ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ภายหลังผ่านพ้นไปถึง 4 ปี ในเหตุการณ์ “ชายชุดดำ” ใช้อาวุธสังหารทหารที่บริเวณ ถ.ราชดำเนิน เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 ซึ่งนำไปสู่การเสียชีวิตของ “พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม” และนายทหารอีกหลายคน ในที่สุดเมื่อวันที่ 11กันยายน 2557 ตำรวจนำโดย พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ว่าที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ก็สามารถจับกุมผู้ต้องหาที่ก่อเหตุได้
ทั้งนี้ ผู้ต้องหาที่จับได้มีทั้งหมด 5 คน ประกอบด้วย นายกิตติศักดิ์ หรือ อ้วน สุ่มศรี ชาวกรุงเทพฯ, นายปรีชา หรือ ไก่เตี้ย อยู่เย็น ชาวเชียงใหม่, นายรณฤทธิ์ หรือ นะ สุริชา ชาวอุบลราชธานี, นายชำนาญ หรือ เล็ก ภาคีฉาย ชาวกรุงเทพฯ และ นางปุณิกา หรือ อร ชาวกรุงเทพฯ ส่วนที่อยู่ระหว่างหลบหนี 2 คน คือ นายธนเดช เอกอภิวัชร์ หรือ ไก่รถตู้ ชาวกรุงเทพฯ และ นายวัฒนะโชค หรือ โบ้ จีนปุ้ย ชาวเพชรบูรณ์
พล.ต.อ.สมยศเปิดเผยว่า การจับกุมผู้ต้องหาครั้งนี้เป็นการทำงานร่วมกันระหว่างทหารกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยการรวบรวมพยานหลักฐานทำงานอย่างรอบคอบจนศาลอนุมัติหมายจับกุม ทำให้ เกิดความกระจ่างต่อสังคมว่าชายชุดดำที่เคยเป็นข่าวก่อนหน้านี้มีจริง และทุกคนก็ให้การรับสารภาพ หลังจากนี้จะดำเนินการสืบสวนสอบสวนว่ามีความเชื่อมโยงกับใครบ้าง มีใครร่วมลงมือ มีใครให้การสนับสนุน
ทั้งนี้ จากการสืบสวนทราบว่าผู้สั่งการคือนายจักรรินทร์ (เสธ.ไก่) เรืองศักดิ์วิชิต ซึ่งตอนนี้ถูกศาลจังหวัดทหารบกสระบุรี ออกหมายจับแล้วเลขที่ จ.8 ก./2557 เป็นบุคคลธรรมดา นอกจากนี้ผู้ต้องหากลุ่มนี้มีความเชื่อมโยงกับ น.ส.กริชสุดา คุณะแสน หรือ เปิ้ล นักกิจกรรมเสื้อแดง ที่ถูกศาลอนุมัติออกหมายจับไปก่อนหน้านี้ กรณีมีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดซื้อจัดหาอาวุธสงครามให้กับผู้ต้องหาคดีใช้อาวุธสงครามยิงใส่สถานที่ต่างๆ โดยพบหลักฐานสลิปการโอนเงินจำนวนมากให้กับผู้ต้องหาเหล่านี้ในบ้านของ น.ส.กริชสุดา ซึ่งไม่สามารถเปิดเผยตัวเลขได้ บอกได้แค่ว่าจำนวนมาก
“สำหรับสาเหตุนั้นเป็นลักษณะขบวนการมีหัวโจก มีอุดมการณ์ มีความเกลียดชัง มีค่าจ้างจึงได้ร่วมกันทำ”รองผบ.ตร. กล่าว
สำหรับเส้นทางการดำเนินการของกลุ่มคนร้ายมีทั้งหมด 8 คน รวมนายธัมมรัตน์(ดำ) สุ่มสี ที่เสียชีวิตไปก่อนหน้านี้ โดยทั้งหมดได้วางแผนและรับมอบอาวุธกันที่คอนโดบ้านริมน้ำ ถนนรามอินทรา 34 จากนั้นทั้งหมดได้เดินทางโดยใช้รถตู้ สีขาว เพื่อเดินทางไปที่เกิดเหตุ จากนั้นทั้งหมดได้ขับรถขึ้นทางด่วนรามอินทรา มาลงยมราช และจอดรถที่ซอยวัดมหรรพาราม ถ.ตะนาว เมื่อลงจากรถก็เดินไปตามถนนตะนาวมุ่งหน้าไปที่แยกคอกวัว ก่อนถึงแยกคอกวัวได้ผ่านจุดคัดกรองเจอการ์ดของกลุ่ม นปช.ซึ่งมีตำรวจร่วมด้วยแต่ตำรวจจุดนั้นไม่มีอาวุธ ตรงจุดนี้พบว่ากลุ่มคนร้าย 3 คนมีอาวุธไปด้วย การ์ดของกลุ่มนปช.