xs
xsm
sm
md
lg

อะไรที่มากกว่าคำว่า “อย่าสะเออะ” ?!

เผยแพร่:   โดย: สันติ ตั้งรพีพากร

(27 เม.ย.57)

วลีเด็ดของคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่ว่า “อย่าสะเออะ” ต่อการออกมาเคลื่อนไหวเป็น “คนกลาง” ของคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ทำให้ผู้เขียนมองเห็นชัยชนะของมวลมหาประชาชนชัดเจนยิ่งขึ้น

จากกรณีนี้ ได้สะท้อนถึงภาพใหญ่ของประเทศไทยได้เป็นอย่างดีว่า ณ วันนี้ ได้ปรากฏสัญญาณชัดเจนที่สุดแล้วว่า ประเทศไทยได้เคลื่อนตัวมาถึงจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่แล้วจริงๆ ทำให้ผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรงพากันนั่งไม่ติด ด้วยตระหนักชัดแล้วว่า มวลมหาประชาชนภายใต้การนำของ “กปปส.” กำลังจะแสดงบทบาทของความเป็น“อำนาจกำหนด” กระทำการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ขจัดอำนาจกลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณให้พ้นไปจากวงการเมืองของประเทศไทย ด้วยการระดมพล “เผด็จศึก” ยกสุดท้ายในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้

ที่ชัดเจนที่สุดก็คือ ทักษิณบอกว่า ยินดี “ถอย” โดยตระกูลชินวัตรและวงศ์วานว่านเครือจะ “พัก”กิจกรรมทางการเมือง 1 ปี อะไรทำนองนี้

นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่า ทักษิณเล่นบท “ถอย” เพราะกำลังเข้าสู่ตาจน ภายหลังตกเป็นฝ่ายถูกกระทำมาโดยตลอด ตั้งแต่การผ่าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯเป็นต้นมา บวกกับการติดค้างค่าข้าวชาวนาจำนวนมาก ทำให้สูญเสียฐานมวลชนชาวนาอย่างชัดเจน ดูได้จากกลุ่ม “นปช.” ระดมมวลชนได้น้อยลงเรื่อยๆ ตรงกันข้ามกับมวลมหาประชาชนที่แสดงตนไม่เอาระบอบทักษิณ ได้ขยายตัวไปทั่วทุกหัวระแหง รวมทั้งมวลชนชาวนาและเกษตรกรในชนบท ขณะที่เจ้าหน้าที่ในกลไกรัฐและข้าราชการในกระทรวงทบวงกรมต่างๆ ก็ได้แสดงท่าทีเอนเอียงมาทางด้านมวลมหาประชาชนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ

ถึงที่สุดแล้ว การเลือกทาง “ถอย”ของทักษิณ ก็เพื่อหลีกเลี่ยงความพ่ายแพ้ ในศึก “ยกสุดท้าย” ที่กำลังจะระเบิดขึ้นนั่นเอง

หลัดๆหลังจากนั้น นายอภิสิทธิ์ก็ประกาศตัวเป็น “กาวใจ” ให้ทุกฝ่ายมาร่วมกันแก้ปัญหาวิกฤติของประเทศ สร้างความยินดีปรีดาให้แก่ค่ายการเมืองในระบอบทักษิณ เปิดไฟเขียวต้อนรับทันที แม้จะมีบางคน เช่น “ไอ้เต้น” ณัฐวุฒิ และ “ติงเหล่” นพดล ได้ทีฟัดคุณอภิสิทธิ์เสียจมเขี้ยว แต่บรรยากาศโดยรวมก็คือ “รู้สึกดีมาก” ที่มีคุณอภิสิทธิ์มาช่วยคลี่คลายสถานการณ์

เรื่องนี้ ไม่ต้องรอให้นักวิเคราะห์มาวินิจฉัยให้เปลืองหัว ว่าผลจะเป็นอย่างไร เพราะเพียงแค่กำนันสุเทพบอกว่า “อย่าสะเออะ” ทุกอย่างก็จบเกมแล้ว !

คงไม่เกินจริงที่จะพูดว่า ณ สถานการณ์โดยรวมวันนี้ กำนันสุเทพเป็นผู้มี “วาจาสิทธิ์” สูงสุด !

ในอีกมุมหนึ่ง การเดินเกมของคุณอภิสิทธิ์คราวนี้ นับเป็นการเผยตัวตนครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่ง ในความ “เชื่อมั่นในระบบรัฐสภา” อย่างหัวปักหัวปำของกลุ่มนักการเมืองค่ายประชาธิปัตย์ ดังนั้น เมื่อขบวนการประชาชนกำลังเคลื่อนตัวเข้าเผด็จศึกระบอบทักษิณ เพื่อสถาปนาอำนาจประชาชนขึ้นแทนที่อำนาจกลุ่มการเมืองเลือกตั้ง ซี่งสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงลึกของประเทศไทย ตามกฎการพัฒนาทางการเมืองประเทศไทย ในบริบทการพัฒนาทางการเมืองของโลก จึงทำให้พวกเขาร้อนตัว ร้อนใจ อดรนทนไม่ไหว ต้องออกมา “ชิง” นำการเปลี่ยนแปลง ให้ยังคงดำเนินไปในกรอบเดิมๆ โดยกลุ่มอำนาจการเมืองเดิมๆร่วมกันกำหนด

