นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แสดงความเป็นห่วงกรณีที่กลุ่ม กปปส. กับ กลุ่มนปช. ประกาศนัดชุมนุมและแข่งขันจำนวนมวลชนที่มาร่วมว่าใครได้มากน้อยกว่ากัน เพราะการเอาจำนวนมวลชนมาแข่งชนะแพ้ ไม่ได้ทำให้ปัญหาจบ ซึ่งหลายฝ่ายได้แสดงความเป็นห่วง แต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กลับไม่เป็นห่วง และไม่คิดจะป้องกันสถานการณ์บ้านเมือง แต่กลับไปยุยงให้ผู้สนับสนุนตัวเองมีความขุ่นข้องหมองใจ ไม่ยอม รับกระบวนการองค์กรอิสระ และถึงเวลาแล้วที่ผู้มีอำนาจจะต้องเปิดการเจรจาพูดคุยถึงปมความขัดแย้งให้ประชาชนทั้งประเทศรับรู้รับทราบ หากได้เริ่มต้นขยับแล้วแต่ไม่สำเร็จ อย่างน้อยก็ยังได้แสดงให้เห็นว่ามีความพยายามอย่างไร
“ผมเคยคุยกับคุณสุเทพ ว่าไม่เชื่อว่าการเอามวลชนมาวัดกันแล้วจบ หรือมีคดีอะไร แล้วจบ และถามว่าถ้าน.ส.ยิ่งลักษณ์ มาคุยกับคุณสุเทพ มีการถ่ายทอดสด คุณสุเทพ ก็บอกยินดีไม่มีปัญหา ถ้าไม่อยากจะปล่อยไปตามยะถากรรม แล้วเดินหน้าไปสู่สภาวะที่ขณะนี้คนทั้งประเทศเขากังวลกันว่าจะมีมวลชนใหญ่เข้ามา ในวันที่มีการตัดสินขององค์กรอิสระ ถ้าไม่อยากให้เกิดการเผชิญหน้า ไม่อยากให้เสี่ยงตรงนั้น คุณยิ่งลักษณ์ต้องขยับ สมัยที่มีการชุมนุมใหญ่ของเสื้อแดงปี 53 แล้วก็เกิดความสุ่มเสี่ยงมาก ผมก็ขยับก่อนสุดท้ายก็นำมาสู่การพูดคุยกันทางโทรทัศน์"
นายอภิสิทธิ์ เชื่อว่า สถานการณ์ขณะนี้ยังสามารถที่จะป้องกันไมให้เกิดเหตุการณ์ เมษาเดือดได้ เว้นแต่รัฐบาลต้องการจะให้เกิดขึ้น และอาจจะนำไปสู่ความเลวร้ายที่สุด แต่ถึงขั้นสงครามกลางเมืองหรือไม่ แต่คิดว่าเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงจะไม่ปล่อยให้เกิดขึ้น ซึ่งทุกคนมีหน้าที่ช่วยกันหาทางออก ส่วนตนหากจะต้องมีการพูดคุยกับน.ส.ยิ่งลักษณ์ และพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อย่างโปร่งใสก็พร้อมที่จะให้ความร่วมมือ
"ปัญหาของ พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่ที่เป็นตัวขับเคลื่อนหลายสิ่งหลายอย่าง แต่ ผมไม่ค่อยเชื่อว่าพ.ต.ท.ทักษิณ จะเปลี่ยนใจ มาถึงจุดนี้แล้ว เพราะว่าไม่มีอะไรจะต้องกังวลแม้สังคมจะให้โอกาส ถ้า พ.ต.ท.ทักษิณ ให้โอกาสประเทศไทย แต่ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ยังอยู่ที่เดิม แต่คนที่อยู่ที่นี่ไม่คิดถึงตัวเอง ครอบครัว บ้านเมือง หลับหูหลับตา เพื่อที่จะทำตามคำสั่งของคนพูดว่า ถ้าเขาไม่ได้สิ่งที่ต้องการ คนอื่นก็อย่างมีความสงบสุขอีก”นายอภิสิทธ์ กล่าว
**เชื่อ"แดง"ก่อเหตุรุนแรงหลังสงกรานต์
นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงภายหลังการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคว่า มีการพิจารณาเกี่ยวกับการแก้ระเบียบตามแนวทาง ที่มีการปรับโครงสร้างองค์กร การจัดผังเจ้าหน้าที่ ที่จะมีการแต่งตั้งเพิ่มเติมตามโครงสร้างใหม่ โดยมีมติเห็นชอบตามที่คณะทำงานเสนอมา และหารือถึงสถานการณ์ทางการเมือง ซี่งเห็นตรงกันว่า เดือนเมษายนนี้ จะเป็นเดือนสำคัญที่จะมีเหตุการณ์หลายอย่างทางการเมืองเกิดขึ้น ทั่งกรณีที่ป.ป.ช.จะชี้มูล การทุจริตจำนำข้าวต่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และการชี้สถานภาพของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่ศาลรัฐธรรมนูญ จะวินิจฉัยว่าพ้นสภาพหรือไม่
