ปัญญาพลวัตร
โดย...พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต
เราไม่รู้อย่างแน่ชัดว่าอำนาจรัฐจะมีการพัฒนาไปอย่างไร รูปแบบใดบ้างของอำนาจที่จะถูกนำมาใช้ กลุ่มใดบ้างที่ถูกอำนาจรัฐคุกคามหรือยับยั้งจำกัดพื้นที่ทางความคิดและการกระทำ เรื่องใดบ้างที่เป็นเรื่องต้องห้าม แนวโน้มการขยายตัวของอำนาจรัฐจะเข้าไปสู่อาณาบริเวณของชีวิตส่วนตัวมากน้อยเพียงใด และที่สำคัญการใช้อำนาจรัฐในรูปแบบต่างมีเป้าประสงค์อะไรกันแน่
หลายครั้งอำนาจถูกใช้ในรูปแบบการห้ามปราม ยับยั้ง หรือ กดทับเรื่องราวและการกระทำของผู้คน ในประวัติศาสตร์ของมนุษย์การอ้างนามอันศักดิ์สิทธิ์หรือหลักการอันสูงส่งเพื่อใช้อำนาจอย่างป่าเถื่อนเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า เรื่องนี้ทำให้เรารู้ว่าแม้กระทั่งผู้ใช้อำนาจก็ยังหวั่นไหวกับความดุร้ายป่าเถื่อนของตนเอง จึงต้องอ้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์และหลักการมาปลอบใจตนเอง
สังคมมนุษย์มีทรราชมากมายนับไม่ถ้วน เมื่อทรราชเก่าถูกโค่นล้ม ทรราชใหม่ก็ปรากฏตัวขึ้นมา บ่อยครั้งที่ทรราชใหม่ปรากฏตัวขึ้นในนามวีรบุรุษโดยอ้างว่าเข้ามามีอำนาจเพื่อกอบกู้สถานการณ์เลวร้ายจากทรราชเดิมกระทำเอาไว้ แต่เมื่ออยู่ในกระแสของอำนาจนานเข้า อำนาจก็จะเข้าไปกระตุ้นให้ธรรมชาติที่แท้จริงของทรราชปรากฏออกมา
คุณสมบัติร่วมของทรราชทั่วไปคือความฉ้อฉล ดุร้าย และไร้ประสิทธิภาพในการปกครอง หลักการที่ทรราชใช้อ้างเพื่อสร้างความชอบธรรมในการกระทำมีความหลากหลาย บ้างอ้างว่าเป็นประสงค์ของพระเจ้า บ้างก็อ้างความเหนือกว่าของเชื้อชาติ บ้างก็อ้างความมั่นคงปรองดองของสังคม บ้างก็อ้างความเหลื่อมล้ำทางสังคม บ้างก็อ้างเสรีภาพและประชาธิปไตย และบ้างก็อ้างความเสมอภาค
ในช่วงเริ่มแรกผู้คนก็มักจะเชื่อและเคลิบเคลิ้มไปกับหลักการที่ทรราชอ้างและมักให้การสนับสนุนทรราชอย่างท่วมท้น ใครก็ตามที่เห็นต่างหรือกระทำไม่ตรงตามที่แนวทางทรราชขีดเอาไว้ ทรราชก็จะเข้าไปจัดการอย่างใดอย่างหนึ่งในนามของหลักการที่ทรราชได้ประกาศเอาไว้
สิ่งที่น่ารังเกียจมากประการหนึ่งคือทรราชที่ไม่สำแดงตน ปิดบังซ่อนเร้นภายใต้หน้ากากแห่งความปรารถนาดี ใช้เป้าหมายที่ดูประหนึ่งงดงามเป็นพลังอันทรงอำนาจเพื่อให้ผู้คนยอมรับนับถือแบบแผนความคิดและแนวการการปฏิบัติเพียงหนึ่งเดียว ไม่ยอมให้มีพื้นที่ของความแตกต่างหลงเหลืออยู่ หากความแตกต่างปรากฏขึ้นเพียงเล็กน้อยจะถูกประณามว่าสร้างความน่ารำคาญ และจักใช้ความโฉดเขลาอันดุร้ายเข้าไปจัดการทำลาย เยี่ยงนี้แล้วการเปลี่ยนแปลงและการสร้างนวัตกรรมย่อมมิอาจเกิดขึ้นได้