ทั้งสองกรณีนี้ ไม่มีอะไรต้องอธิบายมาก เพราะมันมีคำตอบชัดเจนอยู่ในตัว และคงไม่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรมากมายต่อทิศทางแนวโน้มและผลของการต่อสู้ระหว่างฝ่ายทักษิณกับฝ่ายประชาชนที่จะต้อง “ลงเอย” กันในที่สุดในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้

โดยฝ่ายมวลมหาประชาชนจักต้องได้รับชัยชนะอย่างแน่นอน !

สิ่งที่สามารถยืนยันในข้อวินิจฉัยของผู้เขียนนี้ ก็คือตัวคุณสุเทพเอง

ด้วย ณ วันนี้ คุณสุเทพชัดเจนมากขึ้น และเชื่อมั่นอย่างยิ่งใน “อำนาจประชาชน” ขณะที่มวลมหาประชาชนก็พร้อมอย่างยิ่งที่จะออกมาร่วมกันเผด็จศึกระบอบทักษิณภายใต้การนำของคุณสุเทพ

ผู้เขียนสังเกตเห็นว่า คุณสุเทพ เทือกสุบรรณสามารถปรับยุทธศาสตร์การระดมพลเผด็จศึกระบอบทักษิณได้อย่างสอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป โดยยึดเอามวลมหาประชาชนเป็นที่ตั้ง ซึ่งตรงกับสิ่งที่ผู้เขียนได้นำเสนอต่อคุณสุเทพไปแล้วว่า ให้ใช้อำนาจประชาชนเป็น “อาวุธเอก” ฟาดฟันระบอบทักษิณให้พังพินาศไป

จากเดิมที่คุณสุเทพได้นัดแนะชัดเจนแล้วว่า ให้ถือเอาคำวินิจฉัยของ “ปปช.”(ชี้ผิดยิ่งลักษณ์กรณีทุจริตจำนำข้าว) และคำตัดสินของ “ศาลรัฐธรรมนูญ” (กรณีใช้อำนาจโดยมิชอบในการสั่งย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี)เป็นสัญญาณรวมพล “เผด็จศึก” แต่เมื่อการกลับกลายเป็นว่า ฝ่ายยิ่งลักษณ์พยายามเล่นเกม “ยื้อ” และได้ผลเสียด้วย ทำให้วันเวลาของการวินิจฉัยของ “ปปช.” และคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญแปรเปลี่ยนไปตามเกมของฝ่ายทักษิณ คุณสุเทพจึงได้ปรับแผนใหม่ โดยประกาศว่า จะทำการระดมพลตามความพร้อมของมวลมหาประชาชน โดยไม่ขึ้นกับการวินิจฉัยของ “ปปช.” หรือคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ ด้วยเหตุผลว่า ยิ่งลักษณ์กับพวก ที่เป็นหุ่นเชิดของทักษิณ กระทำความผิดโทนโท่ ประจักษ์ชัดในสายตาประชาชนชาวไทยแล้วมากมายหลายประการ รวมทั้งเรื่องการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว และการโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี อันเป็นพฤติกรรมฉ้อฉลสะสมที่ยังผลให้เกิดความเสียหายต่อประเทศชาติ สร้างความเดือดร้อนให้แก่คนไทยโดยรวมเป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังเป็นต้นเหตุแห่งวิกฤติต่างๆที่กำลังระบาดไปทั่วทุกวงการ สมควรที่จะต้องร่วมกันขับไล่ให้ลงจากอำนาจ ขุดรากถอนโคนระบอบทักษิณ ขับไล่กลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณให้พ้นไปจากวงการเมืองประเทศไทย แล้วสถาปนาอำนาจประชาชนขึ้นแทนที่

ทั้งนี้ อำนาจประชาชน ในฐานะ “อำนาจกำหนด” จะมีสภาประชาชน เป็นกลไกอำนาจหลัก ขับเคลื่อนกระบวนการพัฒนาของประเทศไทยยุคใหม่ต่อไป