เข้ามาตรวจถ่ายรูป จากนั้นได้ปล่อยเข้าไปด้วยรหัสผ่าน “พิราบขาว” ก่อนที่คนร้ายได้เดินไปตรงธนาคารออมสิน จากนั้นเริ่มใช้อาวุธยิง ระดมยิงใส่ชุดทหารที่อยู่ฝั่งตรงกันข้าม หลังจากยิงเสร็จได้ถอนย้อนกลับมาที่จุดรถตู้จอด ระหว่างทาง นายธัมมรัตน์ ซึ่งถือเครื่องยิงเอ็ม 79 มาด้วย ถูกตำรวจล็อกตัวไว้พร้อม ยึดเครื่องยิงเอ็ม 79 เอาไว้ได้ ส่วนคนร้ายกลุ่มผู้ชุมนุมใช้คนมากดดันแย่งตัวไปได้ จากนั้นคนร้ายทั้งหมดได้มารวมตัวกันอีกครั้งที่รถตู้จอดไว้ขับรถอ้อมไปถนนตะนาว เข้าถนนดินสอ มาสวนกันเจ้าหน้าที่ทหารที่ใช้รถฮัมวี จุดนั้นคนค่อนข้างเยอะก็เบียดกันคนร้ายได้ลดกระจกลงมา หนึ่งในผู้ต้องหาตะโกนด่าทหาร "ไปทำเหี้ยอะไรที่นี่ ทำไมไม่ไปปฏิบัติการที่ภาคใต้" คำพูดนี้ทำให้ทหารสามารถจำหน้าได้ 1 คน ที่อยู่ในรถ หลังจากนั้นกลุ่มคนร้ายก็แยกย้ายหลบหนีกันไปหลายปี ตำรวจทหารก็เฝ้าสืบสวนสอบสวนต่อเรื่องจนมีหลักฐานแน่ชัดขออนุมัติหมายศาลออกหมายจับจนจับกุมได้
จากการสอบสวนผู้ต้องหาทั้งหมดให้การรับสารภาพว่าได้ใช้อาวุธสงครามก่อเหตุที่บริเวณแยกคอกวัวจริง โดยนายกิตติศักดิ์ กล่าวว่า พวกตนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ต่างคนต่างมา มารู้จักกันเพราะมาร่วมทำงานนี้ โดยได้เจอกันที่สถานีวิทยุชุมนุม เอฟเอ็ม 91.75 ส่วนอาวุธก็ไม่เคยฝึกใช้มาก่อน วันเกิดเหตุก็ไปรับอาวุธที่บ้านริมน้ำ จากนั้นนายธนเดช หรือไก่ ก็ได้สอนการใช้อาวุธว่าทำแบบไหน แล้วก็ตามๆกันไป โดยไม่ได้เจาะจงว่าให้ยิงใครเป็นการเฉพาะ บอกให้ยิงในซอยนั้นก็ยิง ไม่ได้บอกให้ยิงทหารคนไหนเป็นพิเศษ
สำหรับวันเกิดเหตุโดยนายกิตติศักดิ์ใช้อาวุธปืนเอ็ม 79 และระเบิด เอ็มเค-2 นายธรรมรัตน์ ใช้อาวุธเอ็ม 79 นายธนเดช ใช้อาวุธปืน เอ็ม 203 นายวัฒนะโชค ใช้อาวุธปืนเอเค 47 นายปรีชาใช้อาวุธปืน เอเค 47 นายรณฤทธิ เฝ้ารถไม่มีอาวุธ นายชำนาญ ใช้อาวุธปืน เอ็ม 16 ส่วนนางปุณิกา ใช้ระเบิดเพลิง เอ็ม100
ด้านนางนิชา หิรัญบูรณะ ธุวธรรม ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ฝ่ายข้าราชการประจำ และภรรยา พล.อ.ร่มเกล้า โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว “Nicha Hiranburana Thuvatham” ว่า ขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ทั้งทหาร ตำรวจ ที่ติดตามคดีให้ หลังจากหมดหวังไปแล้ว ขอขอบคุณ คสช. และท่าน ผบ.ตร. พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ที่กรุณาติดตามคดี เพื่อเรียกความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมกลับคืนมา ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของกระบวนการปรองดองสมานฉันท์ ซึ่งข้ามผ่านไม่ได้ และเป็นมาตรฐานสากล ในเรื่องการค้นหาข้อเท็จจริงและกระบวนการยุติธรรม
“วันนี้อย่างน้อยก็ได้ข้อสรุปให้สังคมประจักษ์ว่ามีชายชุดดำที่ทำร้ายทหารและประชาชนผู้บริสุทธิ์จริง หวังว่า จะโยงถึงผู้สั่งการ ผู้เกี่ยวข้องกับคดีทั้ง 89 ศพ ในปี 53 และอยากฝากให้เร่งติดตามคดีผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ชุมนุมปี 56 - 57 ด้วย เพราะเหตุการณ์เพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน ยังมีความหวังที่จะได้ตัวผู้กระทำผิด อย่าปล่อยให้คดีล่วงเลยเหมือนปี 53”นางนิชากล่าว
คงไม่ต้องถามว่า ทำไมตำรวจถึงใช้เวลานานถึง 4 ปีจึงสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้
แต่ที่แน่ๆ คือการจับกุมครั้งนี้ได้ยืนยันว่า “ชายชุดดำ” ซึ่งเป็นกองกำลังของคนเสื้อแดงนั้นมีตัวตนอยู่จริง ส่วนจะโยงไปถึง “ผู้บงการตัวจริง” หรือไม่ คงต้องติดตามกันต่อไป