ทั้งนี้ พรรคมีความเป็นห่วงว่าจะเกิดความรุนแรงช่วงหลังสงกรานต์ เพราะอาจมีการปฏิเสธรับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ และ ป.ป.ช. หากชี้มูลเป็นโทษกับน.ส.ยิ่งลักษณ์ โดยจะมีขบวนการใช้มวลชนกดดันเพื่อไม่ให้น.ส.ยิ่งลักษณ์ รับโทษตามกฎหมาย จึงขอให้พรรคเพื่อไทย และน.ส.ยิ่งลักษณ์ อยู่ภายใต้กฎหมาย เช่นเดียวกับคนไทยทุกคน แต่น่ากังวลว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังไม่มีท่าทีดังกล่าว ทั้งนี้ ยืนยันว่า พรรคพร้อมลงสู่สนามเลือกตั้ง ที่ประชาชนให้การยอมรับ โดย ต้องเริ่มต้นจากการยอมรับกระบวนการยุติธรรม เดินหน้าปฏิรูปอย่างจริงจัง วางแผนประเทศไทย เพื่อให้หลุดพ้นจากวังวนแห่งความขัดแย้งอย่างชัดเจน แต่พรรคเพื่อไทย ก็ปฏิเสธข้อเสนอของพรรค มาอย่างต่อเนื่อง
นายชวนนท์ กล่าวว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ แสดงออกชัดเจนว่า จะไม่ยอมรับอำนาจศาล หากคำตัดสินไม่เป็นคุณ โดยย้ำว่า ต้องรักษาการในตำแหน่งนายกฯ เพราะระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ แต่เมื่อศาลจะวินิจฉัย กลับพูดว่า ไม่ได้รับความเป็นธรรม มีท่าทีปฏิเสธเงื่อนไขที่กำหนดในรัฐธรรมนูญ ถือเป็นพฤติกรรมสองมาตรฐานอย่างชัดแจ้ง และยังมีการใช้ความรุนแรงเหมือนเดิม และการที่คนเสื้อแดงจะมาไม่มาก ในวันที่ 5 เม.ย. ตามที่แกนนำประเมิน นั้นพรรคเห็นว่าน่าจะมาจาก 1. การขาดประเด็นที่ชัดเจนในการเคลื่อนไหว 2. มีการหักค่าหัวคิวค่าจ้างชุมนุมโดยแกนนำ ทำให้มีการต่อต้านจากบางพื้นที่ 3. การใช้มวลชนเสื้อแดงมักจบที่ความรุนแรงโดยแกนนำทิ้งมวลชน 4 . มวลชนต้องรับโทษขณะที่แกนนำเสวยสุข 5 . ช่วง สองปีที่ผ่านมา การทำงานพรรคเพื่อไทย ไม่ได้ตอบสนองการพัฒนาของรากหญ้า แต่ทำงานแบบทุนสามานย์ หากินกับนายทุน มีปัญหาโครงการจำนำข้าว ทำให้ชาวนาไม่ร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดงอีก
อย่างไรก็ตาม พรรคเพื่อไทย ไม่มีการทบทวนการทุจริต โดยเฉพาะโครงการจำนำข้าว นอกจากการใช้วิธีถ่วงเวลา และเชื่อว่า การที่นายกิตติรัตน์ ขอเลื่อนการให้ปากคำ เพราะต้องการถ่วงเวลา แต่ยุทธศาสตร์เช่นนี้ ไม่เป็นประโยชน์จะทำให้ประเทศหาทางออกไม่ได้ จึงขอเรียกร้องให้แสดงความจริงใจในการหาทางออกให้ประเทศ เพราะการเลือกตั้งเกิดขึ้นไม่ได้ เนื่องจากพรรคเพื่อไทย ยังไม่มีสำนึกปรับปรุงพฤติกรรม ทำให้คนไทยไม่ยอมรับการเลือกตั้ง
ดังนั้น เงื่อนไขที่จะปลดล็อก ความขัดแย้งจึงอยู่ที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่จะเปิดทางปฏิรูป และให้เกิดการเจรจาในการแก้ปัญหาประเทศต่อไป และเห็นว่าการที่ กปปส. มีการพูดถึง รัฏฐาธิปัตย์ เพราะน.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรม ไม่เดินหน้าปฏิรูปประเทศ ทำให้การเรียกร้องขยายวงออกไป จึงต้องเริ่มต้นจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ เพื่อให้เกิดการเจรจาก่อนเป็นอันดับแรก ด้วยการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ จึงจะเป็นคำตอบที่ยั่งยืน สำหรับประเทศ เพื่อไม่ให้เกิดความ
