(6 เม.ย.57)
วันนี้ผู้เขียนขอเปิดประเด็นเชิงปรัชญา เพื่ออธิบายสิ่งที่กำลังจะเป็นไป ทั้งที่เป็นส่วนที่นอกเหนือการกำหนดของเรา และสิ่งที่อยู่ในการกำหนดของเรา
คำว่า “เรา” ในที่นี้หมายถึงมวลมหาประชาชน โดยเฉพาะมวลชนตื่นรู้ ที่รู้จริง รู้คิด รู้ทำ
การประกาศ “เผด็จศึก”ของคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ ในนามเลขาธิการ “กปปส.” เมื่อวันที่ 5 เมษายน ที่สวนลุมพินี สามารถเรียกขวัญกำลังใจให้แก่มวลมหาประชาชนที่ไม่เอาระบอบทักษิณได้มาก คาดว่า ตามการนัดหมายของคุณสุเทพ จะมีมวลชนจากทุกสารทิศ เคลื่อนพลเข้ากรุงเทพฯ เพื่อเผด็จศึกระบอบทักษิณ
ทว่า มาตรการที่คุณสุเทพแจกแจง อันเป็นยุทธศาสตร์ที่จะเผด็จศึกระบอบทักษิณ กลับหนีไม่พ้นกรอบเดิมๆที่ใช้มาแล้วไม่ได้ผล
คุณสุเทพประกาศว่า เมื่อใดที่ ปปช.ชี้มูลความผิดยิ่งลักษณ์กรณีทุจริตจำนำข้าว ก็ให้ฟังเสียง
“นกหวีด” หรือหากเมื่อใดศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้ยิ่งลักษณ์พ้นจากตำแหน่งนายกฯ ก็ให้เคลื่อนพลเข้ากรุงทันที จุดนี้ผู้เขียนไม่เห็นต่าง
แต่เมื่อบอกว่า เมื่อมวลมหาชนเข้ากรุงฯ “ยึดอำนาจ” แล้ว ก็จะประกาศตั้งรัฐบาล โดยใช้อำนาจหรือ “รัฐาธิปัตย์”ของมวลมหาประชาชน ที่มี “กปปส.”เป็นแกน และลงนามโดยคุณสุเทพในฐานะเลขาธิการ “กปปส.” ผู้เขียนเห็นว่า เป็นมาตรการ “ข้ามขั้น” ที่ไม่น่าให้อภัย
เพราะการใช้อำนาจมวลมหาประชาชน องค์แห่งรัฐาธิปัตย์ โดยไม่ผ่าน “มติ” ของสภาประชาชนนั้น สุ่มเสี่ยงอย่างยิ่งต่อการถูกกล่าวหาว่า หยิบยืมอำนาจหรือรัฐาธิปัตย์ของประชาชนมาใช้เพื่อบรรลุเป้าหมายทางการเมืองเฉพาะของคุณสุเทพกับพวก
การละเลยบทบาทของสภาประชาชน จะทำให้คุณสุเทพขาดความชอบธรรมทางการเมือง ที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงประเทศไทยได้อย่างเป็นจริง ตรงกันข้าม ด้วยมาตรการเช่นนี้ คุณสุเทพจะถลำตัวลงสู่ครรลองของการต่อสู้ทางการเมืองแบ่งขั้ว ในกรอบเดิมๆ ขับเคลื่อนมวลชนไปในวงจร “อุบาทว์”เดิมๆ
ทำไมผู้เขียนจึงวินิจฉัยไปในทำนองนี้ ?