เมื่อทรราชใหม่มีอำนาจ พวกเขาพยายามสร้างความแตกต่างจากสิ่งที่ทรราชเดิมกระทำเอาไว้ สังคมจะได้ไม่ตระหนักถึงความเหมือน ทรราชพยามสร้างคำขวัญใหม่ๆขึ้นมาเพื่อแสดงว่ายุคของตนเองเป็นยุคใหม่ บ้างก็บอกว่าสิ่งที่ตนเองทำเป็นเรื่องคิดใหม่ทำใหม่ บ้างก็ว่าเป็นเรื่องของการสร้างประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ บ้างก็ว่าประชาชนต้องมาก่อน และบ้างก็ว่าจะต้องปฏิรูปประเทศ
เมื่อเวลาผ่านไปสิ่งที่ให้สัญญากับสิ่งที่ทำจริงค่อยๆเบี่ยงเบนออกจากกัน ทรราชมักจะอ้างการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์และความจำเป็นต้องปรับปรุงหลักการและแนวทางเดิม ผู้คนก็เริ่มคลางแคลงสงสัย และหากทรราชจมดิ่งลงไปในห้วงลึกของอำนาจจนถอนตัวไม่ขึ้น ทรราชจะไม่ยอมฟังเสียงใครและยิ่งใช้ความดุร้ายต่อผู้เห็นต่างมากยิ่งขึ้น และนั่นเป็นสัญญาณว่าจุดจบของทรราชใหม่กำลังเกิดขึ้น
จุดจบของทรราชไม่ว่าจะเก่าหรือไม่มักมีความคล้ายคลึงกันคือ หากไม่ถูกประชาชนรวมตัวขับไล่ ก็จะถูกกลุ่มอำนาจใหม่ขับไล่ และกลุ่มอำนาจใหม่ก็จะกลายมาเป็นทรราชที่ใหม่กว่า หากได้ปกครองประเทศ
สำหรับการปฏิรูปนั้นเกิดขึ้นมานับไม่ถ้วนในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ แต่ท่ามกลางการปฏิรูปนับอนันต์ที่ปรากฏขึ้นนั้น มีการปฏิรูปเพียงน้อยนิดเท่านั้นที่หลงเหลือความสำเร็จซึ่งสามารถอ้างได้ว่าเป็นมรดกอันทรงคุณค่าควรแก่การชื่นชมยกย่อง
สิ่งที่เห็นกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันคือโลกที่ปรากฏอยู่ในทุกวันนี้ยังเต็มไปด้วยผู้คนที่บูชาเสรีภาพหากแต่จิตใจคับแคบ บูชาสัญลักษณ์แห่งความรู้แต่ทอดทิ้งความรู้และไร้ความรอบรู้ บูชาจินตนาของความซื่อสัตย์ แต่กลับยอมรับความฉ้อฉลและใช้มันเป็นแนวทางการดำรงชีวิตประจำวัน
หากใช้การเกิดขึ้นของสถาบัน องค์การ กฎหมาย และนโยบายใหม่มาเป็นดัชนีวัดความสำเร็จของการปฏิรูป สิ่งที่ได้คือเครื่องมือในการความปลอบประโลมใจตนเองเท่านั้น สรรพสิ่งอันเป็นเครื่องหมายของความสำเร็จของการปฏิรูป นอกจากไม่อาจแก้ปัญหาอันเป็นแก่นแท้ของอดีตได้แล้ว ยังสร้างความผิดพลาดใหม่ที่จะเกิดขึ้นมาในอนาคตจำนวนมหาศาล
การสร้างสถาบันทางการเมืองและกฎหมายอันเป็นสัญลักษณ์ของประชาธิปไตยที่สมบูรณ์เป็นเรื่องที่กระทำได้ไม่ยากเย็นนัก แต่นั่นเป็นเพียงสิ่งที่สร้างความภาคภูมิใจแก่ผู้ที่มีส่วนร่วมในกระบวนการสร้างมันขึ้นมาเท่านั้นซึ่งปราศจากคุณค่าละความหมายใดแก่สังคม ความภาคภูมิใจของผู้มีอำนาจมีช่วงเวลาสั้นดั่งกระพริบตา แต่ความขมขื่นของผู้คนที่ต้องแบกรับปัญหาและความผิดพลาดที่ตามมามีช่วงเวลายาวนานยิ่งนัก
ประชาธิปไตยสมบูรณ์เป็นเรื่องน่าขบขัน มีสารัตถะใดบ้างที่บ่งบอกถึงถามสมบูรณ์ดังกล่าว แม้แต่นักปรัชญาการเมืองซึ่งถกเถียงกันมานานนับพันปีก็ยังหาข้อสรุปอันเป็นที่ยอมรับร่วมกันโดยปราศจากความขัดแย้งไม่ได้ การแสวงหาความสมบูรณ์ของประชาธิปไตยจึงเป็นเรื่องที่เพ้อฝันที่ไม่มีวันจะไปถึงได้