** "เต้น"อ้างต้องออกมาปกป้องปชต.
ด้ายนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการนปช. กล่าวว่า การชุมนุมของแต่ละกลุ่ม ที่เชิญชวนมวลชนของตัวเองมาร่วมแสดงพลังอีกครั้ง มีความชัดเจนแล้วว่า ทั้งสองฝ่ายรอการชุมนุมในวันที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสถานภาพของนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี จากกรณีโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี จากเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ไปเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี
ถ้าศาลรัฐธรรมนุญวิจินิจฉัยให้ นายกฯ และครม.พ้นจากตำแหน่ง นปช. ก็จะออกมาแสดงพลัง ทั้งนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกที่องค์กรอิสระมีส่วนร่วมในการกำหนดวันชุมนุมใหญ่ทางการเมือง โดยผู้ชุมนุมไม่ต้องรอฟังแกนนำ แต่ขอให้รอฟังศาลรัฐธรรมนูญ
อย่างไรก็ตาม ตนมองว่า กรณีดังกล่าว ไม่มีเหตุอะไรที่ศาลต้องมาวินิจฉัย จึงเห็นว่า การกระทำของศาลรัฐธรรมนูญ เป็นการรับลูก นายสุเทพ และจะมีส่วนร่วมในการสถาปนารัฏฐาธิปัตย์ ถือว่า ศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้ทำหน้าที่ขององค์กรอิสระ แต่จะเป็นสะพานเชื่อมให้นายสุเทพ เดินไปยังเป้าหมายสูงสุดทางการเมือง ขณะที่นายกฯ และครม. ชุดปัจจุบันได้พ้นจากตำแหน่งไปแล้ว ตั้งแต่วันประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเหมือนกับกรณีของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ที่พ้นจากตำแหน่ง ส.ส. และนายกฯ พร้อมกันอันเนื่องมาจากการยุบสภา ทำให้ศาลรัฐธรรมนูญ จำหน่ายคดีที่ นายอภิสิทธิ์ ถูกร้องจากกรณีถูกถอดยศ ร้อยตรี
นายณัฐวุฒิ กล่าวต่อว่า ในเมื่อบ้านเมืองมีแต่คนจะสุมไฟ ประชาชนก็มีหน้าที่ออกมาแสดงพลัง ปกป้องระบอบประชาธิปไตย และเราไม่มีความกังวลว่าจะเกิดความรุนแรง แม้ทั้งสองกลุ่มจะออกมาชุมนุมในวันเดียวกัน ทาง นปช. จะต้องออกมาประกาศให้ชัดว่า จะชุมนุมอยู่ในจุดหนึ่ง ส่วน กปปส.ก็อยู่อีกจุด เป็นการแสดงพลังโดยสงบ สันติ ปราศจากอาวุธ และ นปช.ไม่มีแนวคิดที่จะเคลื่อนขบวนเข้าไปใกล้การชุมนุมของ กปปส. อีกทั้งเราจะไม่ไปชุมนุมหน้าศาลรัฐธรรมนูญ ส่วนสถานที่ในการชุมนุมใหญ่ครั้งต่อไปนั้น เราได้ดูไว้หลายจุดทั้ง กทม.และปริมณฑล แต่ยังไม่มีการประกาศเป็นทางการ โดยขอรอศาลรัฐธรรมนูญ ประกาศวันวินิจฉัยก่อน แต่พื้นที่การชุมนุม จะอยู่ในบริเวณที่ประชาชนสามารถตรวจสอบกำลังได้ง่าย โดยเราพิจารณาในเรื่องความปลอดภัย และ เงื่อนไขการเผชิญหน้าด้วย
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะรับคำท้าของนายสุเทพ ในการวัดจำนวนมวลชน และต้องยุติการชุมนุมหากฝ่ายใดมีน้อยกว่า หรือไม่ นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ตนไม่มีความคิดว่า ตัวเองเป็นเจ้าของประเทศ ถึงขั้นเอาประเทศไปเดิมพัน กับตัวนายสุเทพได้ ใครจะมีมวลชนมาก หรือน้อยกว่า อย่างไรนั้น จะต้องยอมรับให้ตรงกันว่า ประเทศนี้ต้องปกครองโดยระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อย่างไรก็ตาม กลุ่ม นปช. ยินดีรับคำท้าเดิมพันขบวนการต่อสู้กัน ถ้ากลุ่มของนายสุเทพ มีคนมาน้อยกว่า ก็ควรต้องเก็บนกหวีด แล้วกลับบ้านไป และเลิกขัดขวางการเลือกตั้ง เพื่อให้บ้านเมืองเดินไปตามกติกา แต่ถ้า นปช. มาน้อยว่า ก็เป็นสิ่งที่เราต้องยอมรับ และยุติบทบาท แล้วไปทบทวนการเคลื่อนไหวที่ผ่านมา ส่วน กปปส.จะเดินหน้าอย่างไร ก็เป็นเรื่องของประเทศไทย ว่าจะยอมตกอยู่ใต้อำนาจของ นายสุเทพ หรือไม่ ซึ่งตนหวังว่านายสุเทพ จะไม่เปลี่ยนคำพูดภายหลังรุนแรง