ประการแรก ณ วันนี้ คนไทยส่วนใหญ่ได้แสดงจุดยืนชัดเจนแล้ว (ตั้งแต่การชุมนุมใหญ่วันที่ 11 พฤศจิกายน 2556 ต่อต้าน “พ.ร.บ. นิรโทษกรรม”) ไม่เอาระบอบทักษิณ อีกนัยหนึ่ง ไม่เอานักการเมืองโกงกินที่ “โคตรโกง โกงทั้งโคตร” แต่ก็ยังไม่ได้คำตอบว่า จะเอาการเมืองแบบไหน
ประการที่สอง เมื่อคุณสุเทพกำหนดเป้าหมายการปฏิรูปประเทศไทยไว้ที่การเมืองการปกครองเป็นสำคัญ เน้นการแก้กฎกติกาการเลือกตั้ง กำหนดโทษการทุจริตโกงกิน ฯลฯ ถึงที่สุดแล้วก็ต้องมาเริ่มต้นกันใหม่ที่การเลือกตั้ง ซึ่งเป็นการเมืองแบ่งขั้ว และเป็นสาเหตุสำคัญที่นำมาสู่การแบ่งแยกกันเป็นฝักฝ่ายหลายกลุ่มหลายแกน โดยปัจจุบันเชื่อมโยงกันอยู่เป็นสองกลุ่มใหญ่ คือกลุ่มพรรคเพื่อไทย และกลุ่มพรรคประชาธิปัตย์
ด้วยเหตุนี้ เมื่อคุณสุเทพยังติดอยู่กับการเมืองเลือกตั้ง ก็หนีไม่พ้นของการเมืองแบ่งขั้ว แม้ว่าคุณสุเทพจะประกาศว่า กปปส.ไม่เกี่ยวกับการเมือง จะไม่ตั้งเป็นพรรคการเมือง แต่ผลของการปฏิบัติ เช่นการแก้ไขกฎกติกาการเลือกตั้ง ก็ย่อมส่งผลดีต่อกลุ่มพรรคประชาธิปัตย์มากกว่ากลุ่มพรรคเพื่อไทย จะต้องถูกกลุ่มพรรคเพื่อไทยและมวลชนเสื้อแดงเคลื่อนไหวต่อต้านอย่างหนัก ทั้งบนดินและใต้ดิน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฝ่ายทหารก็จะระแวงระวัง ไม่ออกมาสนับสนุนมาตรการต่างๆของกลุ่ม กปปส. และจะวางเฉยต่อพฤติกรรมข่มขู่คุกคามของอันธพาลการเมือง โดยให้เหตุผลว่า เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งก็รู้อยู่เต็มอกแล้วว่า ตำรวจวันนี้มุ่งรับใช้ระบอบทักษิณ
ในฝ่ายทหาร เราคงไม่ต้องไปหวังอะไรกับกลุ่มนายพล “ถั่งเช่า” ที่ซื่อสัตย์ต่อระบอบทักษิณอยู่แล้ว ส่วนนายทหารหรือเหล่าทหารที่จงรักภักดีต่อสถาบันฯ ตื่นรู้เข้าถึงความจริง ก็ไม่ต้องการที่จะออกมาถือหาง กปปส. ภายใต้การนำของคุณสุเทพ เพราะไม่ต้องการตกเป็นเครื่องมือของกลุ่มการเมืองขั้วใดขั้วหนึ่ง
ด้วยเหตุนี้เอง การเข้ากรุงครั้งนี้ของมวลมหาประชาชนที่ไม่เอาระบอบทักษิณ ในที่สุดมันก็จะเข้าอีหรอบเดิมๆ คือ เข้ามามากเป็นล้านๆ ก็เอายิ่งลักษณ์ไม่ลง เพราะทหารวางเฉย ข้าราชการวางเฉย ในที่สุด มวลชนจะอ่อนล้าและล่าถอยกลับไป คุณสุเทพก็จะไปตามทางของเขา ไม่เกี่ยวอะไรกับมวลชนอีกแล้ว
ข้อวินิจฉัยของผู้เขียนข้างต้น จึงเป็นคำตอบชัดเจนว่า การเคลื่อนไหวมวลชนครั้งสุดท้ายของคุณสุเทพ จะต้องลงเอยแบบไหน อย่างไร