ในความเข้าใจของผู้เขียน (ดังได้นำเสนอสู่เวทีสาธารณะมาเป็นลำดับ) สภาประชาชนคือองค์กรอำนาจถาวรของปวงชนชาวไทยทั้งในและต่างประเทศ ประกอบด้วยตัวแทนของปวงชนชาวไทยจากทุกสาขาอาชีพทั้งในประเทศและต่างประเทศ แบ่งออกเป็น 3 สภา คือ 1.สภาการเมืองประชาชน ประกอบด้วยตัวแทนจากองค์กรการเมืองภาคประชาชน “ทุกฝ่าย” 2.สภาภูมิปัญญาประชาชน ประกอบด้วยตัวแทนผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญระดับ “หัวกะทิ”ในด้านต่างๆ รวมทั้งปราชญ์ชาวบ้านที่สร้างผลงานเป็นที่ประจักษ์แก่ชุมชน และ 3. สภาผู้แทนประชาชนประกอบด้วยตัวแทนผู้ใช้แรงงานทั้งในวงการอุตสาหกรรมและเกษตรกรรม และผู้ประกอบอาชีพทุกประเภท ตั้งแต่ข้าราชการ พนักงาน ลูกจ้าง พ่อค้า นักธุรกิจ นักบริหาร ตลอดจนนักเรียน นิสิต นักศึกษา ปัญญาชน ฯลฯ

ทั้งนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ที่จะประกอบกันเข้าเป็นรัฐบาลของประชาชน จะต้องมาจากที่ประชุมใหญ่ของสภาประชาชน และจะต้องดำเนินการบริหารประเทศ ตามแนวนโยบายที่ให้ไว้กับสภาประชาชน รวมทั้งจะต้องรับการตรวจสอบโดยตรงจากสภาประชาชน

ด้วยความเข้าใจเช่นนี้เอง ผู้เขียนจึงได้เพียรนำเสนอต่อคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ ในฐานะเลขาธิการ กปปส. และแกนนำมวลชนในระดับต่างๆ มาโดยตลอดว่า การเผด็จศึกระบอบทักษิณ จะทำได้ด้วยการประกาศ “สถาปนาอำนาจประชาชน” คือเปิดสภาประชาชน เลือกนายกฯของประชาชน และจัดตั้งรัฐบาลของประชาชน ขึ้นมาในทันที โดยไม่ต้องรอให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ “ลาออก” ตามคำวินิจฉัยของ “ปปช.” หรือ “ต้องออก”ตามการพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญ

ต้องแสดงความเป็น “ฝ่ายกระทำ” ของอำนาจประชาชน ในฐานะ “อำนาจกำหนด” หรือ “อำนาจแกน”ในทุกมิติของการต่อสู้

มองในการยุทธ ก็คือ เราจะต้องช่วงชิงฐานะของความเป็น “ผู้กระทำ” ให้ได้ ซึ่งจะต้องทำได้อย่างแน่นอน หากเราใช้ “อำนาจประชาชน” ซึ่งเป็นอำนาจกำหนดการเปลี่ยนแปลงครั้งประวัติศาสตร์นี้เป็น “ตัวเดิน”

ความพยายามที่จะใช้อำนาจอื่นใด มากำหนดการเปลี่ยนแปลง ในที่สุดก็จะล้มเหลว จะไม่สามารถล้มล้างอำนาจของระบอบทักษิณลงไปได้ และรังแต่จะถ่วงดึงให้การแก้ปัญหาวิกฤติของประเทศชาติและประชาชนต้องเนิ่นช้าออกไปอีก

การตกเป็นฝ่าย “ถูกกระทำ” เกิดขึ้นได้ในหลายกรณี เช่น การติดยึดอยู่กับสถานการณ์เดิมๆ แม้เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป ก็ไม่มีการปรับแผน ดังนั้น ถ้าคุณสุเทพยังยึดอยู่กับแผนเดิมที่ว่าจะต้องรอให้ “ปปช.” ชี้ผิด หรือศาลรัฐธรรมนูญตัดสิน ขบวนการประชาชนก็จะตกอยู่ในฐานะ “ผู้ถูกกระทำ” ในทันที

หรือการที่คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ออกมาเคลื่อนไหว อาสาเป็น “คนกลาง” ดึงให้ “ทุกฝ่าย” หันหน้าเข้าหากัน เจรจากัน โดยไม่ตั้งเป้าให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ต้องพ้นจากอำนาจ และกระทั่งยินดีให้มีการเลือกตั้งก่อนการปฏิรูปด้วย หากคุณสุเทพและคณะ “เอาด้วย” กับคุณอภิสิทธิ์ ก็เท่ากับมัดมือมัดเท้ามวลมหาประชาชน เลิกล้มการต่อสู้ที่ดำเนินมาอย่างเข้มข้นหลายเดือนติดต่อกันไปโดยปริยาย ก็เท่ากับทำให้ขบวนการประชาชนต้องยกธงขาว ก้มหัวศิโรราบให้แก่ระบอบทักษิณ

ดังนั้น เมื่อกำนันสุเทพพูดสวนออกไปว่า “อย่าสะเออะ” จึงมีความหมายทางยุทธศาสตร์อย่างยิ่ง จักสร้างความเชื่อมั่นครั้งใหญ่ขึ้นในขบวนการประชาชน และเกิดความพร้อมอย่างยิ่งที่จะออกมาร่วมกันต่อสู้ “เผด็จศึก” ระบอบทักษิณ ในศึก “ยกสุดท้าย” ที่จักระเบิดขึ้นอย่างเป็นจริงในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ !
กำลังโหลดความคิดเห็น