** เด็จพี่ยันคนตระกูลชิน ไม่หนีออกนอกปท.
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี น.ส.มัลลิกา บุญมีตระกูล รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ภาพกระเป๋าเดินทางจำนวนมาก ที่สนามบินสุวรรณภูมิ พร้อมคาดการณ์ว่าจะเป็นกระเป๋าของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และของคนในตระกูลชินวัตร ที่จะเดินทางไปต่างประเทศ อีกทั้งมีสื่อนำไปรายงานว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ และคนในตระกูลชินวัตร เตรียมที่จะเดินทางออกนอกประเทศ เพื่อหนีสถานการณ์ทางการเมืองที่จะเกิดขึ้นใน
ช่วงนี้ว่าพรรคเพื่อไทยได้ตรวจสอบแล้ว ขอปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง น.ส.ยิ่งลักษณ์ และคนในตระกูลชินวัตร ไม่มีใครคิดหนีออกนอกประเทศ สิ่งที่ น.ส.มัลลิกา โพสต์เป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง หวังผลทางการเมืองเป็นใส่ร้ายป้ายสี น.ส.ยิ่งลักษณ์ สะท้อนให้เห็นธาตุแท้ของสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ที่พยายามบิดเบือนข้อเท็จจริง เพื่อหวังผลทางการเมืองและทำลายน.ส.ยิ่งลักษณ์ และคนตระกูลชินวัตร ตนมองว่าเป็นพฤติกรรมที่แสดงออกถึงความต่ำทรามไม่เคารพกฎหมาย และสิทธิเสรีภาพ ไม่ต่างจากกรณี ว.5 ของน.ส.ยิ่งลักษณ์ที่ถูกฟ้องไปแล้ว
นายพร้อมพงศ์ กล่าวอีกว่า ตนขอยืนยันอีกครั้งว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ และคนในตระกูลชินวัตร ไม่ได้เดินทางออกนอกประเทศ หรือคิดหนีแต่อย่างใดเพราะไม่ได้กระทำความผิด ทั้งน.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็พูดชัดเจนว่า ไม่คิดจะหนี จะอยู่เพื่อรักษาประชาธิปไตยจนนาทีสุดท้าย เรื่องนี้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และแกนนำพรรค รวมทั้งกรรมการบริหารพรรคต้องรับผิดชอบ ต่อการที่รองโฆษกพรรค ออกมาโพสต์ข้อความที่ไม่เป็นความจริง จนทำให้เกิดความสับสนต่อประชาชน
"นี่คือภาพลบของพรรคประชาธิปัตย์ที่พยายามปล่อยข่าวในลักษณะที่ไม่มีข้อเท็จจริง นายอภิสิทธิ์ ต้องลงโทษ น.ส.มัลลิกา ไม่เช่นนั้นจะถือว่ารู้เห็นหรือสมรู้ร่วมคิดกัน อย่าให้ชาวบ้านกล่าวหาว่า แก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน ทำการเมืองแบบไม่สร้างสรรค์ เพราะหากเป็นมาตรฐานของพรรคเพื่อไทย เราจะต้องมีมาตรการที่ชัดเจน และไม่ปล่อยให้เรื่องนี้เงียบ หรือไม่รับผิดชอบ"นายพร้อมพงศ์ กล่าว
ขณะที่ นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีเดียวกันว่า เป็นการฟังไม่ได้ศัพท์จับไปกระเดียด ไม่รับผิดชอบต่อสังคมทั้งที่กระเป๋าเดินทางดังกล่าว เป็นของพระเจ้าหลานเธอสิริวัณณวรีนารีรัตน์ ที่ทรงเดินทางไปร่วมงานแสดงแฟชั่นโชว์ ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ถือเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม ไม่มีมูลความจริง และชี้นำให้เกิดความเข้าใจผิด ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงพรรคประชาธิปัตย์ ต้องออกมาขอโทษสังคม รวมถึงเรียก น.ส.มัลลิกา ไปอบรมสั่งสอน อย่าปล่อยออกมาเพ่นพ่าน สร้างปัญหาให้สังคม โหกซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่ดูเงาหัวตัวเอง