มันเป็นสิ่งที่ต้องเกิด โดยเราไม่อาจเข้าไปกำหนดได้
เพราะการขับเคลื่อนของ “กปปส.” อยู่ในการกำหนดของคุณสุเทพกับพวก ซึ่งติดอยู่ในกรอบความคิด “หาเสียง-เลือกตั้ง” ไม่หลุดพ้นจากวงจรการเมืองแยกขั้ว ที่นำมาสู่การแบ่งแยกของคนไทย และเป็นช่องทางให้ทักษิณฮุบกินประเทศไทย
ตราบใดที่คุณสุเทพกับพวกยังเคลื่อนไหวมวลชน วนเวียนอยู่กับการหาเสียงและสร้างฐานเสียงเพื่อเอาชนะกลุ่มพรรคเพื่อไทยในสนามเลือกตั้ง ไม่ว่าจะให้คำมั่นสัญญา “สาบาน”แบบไหนอย่างไร ก็ไม่อาจสร้างความเชื่อมั่นศรัทธาอย่างแท้จริงในหมู่มวลชนได้
การที่มวลมหาประชาชนเข้าร่วมมือกับคุณสุเทพก็เพราะไม่เอาระบอบทักษิณ และลึกๆแล้ว พวกเขาก็ไม่เอาระบอบอำนาจขั้วหนึ่งขั้วใดมาปกครองประเทศไทย
สิ่งที่พวกเขาต้องการก็คือ อำนาจประชาชน ที่ไม่แยกขั้ว !
ซึ่งอำนาจประชาชนที่ไม่แยกขั้วนั้น จะเกิดขึ้นได้จริง บนฐานของการถือเอาผลประโยชน์ชาติและประชาชนเป็นตัวตั้งในทุกๆมิติของการเคลื่อนไหว
ดังนั้น สิ่งที่เราต้องทำให้เกิดเป็นจริงก็คือ อำนาจประชาชนที่ไม่แยกขั้ว ด้วยการสร้างระบบการเมืองที่ไม่แยกขั้ว ที่มี “สภาประชาชน” เป็นฐานรองรับ
เป้าหมายคือ ขจัดการเมืองกลุ่มทุน เลิกระบบการเมืองเลือกตั้ง สถาปนาสภาประชาชน ให้เป็นเวทีร่วมของคนไทย “ทุกฝ่าย” ที่ถือเอาผลประโยชน์ชาติและประชาชนเป็นที่ตั้ง ดำเนินการปฏิรูปประเทศไทยอย่างรอบด้าน พัฒนาคุณภาพชีวิตคนไทยอย่างรอบด้าน
คงจะสายไปแล้วกับการที่จะให้คุณสุเทพกับพวกปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์การเคลื่อนไหว “เผด็จศึก” ครั้งนี้ เพราะอำนาจกำหนดอยู่ในมือคุณสุเทพกับพวกแบบเบ็ดเสร็จ ยากที่จะรับแนวคิด แนวทาง หรือยุทธศาสตร์อื่นใด ที่ไม่สนองตอบผลประโยชน์ทางการเมืองแยกขั้วของพวกเขา ที่มุ่งล้มล้างอำนาจฝ่ายตรงข้าม ยิ่งกว่าการสร้างอำนาจประชาชน
การสร้างอำนาจประชาชน ให้เป็นอำนาจกำหนดอย่างแท้จริง คือสิ่งที่เราจักต้องทำให้ปรากฏเป็นจริง !
ด้วยเหตุนี้ “ธง”ของเราในวันนี้ จึงเป็น “สภาประชาชน”
ในที่สุดแล้ว ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร ขบวนการประชาชนก็จักเคลื่อนพลต่อไป ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีสุเทพกับพวก
อย่างน้อยวันนี้ เราก็มี “หลวงปู่ฯ” มิใช่หรือ ?
