ปัญญาพลวัตร
โดย...พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต
สิ่งที่เราเห็นในสังคมการเมืองไทยมาอย่างยาวนานคือ นักการเมืองไม่ว่าฝ่ายใดต่างพยายามรักษาระบอบประชา ธิปไตยแบบตัวแทนทุนสามานย์ หรือประชาธิปไตยทางอ้อมที่มีกลไกการเลือกตั้งพิกลพิการเอาไว้อย่างไม่ลืมหูลืมตา เพื่อให้ตนเองควบคุมอำนาจและชะตากรรมของคนไทยต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
หากดูคำศัพท์ที่เราเรียกระบอบการปกครองแต่ละประเภทล้วนสะท้อนถึงบุคคลหรือกลุ่มคนที่เป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตย เมื่อเรียกระบอบปกครองว่า ราชาธิปไตย ก็หมายถึงอำนาจสูงสุดเป็นของพระราชาและถูกใช้โดยพระราชา และเพื่อรักษาประโยชน์ของพระราชา เมื่อเรียกว่า คณาธิปไตย ก็หมายถึงอำนาจสูงสุดเป็นของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ถูกใช้โดยกลุ่มนั้นเพื่อตอบสนองระโยชน์ของกลุ่มนั้น คำเรียกเหล่านี้ส่วนใหญ่มีความเที่ยงตรงเพราะปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคมการเมืองที่ใช้คำเรียกนั้นมักจะสอดคล้องกับคำเรียกเหล่านั้น
แต่มีคำเรียกของระบอบการปกครองแบบหนึ่งที่ดูขาดความเที่ยงตรงไปมาก เต็มไปด้วยลักษณที่วิปริตบิดเบือนขาดความสอดคล้อง ขาดความคงเส้นคงวา และขาดความเกี่ยวข้อง เพราะว่าปรากฎการณ์ทางสังคมการเมืองที่เป็นจริงภายใต้คำเรียกนี้เป็นคนละเรื่องหรือเป็นสิ่งที่เข้ากันไม่ได้เลยกับคำเรียก
ระบอบการปกครองที่ว่าคือ ประชาธิปไตย โดยคำเรียกหมายถึงอำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน ประชาชนเป็นผู้ใช้อำนาจสูงสุดนี้จะโดยตรงหรือผ่านตัวแทนก็ตาม เพื่อให้เกิดประโยน์สูงสุดแก่ประชาชน แต่ปรากฎว่าประเทศต่างๆที่เรียกระบอบปกครองตนเองว่าประชาธิปไตยนั้น เนื้อแท้ก็เป็นเรื่องของการหลอกลวงเกือบทั้งสิ้น
แม้กระทั่งในสหรัฐอเมริกาก็มีงานวิจัยของศาสตราจารณ์ ซี ไร้ท์ มิลส์ ตั้งแต่ ค.ศ. ๑๙๕๖ ซึ่งพบว่า สหรัฐอเมริกาที่อวดอ้างตนเองหนักหนาว่าเป็นประชาธิปไตย แท้จริงแล้วอำนาจอธิปไตยกลับเป็นของกลุ่มทหาร บริษัทเอกชน และนักการเมือง กลุ่มเหล่านี้เป็นผู้ใช้อำนาจที่แท้จริง และใช้ไปเพื่อผลประโยชน์ของพวกตนเองทั้งสิ้น
ประเทศไทยยิ่งหนักเข้าไปอีกนับตั้งแต่มีสิ่งเรียกว่า การเปลี่ยนแปลงระบอบปกครองเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๕ จวบจนถึงปัจจุบัน เราเรียกว่า ประชาธิปไตย แต่ปรากฏการณ์ที่เป็นจริงทางสังคมการเมือง ยังไม่มีสิ่งที่ใกล้เคียงกับคำว่าประชาธิไตยแม้แต่น้อย
บางช่วงเวลาอำนาจอธิปไตยก็ถูกใช้โดยกลุ่มขุนนาง บางเวลาก็ถูกใช้โดยกลุ่มทหาร บางเวลาก็ถูกใช้โดยกลุ่มทุนอิทธิพลท้องถิ่น และบางเวลาก็ถูกใช้โดยกลุ่มทุนสามานย์ระดับชาติ เรียกได้ว่าไม่มีเวลาใดในช่วงประวัติศาสตร์ ๘๒ ปีที่ล่วงเลยมาของการใช้ระบอบประชาธิปไตยแล้ว ประชาชนจะมีโอกาสใช้อำนาจอธิปไตยของตนเองอย่างแท้จริง อาจมีข้อยกเว้นช่วงหลังเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๔ แต่ก็เพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น อำนาจก็ถูกยึดกลับเป็นของกลุ่มอื่น