“ผมเคยคุยกับคุณสุเทพ ว่าไม่เชื่อว่าการเอามวลชนมาวัดกันแล้วจบ หรือมีคดีอะไร แล้วจบ และถามว่าถ้าน.ส.ยิ่งลักษณ์ มาคุยกับคุณสุเทพ มีการถ่ายทอดสด คุณสุเทพ ก็บอกยินดีไม่มีปัญหา ถ้าไม่อยากจะปล่อยไปตามยะถากรรม แล้วเดินหน้าไปสู่สภาวะที่ขณะนี้คนทั้งประเทศเขากังวลกันว่าจะมีมวลชนใหญ่เข้ามา ในวันที่มีการตัดสินขององค์กรอิสระ ถ้าไม่อยากให้เกิดการเผชิญหน้า ไม่อยากให้เสี่ยงตรงนั้น คุณยิ่งลักษณ์ต้องขยับ สมัยที่มีการชุมนุมใหญ่ของเสื้อแดงปี 53 แล้วก็เกิดความสุ่มเสี่ยงมาก ผมก็ขยับก่อนสุดท้ายก็นำมาสู่การพูดคุยกันทางโทรทัศน์"
นายอภิสิทธิ์ เชื่อว่า สถานการณ์ขณะนี้ยังสามารถที่จะป้องกันไมให้เกิดเหตุการณ์ เมษาเดือดได้ เว้นแต่รัฐบาลต้องการจะให้เกิดขึ้น และอาจจะนำไปสู่ความเลวร้ายที่สุด แต่ถึงขั้นสงครามกลางเมืองหรือไม่ แต่คิดว่าเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงจะไม่ปล่อยให้เกิดขึ้น ซึ่งทุกคนมีหน้าที่ช่วยกันหาทางออก ส่วนตนหากจะต้องมีการพูดคุยกับน.ส.ยิ่งลักษณ์ และพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อย่างโปร่งใสก็พร้อมที่จะให้ความร่วมมือ
"ปัญหาของ พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่ที่เป็นตัวขับเคลื่อนหลายสิ่งหลายอย่าง แต่ ผมไม่ค่อยเชื่อว่าพ.ต.ท.ทักษิณ จะเปลี่ยนใจ มาถึงจุดนี้แล้ว เพราะว่าไม่มีอะไรจะต้องกังวลแม้สังคมจะให้โอกาส ถ้า พ.ต.ท.ทักษิณ ให้โอกาสประเทศไทย แต่ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ยังอยู่ที่เดิม แต่คนที่อยู่ที่นี่ไม่คิดถึงตัวเอง ครอบครัว บ้านเมือง หลับหูหลับตา เพื่อที่จะทำตามคำสั่งของคนพูดว่า ถ้าเขาไม่ได้สิ่งที่ต้องการ คนอื่นก็อย่างมีความสงบสุขอีก”นายอภิสิทธ์ กล่าว
**เชื่อ"แดง"ก่อเหตุรุนแรงหลังสงกรานต์
นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงภายหลังการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคว่า มีการพิจารณาเกี่ยวกับการแก้ระเบียบตามแนวทาง ที่มีการปรับโครงสร้างองค์กร การจัดผังเจ้าหน้าที่ ที่จะมีการแต่งตั้งเพิ่มเติมตามโครงสร้างใหม่ โดยมีมติเห็นชอบตามที่คณะทำงานเสนอมา และหารือถึงสถานการณ์ทางการเมือง ซี่งเห็นตรงกันว่า เดือนเมษายนนี้ จะเป็นเดือนสำคัญที่จะมีเหตุการณ์หลายอย่างทางการเมืองเกิดขึ้น ทั่งกรณีที่ป.ป.ช.จะชี้มูล การทุจริตจำนำข้าวต่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และการชี้สถานภาพของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่ศาลรัฐธรรมนูญ จะวินิจฉัยว่าพ้นสภาพหรือไม่