วันนี้ผู้เขียนขอเปิดประเด็นเชิงปรัชญา เพื่ออธิบายสิ่งที่กำลังจะเป็นไป ทั้งที่เป็นส่วนที่นอกเหนือการกำหนดของเรา และสิ่งที่อยู่ในการกำหนดของเรา
คำว่า “เรา” ในที่นี้หมายถึงมวลมหาประชาชน โดยเฉพาะมวลชนตื่นรู้ ที่รู้จริง รู้คิด รู้ทำ
การประกาศ “เผด็จศึก”ของคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ ในนามเลขาธิการ “กปปส.” เมื่อวันที่ 5 เมษายน ที่สวนลุมพินี สามารถเรียกขวัญกำลังใจให้แก่มวลมหาประชาชนที่ไม่เอาระบอบทักษิณได้มาก คาดว่า ตามการนัดหมายของคุณสุเทพ จะมีมวลชนจากทุกสารทิศ เคลื่อนพลเข้ากรุงเทพฯ เพื่อเผด็จศึกระบอบทักษิณ
ทว่า มาตรการที่คุณสุเทพแจกแจง อันเป็นยุทธศาสตร์ที่จะเผด็จศึกระบอบทักษิณ กลับหนีไม่พ้นกรอบเดิมๆที่ใช้มาแล้วไม่ได้ผล
คุณสุเทพประกาศว่า เมื่อใดที่ ปปช.ชี้มูลความผิดยิ่งลักษณ์กรณีทุจริตจำนำข้าว ก็ให้ฟังเสียง
“นกหวีด” หรือหากเมื่อใดศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้ยิ่งลักษณ์พ้นจากตำแหน่งนายกฯ ก็ให้เคลื่อนพลเข้ากรุงทันที จุดนี้ผู้เขียนไม่เห็นต่าง
แต่เมื่อบอกว่า เมื่อมวลมหาชนเข้ากรุงฯ “ยึดอำนาจ” แล้ว ก็จะประกาศตั้งรัฐบาล โดยใช้อำนาจหรือ “รัฐาธิปัตย์”ของมวลมหาประชาชน ที่มี “กปปส.”เป็นแกน และลงนามโดยคุณสุเทพในฐานะเลขาธิการ “กปปส.” ผู้เขียนเห็นว่า เป็นมาตรการ “ข้ามขั้น” ที่ไม่น่าให้อภัย
เพราะการใช้อำนาจมวลมหาประชาชน องค์แห่งรัฐาธิปัตย์ โดยไม่ผ่าน “มติ” ของสภาประชาชนนั้น สุ่มเสี่ยงอย่างยิ่งต่อการถูกกล่าวหาว่า หยิบยืมอำนาจหรือรัฐาธิปัตย์ของประชาชนมาใช้เพื่อบรรลุเป้าหมายทางการเมืองเฉพาะของคุณสุเทพกับพวก
การละเลยบทบาทของสภาประชาชน จะทำให้คุณสุเทพขาดความชอบธรรมทางการเมือง ที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงประเทศไทยได้อย่างเป็นจริง ตรงกันข้าม ด้วยมาตรการเช่นนี้ คุณสุเทพจะถลำตัวลงสู่ครรลองของการต่อสู้ทางการเมืองแบ่งขั้ว ในกรอบเดิมๆ ขับเคลื่อนมวลชนไปในวงจร “อุบาทว์”เดิมๆ
ทำไมผู้เขียนจึงวินิจฉัยไปในทำนองนี้ ?