เมื่ออำนาจถูกใช้โดยกลุ่มคนใด ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นย่อมตอบสนองต่อความมั่นคงและมั่งคั่งของคนกลุ่มนั้น และเพื่อให้เกิดความคงทนในการรักษาสถานภาพแห่งอำนาจเอาไว้ กลุ่มที่ควบคุมการใช้อำนาจก็ได้สร้างมายาภาพของผลัพธ์ และได้สร้างวิธีการที่ทรงพลังซึ่งจะทำให้กลุ่มตนรักษาอำนาจเอาไว้อย่างยาวนานที่สุด
มายาภาพของผลลัพธ์ของการใช้อำนาจคือ การสร้างภาพเสมือนจริงที่ทำให้สาธารณะรับรู้เสมือนว่าผลลัพธ์แห่งการใช้อำนาจเป็นประโยชน์แก่สังคมและประชาชนโดยรวม เสมือนสร้างหน้ากากที่สวยงามเคลือบหุ้มใบหน้าที่อัปลักษณ์เอาไว้เพื่อทำให้คนส่วนใหญ่ในสังคมหลงเชื่อว่าผลลัพธ์ของการใช้อำนาจ ทำให้เกิดความยุติธรรมและเกิดการกระจายความมั่งคั่งสู่สังคม ส่วนความเป็นจริงจะมีลักษณะที่ตรงกันข้าม
ในการทำให้การควบคุมอำนาจมีความมั่นคง กลุ่มทุนสามานย์ก็ได้สร้างวิธีการที่ดูเสมือนว่าเปิดโอกาสให้ทุกคนแข่งขันอย่างเท่าเทียมกันในการเข้าถึงอำนาจ วิธีการที่พวกเข้าใช้คือการเลือกตั้งทั่วไป โดยทำเสมือนว่าให้ทุกคนในสังคมสามารถลงสมัครรับเลือกตั้งได้ และใช้สิทธิในการเลือกตั้งได้ รวมทั้งเป็นการเลือกตั้งที่เสรีและมีความเท่าเทียมกัน
แต่ทว่าการเลือกตั้งไม่ว่าที่ใดก็ตาม ในช่วงประวัติศาสตร์ที่มีการใช้วิธีการนี้ขึ้นมา ไม่มีทางที่จะมีเสรีภาพและเท่าเทียมกันได้ ทั้งในส่วนของผู้สมัครรับเลือกตั้งและผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง และหากการเลือกตั้งถูกกำหนดนำมาใช้ในสังคมที่มีความแตกต่างเรื่องอำนาจมากและมีความเหลื่อมล้ำสูง ก็ยิ่งทำให้การเลือกตั้งยากที่จะเป็นไปอย่างเสรี สุจริต และเที่ยงธรรมได้
ความเป็นจริงย่อมประจักษ์ชัดในหลายสังคมรวมทั้งสังคมไทยด้วยว่า การเลือกตั้งเป็นเพียงเครื่องมือของกลุ่มทุนที่ใช้เพื่อครอบครองอำนาจ ประเทศใดที่กลุ่มทุนมีวัฒนธรรมและจิตสำนึกเพื่อส่วนรวมอยู่บ้าง รวมทั้งการที่สังคมมีกลไกการตรวจสอบที่เข้มแข็ง ประชาชนมีสำนึกทางการเมืองสูง ก็จะทำให้การเลือกตั้งนั้นเป็นเครื่องมือที่พอจะรับได้ในฐานะที่เป็นวิธีการเข้าถึงอำนาจ
แต่ถ้าหากว่าประเทศใดที่กลุ่มทุนไร้วัฒนธรรมและไม่มีจิตสำนึกเพื่อสังคม รวมทั้งพลังทางสังคมและประชาชนอ่อนแอ ไร้พลังในการตรวจสอบ การเลือกตั้งก็จะกลายเป็นสิ่งที่สกปรกอัปลักษณ์ที่สุด แต่สิ่งที่เป็นเรื่องตลกร้ายคือ การเลือกตั้งกลายเป็นเครื่องมือที่ทรงพลานุภาพของกลุ่มทุนสามานย์ที่ใช้ในการอ้างความชอบธรรมขึ้นสู่อำนาจและรักษาอำนาจเอาไว้อย่างเหนียวแน่น ดังที่เกิดขึ้นในสังคมไทยครั้งแล้วครั้งเล่า