ทั้งนี้ พรรคมีความเป็นห่วงว่าจะเกิดความรุนแรงช่วงหลังสงกรานต์ เพราะอาจมีการปฏิเสธรับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ และ ป.ป.ช. หากชี้มูลเป็นโทษกับน.ส.ยิ่งลักษณ์ โดยจะมีขบวนการใช้มวลชนกดดันเพื่อไม่ให้น.ส.ยิ่งลักษณ์ รับโทษตามกฎหมาย จึงขอให้พรรคเพื่อไทย และน.ส.ยิ่งลักษณ์ อยู่ภายใต้กฎหมาย เช่นเดียวกับคนไทยทุกคน แต่น่ากังวลว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังไม่มีท่าทีดังกล่าว ทั้งนี้ ยืนยันว่า พรรคพร้อมลงสู่สนามเลือกตั้ง ที่ประชาชนให้การยอมรับ โดย ต้องเริ่มต้นจากการยอมรับกระบวนการยุติธรรม เดินหน้าปฏิรูปอย่างจริงจัง วางแผนประเทศไทย เพื่อให้หลุดพ้นจากวังวนแห่งความขัดแย้งอย่างชัดเจน แต่พรรคเพื่อไทย ก็ปฏิเสธข้อเสนอของพรรค มาอย่างต่อเนื่อง
นายชวนนท์ กล่าวว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ แสดงออกชัดเจนว่า จะไม่ยอมรับอำนาจศาล หากคำตัดสินไม่เป็นคุณ โดยย้ำว่า ต้องรักษาการในตำแหน่งนายกฯ เพราะระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ แต่เมื่อศาลจะวินิจฉัย กลับพูดว่า ไม่ได้รับความเป็นธรรม มีท่าทีปฏิเสธเงื่อนไขที่กำหนดในรัฐธรรมนูญ ถือเป็นพฤติกรรมสองมาตรฐานอย่างชัดแจ้ง และยังมีการใช้ความรุนแรงเหมือนเดิม และการที่คนเสื้อแดงจะมาไม่มาก ในวันที่ 5 เม.ย. ตามที่แกนนำประเมิน นั้นพรรคเห็นว่าน่าจะมาจาก 1. การขาดประเด็นที่ชัดเจนในการเคลื่อนไหว 2. มีการหักค่าหัวคิวค่าจ้างชุมนุมโดยแกนนำ ทำให้มีการต่อต้านจากบางพื้นที่ 3. การใช้มวลชนเสื้อแดงมักจบที่ความรุนแรงโดยแกนนำทิ้งมวลชน 4 . มวลชนต้องรับโทษขณะที่แกนนำเสวยสุข 5 . ช่วง สองปีที่ผ่านมา การทำงานพรรคเพื่อไทย ไม่ได้ตอบสนองการพัฒนาของรากหญ้า แต่ทำงานแบบทุนสามานย์ หากินกับนายทุน มีปัญหาโครงการจำนำข้าว ทำให้ชาวนาไม่ร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดงอีก
อย่างไรก็ตาม พรรคเพื่อไทย ไม่มีการทบทวนการทุจริต โดยเฉพาะโครงการจำนำข้าว นอกจากการใช้วิธีถ่วงเวลา และเชื่อว่า การที่นายกิตติรัตน์ ขอเลื่อนการให้ปากคำ เพราะต้องการถ่วงเวลา แต่ยุทธศาสตร์เช่นนี้ ไม่เป็นประโยชน์จะทำให้ประเทศหาทางออกไม่ได้ จึงขอเรียกร้องให้แสดงความจริงใจในการหาทางออกให้ประเทศ เพราะการเลือกตั้งเกิดขึ้นไม่ได้ เนื่องจากพรรคเพื่อไทย ยังไม่มีสำนึกปรับปรุงพฤติกรรม ทำให้คนไทยไม่ยอมรับการเลือกตั้ง
ดังนั้น เงื่อนไขที่จะปลดล็อก ความขัดแย้งจึงอยู่ที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่จะเปิดทางปฏิรูป และให้เกิดการเจรจาในการแก้ปัญหาประเทศต่อไป และเห็นว่าการที่ กปปส. มีการพูดถึง รัฏฐาธิปัตย์ เพราะน.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรม ไม่เดินหน้าปฏิรูปประเทศ ทำให้การเรียกร้องขยายวงออกไป จึงต้องเริ่มต้นจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ เพื่อให้เกิดการเจรจาก่อนเป็นอันดับแรก ด้วยการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ จึงจะเป็นคำตอบที่ยั่งยืน สำหรับประเทศ เพื่อไม่ให้เกิดความ