ประการแรก ณ วันนี้ คนไทยส่วนใหญ่ได้แสดงจุดยืนชัดเจนแล้ว (ตั้งแต่การชุมนุมใหญ่วันที่ 11 พฤศจิกายน 2556 ต่อต้าน “พ.ร.บ. นิรโทษกรรม”) ไม่เอาระบอบทักษิณ อีกนัยหนึ่ง ไม่เอานักการเมืองโกงกินที่ “โคตรโกง โกงทั้งโคตร” แต่ก็ยังไม่ได้คำตอบว่า จะเอาการเมืองแบบไหน
ประการที่สอง เมื่อคุณสุเทพกำหนดเป้าหมายการปฏิรูปประเทศไทยไว้ที่การเมืองการปกครองเป็นสำคัญ เน้นการแก้กฎกติกาการเลือกตั้ง กำหนดโทษการทุจริตโกงกิน ฯลฯ ถึงที่สุดแล้วก็ต้องมาเริ่มต้นกันใหม่ที่การเลือกตั้ง ซึ่งเป็นการเมืองแบ่งขั้ว และเป็นสาเหตุสำคัญที่นำมาสู่การแบ่งแยกกันเป็นฝักฝ่ายหลายกลุ่มหลายแกน โดยปัจจุบันเชื่อมโยงกันอยู่เป็นสองกลุ่มใหญ่ คือกลุ่มพรรคเพื่อไทย และกลุ่มพรรคประชาธิปัตย์
ด้วยเหตุนี้ เมื่อคุณสุเทพยังติดอยู่กับการเมืองเลือกตั้ง ก็หนีไม่พ้นของการเมืองแบ่งขั้ว แม้ว่าคุณสุเทพจะประกาศว่า กปปส.ไม่เกี่ยวกับการเมือง จะไม่ตั้งเป็นพรรคการเมือง แต่ผลของการปฏิบัติ เช่นการแก้ไขกฎกติกาการเลือกตั้ง ก็ย่อมส่งผลดีต่อกลุ่มพรรคประชาธิปัตย์มากกว่ากลุ่มพรรคเพื่อไทย จะต้องถูกกลุ่มพรรคเพื่อไทยและมวลชนเสื้อแดงเคลื่อนไหวต่อต้านอย่างหนัก ทั้งบนดินและใต้ดิน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฝ่ายทหารก็จะระแวงระวัง ไม่ออกมาสนับสนุนมาตรการต่างๆของกลุ่ม กปปส. และจะวางเฉยต่อพฤติกรรมข่มขู่คุกคามของอันธพาลการเมือง โดยให้เหตุผลว่า เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งก็รู้อยู่เต็มอกแล้วว่า ตำรวจวันนี้มุ่งรับใช้ระบอบทักษิณ
ในฝ่ายทหาร เราคงไม่ต้องไปหวังอะไรกับกลุ่มนายพล “ถั่งเช่า” ที่ซื่อสัตย์ต่อระบอบทักษิณอยู่แล้ว ส่วนนายทหารหรือเหล่าทหารที่จงรักภักดีต่อสถาบันฯ ตื่นรู้เข้าถึงความจริง ก็ไม่ต้องการที่จะออกมาถือหาง กปปส. ภายใต้การนำของคุณสุเทพ เพราะไม่ต้องการตกเป็นเครื่องมือของกลุ่มการเมืองขั้วใดขั้วหนึ่ง
ด้วยเหตุนี้เอง การเข้ากรุงครั้งนี้ของมวลมหาประชาชนที่ไม่เอาระบอบทักษิณ ในที่สุดมันก็จะเข้าอีหรอบเดิมๆ คือ เข้ามามากเป็นล้านๆ ก็เอายิ่งลักษณ์ไม่ลง เพราะทหารวางเฉย ข้าราชการวางเฉย ในที่สุด มวลชนจะอ่อนล้าและล่าถอยกลับไป คุณสุเทพก็จะไปตามทางของเขา ไม่เกี่ยวอะไรกับมวลชนอีกแล้ว
ข้อวินิจฉัยของผู้เขียนข้างต้น จึงเป็นคำตอบชัดเจนว่า การเคลื่อนไหวมวลชนครั้งสุดท้ายของคุณสุเทพ จะต้องลงเอยแบบไหน อย่างไร
