ในยุคปัจจุบันมีข้อมูลจำนวนมหาศาลล่องลอยอยู่ในโลกของสังคมออนไลน์ ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลได้มากขึ้น ดังนั้นการที่หน่วยงานของรัฐหน่วยงานใดที่ใช้ข้อมูลเท็จหลอกลวงประชาชน ในไม่ช้าก็จะถูกเปิดโปงซึ่งจะทำให้หน่วยงานนั้นมีความน่าเชื่อถือลดลง หากประสงค์ที่จะให้ได้รับการยอมรับจากประชาชน ก็จะต้องปรับปรุงประสิทธิภาพและความโปร่งใสในการทำงานมากขึ้นกว่าเดิม แต่หากหน่วยงานใดเพิกเฉยไม่สนใจการวิพากษ์วิจารณ์ของประชาชน ในไม่ช้าหน่วยงานนั้นก็จะถูกกดดันให้เปลี่ยนแปลงอย่างขนาดใหญ่ จนกระทั่งต้องยุบเลิกหน่วยงานไปเลยก็เป็นได้

ในยุคนี้หากผู้ปกครองประเทศคิดว่ามีอำนาจแล้วกระทำตามอำเภอใจ หวังรวมศูนย์อำนาจในกลุ่มหรือหน่วยงานของตนเอง ดูแคลนพลังของประชาชน ลิดรอนอำนาจประชาชน ไม่ใส่ใจกับความถูกต้องชอบธรรม อนาคตของผู้ปกครองที่ปฏิบัติเยี่ยงนี้เป็นอย่างไรก็ไม่ยากที่จะทำนาย

ท่ามกลางหมอกเมฆแห่งอวิชชาปกคลุมทุกหนแห่ง ยังมีดวงประทีปแห่งปัญญาปรากฏขึ้นซึ่งเป็นประจักษ์พยานถึงความพยายามอันสูงส่งของผู้คนในการแสวงหาทางออกจากความมืดมน และความหวาดกลัวจะค่อยๆเลือนหายไปในที่สุด


กำลังโหลดความคิดเห็น