** "เต้น"อ้างต้องออกมาปกป้องปชต.
ด้ายนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการนปช. กล่าวว่า การชุมนุมของแต่ละกลุ่ม ที่เชิญชวนมวลชนของตัวเองมาร่วมแสดงพลังอีกครั้ง มีความชัดเจนแล้วว่า ทั้งสองฝ่ายรอการชุมนุมในวันที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสถานภาพของนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี จากกรณีโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี จากเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ไปเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี
ถ้าศาลรัฐธรรมนุญวิจินิจฉัยให้ นายกฯ และครม.พ้นจากตำแหน่ง นปช. ก็จะออกมาแสดงพลัง ทั้งนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกที่องค์กรอิสระมีส่วนร่วมในการกำหนดวันชุมนุมใหญ่ทางการเมือง โดยผู้ชุมนุมไม่ต้องรอฟังแกนนำ แต่ขอให้รอฟังศาลรัฐธรรมนูญ
อย่างไรก็ตาม ตนมองว่า กรณีดังกล่าว ไม่มีเหตุอะไรที่ศาลต้องมาวินิจฉัย จึงเห็นว่า การกระทำของศาลรัฐธรรมนูญ เป็นการรับลูก นายสุเทพ และจะมีส่วนร่วมในการสถาปนารัฏฐาธิปัตย์ ถือว่า ศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้ทำหน้าที่ขององค์กรอิสระ แต่จะเป็นสะพานเชื่อมให้นายสุเทพ เดินไปยังเป้าหมายสูงสุดทางการเมือง ขณะที่นายกฯ และครม. ชุดปัจจุบันได้พ้นจากตำแหน่งไปแล้ว ตั้งแต่วันประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเหมือนกับกรณีของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ที่พ้นจากตำแหน่ง ส.ส. และนายกฯ พร้อมกันอันเนื่องมาจากการยุบสภา ทำให้ศาลรัฐธรรมนูญ จำหน่ายคดีที่ นายอภิสิทธิ์ ถูกร้องจากกรณีถูกถอดยศ ร้อยตรี
นายณัฐวุฒิ กล่าวต่อว่า ในเมื่อบ้านเมืองมีแต่คนจะสุมไฟ ประชาชนก็มีหน้าที่ออกมาแสดงพลัง ปกป้องระบอบประชาธิปไตย และเราไม่มีความกังวลว่าจะเกิดความรุนแรง แม้ทั้งสองกลุ่มจะออกมาชุมนุมในวันเดียวกัน ทาง นปช. จะต้องออกมาประกาศให้ชัดว่า จะชุมนุมอยู่ในจุดหนึ่ง ส่วน กปปส.ก็อยู่อีกจุด เป็นการแสดงพลังโดยสงบ สันติ ปราศจากอาวุธ และ นปช.ไม่มีแนวคิดที่จะเคลื่อนขบวนเข้าไปใกล้การชุมนุมของ กปปส. อีกทั้งเราจะไม่ไปชุมนุมหน้าศาลรัฐธรรมนูญ ส่วนสถานที่ในการชุมนุมใหญ่ครั้งต่อไปนั้น เราได้ดูไว้หลายจุดทั้ง กทม.และปริมณฑล แต่ยังไม่มีการประกาศเป็นทางการ โดยขอรอศาลรัฐธรรมนูญ ประกาศวันวินิจฉัยก่อน แต่พื้นที่การชุมนุม จะอยู่ในบริเวณที่ประชาชนสามารถตรวจสอบกำลังได้ง่าย โดยเราพิจารณาในเรื่องความปลอดภัย และ เงื่อนไขการเผชิญหน้าด้วย
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะรับคำท้าของนายสุเทพ ในการวัดจำนวนมวลชน และต้องยุติการชุมนุมหากฝ่ายใดมีน้อยกว่า หรือไม่ นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ตนไม่มีความคิดว่า ตัวเองเป็นเจ้าของประเทศ ถึงขั้นเอาประเทศไปเดิมพัน กับตัวนายสุเทพได้ ใครจะมีมวลชนมาก หรือน้อยกว่า อย่างไรนั้น จะต้องยอมรับให้ตรงกันว่า ประเทศนี้ต้องปกครองโดยระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อย่างไรก็ตาม กลุ่ม นปช. ยินดีรับคำท้าเดิมพันขบวนการต่อสู้กัน ถ้ากลุ่มของนายสุเทพ มีคนมาน้อยกว่า ก็ควรต้องเก็บนกหวีด แล้วกลับบ้านไป และเลิกขัดขวางการเลือกตั้ง เพื่อให้บ้านเมืองเดินไปตามกติกา แต่ถ้า นปช. มาน้อยว่า ก็เป็นสิ่งที่เราต้องยอมรับ และยุติบทบาท แล้วไปทบทวนการเคลื่อนไหวที่ผ่านมา ส่วน กปปส.จะเดินหน้าอย่างไร ก็เป็นเรื่องของประเทศไทย ว่าจะยอมตกอยู่ใต้อำนาจของ นายสุเทพ หรือไม่ ซึ่งตนหวังว่านายสุเทพ จะไม่เปลี่ยนคำพูดภายหลังรุนแรง