มันเป็นสิ่งที่ต้องเกิด โดยเราไม่อาจเข้าไปกำหนดได้
เพราะการขับเคลื่อนของ “กปปส.” อยู่ในการกำหนดของคุณสุเทพกับพวก ซึ่งติดอยู่ในกรอบความคิด “หาเสียง-เลือกตั้ง” ไม่หลุดพ้นจากวงจรการเมืองแยกขั้ว ที่นำมาสู่การแบ่งแยกของคนไทย และเป็นช่องทางให้ทักษิณฮุบกินประเทศไทย
ตราบใดที่คุณสุเทพกับพวกยังเคลื่อนไหวมวลชน วนเวียนอยู่กับการหาเสียงและสร้างฐานเสียงเพื่อเอาชนะกลุ่มพรรคเพื่อไทยในสนามเลือกตั้ง ไม่ว่าจะให้คำมั่นสัญญา “สาบาน”แบบไหนอย่างไร ก็ไม่อาจสร้างความเชื่อมั่นศรัทธาอย่างแท้จริงในหมู่มวลชนได้
การที่มวลมหาประชาชนเข้าร่วมมือกับคุณสุเทพก็เพราะไม่เอาระบอบทักษิณ และลึกๆแล้ว พวกเขาก็ไม่เอาระบอบอำนาจขั้วหนึ่งขั้วใดมาปกครองประเทศไทย
สิ่งที่พวกเขาต้องการก็คือ อำนาจประชาชน ที่ไม่แยกขั้ว !
ซึ่งอำนาจประชาชนที่ไม่แยกขั้วนั้น จะเกิดขึ้นได้จริง บนฐานของการถือเอาผลประโยชน์ชาติและประชาชนเป็นตัวตั้งในทุกๆมิติของการเคลื่อนไหว
ดังนั้น สิ่งที่เราต้องทำให้เกิดเป็นจริงก็คือ อำนาจประชาชนที่ไม่แยกขั้ว ด้วยการสร้างระบบการเมืองที่ไม่แยกขั้ว ที่มี “สภาประชาชน” เป็นฐานรองรับ
เป้าหมายคือ ขจัดการเมืองกลุ่มทุน เลิกระบบการเมืองเลือกตั้ง สถาปนาสภาประชาชน ให้เป็นเวทีร่วมของคนไทย “ทุกฝ่าย” ที่ถือเอาผลประโยชน์ชาติและประชาชนเป็นที่ตั้ง ดำเนินการปฏิรูปประเทศไทยอย่างรอบด้าน พัฒนาคุณภาพชีวิตคนไทยอย่างรอบด้าน
คงจะสายไปแล้วกับการที่จะให้คุณสุเทพกับพวกปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์การเคลื่อนไหว “เผด็จศึก” ครั้งนี้ เพราะอำนาจกำหนดอยู่ในมือคุณสุเทพกับพวกแบบเบ็ดเสร็จ ยากที่จะรับแนวคิด แนวทาง หรือยุทธศาสตร์อื่นใด ที่ไม่สนองตอบผลประโยชน์ทางการเมืองแยกขั้วของพวกเขา ที่มุ่งล้มล้างอำนาจฝ่ายตรงข้าม ยิ่งกว่าการสร้างอำนาจประชาชน
การสร้างอำนาจประชาชน ให้เป็นอำนาจกำหนดอย่างแท้จริง คือสิ่งที่เราจักต้องทำให้ปรากฏเป็นจริง !
ด้วยเหตุนี้ “ธง”ของเราในวันนี้ จึงเป็น “สภาประชาชน”
ในที่สุดแล้ว ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร ขบวนการประชาชนก็จักเคลื่อนพลต่อไป ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีสุเทพกับพวก
อย่างน้อยวันนี้ เราก็มี “หลวงปู่ฯ” มิใช่หรือ ?