กลุ่มทุนสามานย์ยังได้สร้างแบบแผนค่านิยมทางสังคม สร้างแบบแผนทางจิตล้างสมองกล่อมเกลาผู้คนให้ยอมรับการซื้อชายเสียงว่าเป็นองค์ประกอบส่วนหนึ่งที่ขาดเสียไม่ได้สำหรับการเลือกตั้ง ดังนั้นในปัจจุบันเมื่อไรก็ตามที่ใครคิดสมัครรับเลือกตั้งและหวังชนะในการแข่งขัน ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งระดับท้องถิ่นหรือระดับชาติ ก็จะคิดถึงจำนวนเงินที่ต้องใช้ในการซื้อขายเสียงเกิดขึ้นควบคู่กันไป
ส่วนประชาชนหลังจากถูกตอกย้ำด้วยการแจกเงิน พวกเขาก็ไม่ได้มองว่าการเลือกตั้งเป็นการใช้สิทธิพลเมืองอีกต่อไป ตรงกันข้ามพวกเขามองการเลือกตั้งในฐานะที่เป็นเทศกาลสำหรับหาเงินมาใช้ ยิ่งหามากได้เท่าไรก็ยิ่งดี ความหมายของการเลือกตั้งจึงเปลี่ยนไปจากหลักการดั้งเดิมอย่างสิ้นเชิง
ความร้ายกาจของกลุ่มทุนสามานย์ในสังคมไทยมิได้มีเพียงแค่นั้น แต่กลับล้างสมองประชาชนบางส่วนได้อย่างสมบูรณ์แบบ โดยสร้างค่านิยมให้ยอมรับนักการเมืองที่ทุจริตโกงกิน หากมีผลงาน และตัวเขาได้ประโยชน์ ความร้ายการของค่านิยมนี้มีมากขนาดไหน ผมจะหยิบเรื่องบางเรื่องเล่าให้ฟัง
เมื่อต้นปีในงานพระราชทานปริญญานักศึกษานิด้า มีบัณฑิตคนหนึ่งของบางคณะได้เข้ามาคุยกับผมถามไถ่เรื่องการเมือง และเรื่องของทักษิณ รวมทั้งการเคลื่อนไหวของประชาชน ผมก็ตอบกลับไปตามความคิดที่ได้แสดงต่อสาธารณะหลายครั้ง ส่วนบัณฑิตผู้นั้นมีท่าทีแสดงความไม่เห็นด้วยบางเรื่อง โดยเขากล่าวว่า นักการเมืองทุกคนโกงทั้งนั้น ดังนั้นเขาจึงยอมรับนักการเมืองที่โกงแต่มีผลงาน ทักษิณ เป็นนักการเมืองที่มีผลงาน เขาจึงยอมรับทักษิณ ผมจึงตอบกลับไปว่า เราไม่อาจยอมรับนักการเมืองที่โกงได้ ไม่ว่าจะอวดอ้างว่ามีผลงานหรือไม่ก็ตาม เพราะเมื่อเรายอมรับการโกงก็เท่ากับว่าเราส่งเสริมให้เกิดการโกง และสังคมก็จะเต็มไปด้วยคนโกง แล้วเราจะอยู่ภายในสังคมที่มีแต่ความคดโกงกันได้อย่างไร เพราะฉะนั้นเราจึงจำเป็นที่จะต้องขจัดนักการเมืองที่โกงออกไป ร่วมกันสร้างค่านิยมใหม่ และนักการเมืองแบบใหม่ขึ้นมา
เรื่องที่ผมเล่าสะท้อนให้เห็นถึงพลังอำนาจของกลุ่มทุนสามานย์ที่ทำให้จิตใจของผู้คนในสังคมไทยเกิดการคล้อยตามจนวิปริตบิดเบือนจากความเป็นจริงและคุณธรรมพื้นฐานอันเป็นเสาหลักของสังคม และสิ่งเหล่านี้ถูกสร้างและผลิตซ้ำ ขึ้นมาภายใต้การเลือกตั้งและระบอบประชาธิปไตยแบบตัวแทนทุนสามานย์นั่นเอง
ล่าสุดนักการเมืองทุนสามานย์ฝ่ายระบอบทักษิณ นำโดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พยายามทำให้การเลือกตั้งเกิดขึ้นให้ได้ พวกเขาไปพูดคุยตกลงกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เรื่องการกำหนดวันเลือกตั้ง ข่าวที่ปรากฏออกมาดูเหมือนว่าจะได้ข้อตกลงเบื้องต้นร่วมกันเกี่ยวกับวันเลือกตั้งเป็นที่เรียบร้อยแล้วซึ่งคือวันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๕๗
เมื่อได้ข้อตกลงแล้ว รัฐบาลรักษาการยิ่งลักษณ์ก็จะเร่งรีบไปจัดทำร่างพระราชกฤษฎีกา (พรฎ.) การเลือกตั้ง และนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีรักษาการพิจารณา จากนั้นก็นำร่างพรฎ.ขึ้นทูลเกล้าฯถวายพระมหากษัตริย์เพื่อทรงตรา พรฎ. นั้น โดยนายกรัฐมนตรีจะเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ
นักการเมืองฝ่ายระบอบทักษิณคงทุ่มเทความพยายามทุกอย่างที่จะทำให้ พรฎ. เลือกตั้ง ประกาศออกมาก่อนวันที่ศาลรัฐธรรมนูญอ่านคำพิพากษาคดีการทำผิดรัฐธรรมนูญของยิ่งลักษณ์ ชินวัตรและคณะรัฐมนตรี เพราะว่าพวกเขาต้องการใช้การเลือกตั้งเป็นแหล่งชุบตัวชะล้างความผิด และควบคุมอำนาจในสังคมต่อไปอีกยาวนาน
ในบางมุม การประกาศเลือกกำหนดวันเลือกตั้งก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินความผิดยิ่งลักษณ์ อาจทำให้นักการเมืองฝ่ายระบอบทักษิณใช้เงื่อนไขนี้รักษาการรัฐบาลต่อไปแม้ว่าจะถูกศาลรัฐธรรมนูญพิพากษาว่าพ้นตำแหน่งไปแล้วก็ตาม เพื่อกุมสภาพความได้เปรียบในการแข่งขันในสนามเลือกตั้ง
ทั้งยังอาศัยเงื่อนไขของการเลือกตั้งที่กำหนดขึ้นตาม พรฎ. เป็นเครื่องมือในการทำลายและบั่นทอนความชอบธรรมของฝ่ายมวลมหาประชาชนในการใช้อำนาจอธิปไตยทางตรงเพื่อเสนอรัฐบาลและรัฐสภาของประชาชน
ฝ่ายมวลมหาประชาชนซึ่งตระหนักดีว่าการเลือกตั้งในสังคมไทยนั้นเต็มไปด้วยการทุจริตและฉ้อฉล และระบอบประชาธิปไตยแบบตัวแทนที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันก็เป็นเพียงตัวแทนของกลุ่มทุนสามานย์ มิใช่ตัวแทนของประชาชนแต่อย่างใด
มวลมหาประชาชนจึงได้พยายามทำลายมายาภาพของประชาธิปไตยแบบตัวแทนทุนสามานย์และการเลือกตั้งที่ทุจริตฉ้อฉล และได้เสนอทางเลือกใหม่สำหรับสังคมไทยขึ้นมานั่นคือ การใช้ประชาธิปไตยทางตรง ซึ่งเป็นการที่ปวงมหาประชาชนจำนวนมหาศาลจากทุกกลุ่ม ทุกสาขาอาชีพ ได้ออกมาร่วมกันประกาศเจตนารมย์ต่อสาธารณะว่าประสงค์จะใช้อำนาจอธิปไตยโดยตรง เพื่อสถาปนารัฐบาลและรัฐสภาของประชาชนขึ้นมา
การปฏิบัติการของมวลมหาประชาชนย่อมกระทบต่อผลประโยชน์ของนักการเมืองทุกกลุ่มไม่ว่าจะเป็นฝ่ายทุนสามานย์ระบอบทักษิณ หรือ นักการเมืองประเภทฉวยโอกาสก็ตาม ดังนั้นคนกลุ่มนี้จึงพยายามหาทางขัดขวางและทำลายการใช้อำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทย
แต่เมื่อปวงมหาประชาชนชาวไทย ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดและเด็ดเดี่ยว เพื่อทำลายประชาธิปไตยแบบตัวแทนทุนสามานย์ และร่วมกันทำให้ความหมายของประชาธิปไตยถูกต้องยิ่งขึ้น โดยเป็นประชาธิปไตยที่มีความสอดคล้องกันระหว่าง “คำเรียก” กับ “ความเป็นจริงที่รองรับคำเรียกนั้น” การขัดขวางจากลุ่มผู้สูญเสียประโยชน์ย่อมไม่อาจหยุดยั้งพลังอันมหาศาลนี้ได้
มายาภาพของการเลือกตั้งและระบอบประชาธิปไตยแบบตัวแทนของกลุ่มทุนสามานย์ ก็จะถูกทำลายลง และเป็นการเปิดศักราชใหม่ของประชาธิปไตยที่ก้าวหน้ากว่าขึ้นมาแทนที่ เป็นการขับเคลื่อนเพื่อให้เกิดประชาธิปไตยทางตรง โดยประชาชนเป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตย และประชาชนเป็นผู้ได้รับประโยชน์ ซึ่งเท่ากับเป็นการสร้างความเที่ยงตรงเชิงทฤษฎีประชาธิปไตยให้เกิดขึ้นมาเป็นครั้งแรกในสังคมไทย