** เด็จพี่ยันคนตระกูลชิน ไม่หนีออกนอกปท.
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี น.ส.มัลลิกา บุญมีตระกูล รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ภาพกระเป๋าเดินทางจำนวนมาก ที่สนามบินสุวรรณภูมิ พร้อมคาดการณ์ว่าจะเป็นกระเป๋าของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และของคนในตระกูลชินวัตร ที่จะเดินทางไปต่างประเทศ อีกทั้งมีสื่อนำไปรายงานว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ และคนในตระกูลชินวัตร เตรียมที่จะเดินทางออกนอกประเทศ เพื่อหนีสถานการณ์ทางการเมืองที่จะเกิดขึ้นใน
ช่วงนี้ว่าพรรคเพื่อไทยได้ตรวจสอบแล้ว ขอปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง น.ส.ยิ่งลักษณ์ และคนในตระกูลชินวัตร ไม่มีใครคิดหนีออกนอกประเทศ สิ่งที่ น.ส.มัลลิกา โพสต์เป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง หวังผลทางการเมืองเป็นใส่ร้ายป้ายสี น.ส.ยิ่งลักษณ์ สะท้อนให้เห็นธาตุแท้ของสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ที่พยายามบิดเบือนข้อเท็จจริง เพื่อหวังผลทางการเมืองและทำลายน.ส.ยิ่งลักษณ์ และคนตระกูลชินวัตร ตนมองว่าเป็นพฤติกรรมที่แสดงออกถึงความต่ำทรามไม่เคารพกฎหมาย และสิทธิเสรีภาพ ไม่ต่างจากกรณี ว.5 ของน.ส.ยิ่งลักษณ์ที่ถูกฟ้องไปแล้ว
นายพร้อมพงศ์ กล่าวอีกว่า ตนขอยืนยันอีกครั้งว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ และคนในตระกูลชินวัตร ไม่ได้เดินทางออกนอกประเทศ หรือคิดหนีแต่อย่างใดเพราะไม่ได้กระทำความผิด ทั้งน.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็พูดชัดเจนว่า ไม่คิดจะหนี จะอยู่เพื่อรักษาประชาธิปไตยจนนาทีสุดท้าย เรื่องนี้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และแกนนำพรรค รวมทั้งกรรมการบริหารพรรคต้องรับผิดชอบ ต่อการที่รองโฆษกพรรค ออกมาโพสต์ข้อความที่ไม่เป็นความจริง จนทำให้เกิดความสับสนต่อประชาชน
"นี่คือภาพลบของพรรคประชาธิปัตย์ที่พยายามปล่อยข่าวในลักษณะที่ไม่มีข้อเท็จจริง นายอภิสิทธิ์ ต้องลงโทษ น.ส.มัลลิกา ไม่เช่นนั้นจะถือว่ารู้เห็นหรือสมรู้ร่วมคิดกัน อย่าให้ชาวบ้านกล่าวหาว่า แก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน ทำการเมืองแบบไม่สร้างสรรค์ เพราะหากเป็นมาตรฐานของพรรคเพื่อไทย เราจะต้องมีมาตรการที่ชัดเจน และไม่ปล่อยให้เรื่องนี้เงียบ หรือไม่รับผิดชอบ"นายพร้อมพงศ์ กล่าว
ขณะที่ นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีเดียวกันว่า เป็นการฟังไม่ได้ศัพท์จับไปกระเดียด ไม่รับผิดชอบต่อสังคมทั้งที่กระเป๋าเดินทางดังกล่าว เป็นของพระเจ้าหลานเธอสิริวัณณวรีนารีรัตน์ ที่ทรงเดินทางไปร่วมงานแสดงแฟชั่นโชว์ ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ถือเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม ไม่มีมูลความจริง และชี้นำให้เกิดความเข้าใจผิด ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงพรรคประชาธิปัตย์ ต้องออกมาขอโทษสังคม รวมถึงเรียก น.ส.มัลลิกา ไปอบรมสั่งสอน อย่าปล่อยออกมาเพ่นพ่าน สร้างปัญหาให้สังคม โหกซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่ดูเงาหัวตัวเอง