แม้แต่เรื่องการเลือกตั้งทั่วไปที่ดูเหมือนได้รับการบูชาว่าเป็นพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ของระบอบประชาธิปไตยก็หาได้มีความคงเส้นคงวาและสร้างผลลัพธ์ที่เหมือนกันแต่อย่างใด หากแต่มีความแปรผันมากมายที่เกิดขึ้น บางครั้งการเลือกตั้งอาจได้ผู้ปกครองที่ดี แต่หลายครั้งกลับได้ทรราชมาบริหารประเทศ ประวัติศาสตร์ได้บอกให้เราทราบว่าการได้อำนาจมาด้วยการเลือกตั้งนำไปสู่การสร้างทรราชและระบอบทรราชไม่น้อยไปกว่าการได้มาของอำนาจโดยวิธีการอื่นๆ แม้แต่น้อย
การปฏิรูปการเมืองนั้นต้องเปิดทางให้ผู้มีความสามารถและมีสำนึกในพันธกิจต่อชาติได้มีโอกาสเข้าไปบริหารประเทศ ลัทธิพวกพ้องและลัทธิเครือญาติจะต้องได้รับการขจัดออกไป ขณะที่เส้นทางของผู้ไร้ความสามารถและฉ้อฉลจะต้องถูกปิดตายไม่คนผู้นั้นมีชาติตระกูลสูงส่ง ร่ำรวย คุมกำลังอาวุธ หรือได้รับ คะแนนเสียงท่วมท้นเพียงใดก็ตาม
การปฏิรูปเพื่อเปลี่ยนแปลงหรือสร้างสถาบันการเมืองและกฎหมายใหม่ขึ้นมา แม้นักปฏิรูปจะศึกษาจากบทเรียนในอดีตและเปรียบเทียบกับสังคมอื่นๆ แต่ก็ไม่มีหลักประกันใดว่าจะสามารถแก้ปัญหาที่สุมทับกันมาอย่างยาวนานได้และสร้างผลลัพธ์ดุจเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นในสังคมอื่นๆ
สิ่งที่พอจะประคับประคองมิให้ผลที่ตามมามีความเลวร้ายมากจนเกินไปเห็นจะได้แก่การคิดไตร่ตรองอย่างละเอียดรอบคอบในทุกแง่มุม โดยนำแนวคิดและข้อเท็จจริงในหลายหลายสาขาวิชาทั้งสังคมวิทยา รัฐศาสตร์ จิตวิทยา และเศรษฐศาสตร์เป็นฐานสำคัญในการสืบสวนตรวจสอบ และลดอัตราของความเห็นอันเลื่อนลอย ลดความเชื่ออันงมงาย และความชอบตามอารมณ์ลงไปให้เหลือน้อยที่สุด
โดย...พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต
เราไม่รู้อย่างแน่ชัดว่าอำนาจรัฐจะมีการพัฒนาไปอย่างไร รูปแบบใดบ้างของอำนาจที่จะถูกนำมาใช้ กลุ่มใดบ้างที่ถูกอำนาจรัฐคุกคามหรือยับยั้งจำกัดพื้นที่ทางความคิดและการกระทำ เรื่องใดบ้างที่เป็นเรื่องต้องห้าม แนวโน้มการขยายตัวของอำนาจรัฐจะเข้าไปสู่อาณาบริเวณของชีวิตส่วนตัวมากน้อยเพียงใด และที่สำคัญการใช้อำนาจรัฐในรูปแบบต่างมีเป้าประสงค์อะไรกันแน่
หลายครั้งอำนาจถูกใช้ในรูปแบบการห้ามปราม ยับยั้ง หรือ กดทับเรื่องราวและการกระทำของผู้คน ในประวัติศาสตร์ของมนุษย์การอ้างนามอันศักดิ์สิทธิ์หรือหลักการอันสูงส่งเพื่อใช้อำนาจอย่างป่าเถื่อนเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า เรื่องนี้ทำให้เรารู้ว่าแม้กระทั่งผู้ใช้อำนาจก็ยังหวั่นไหวกับความดุร้ายป่าเถื่อนของตนเอง จึงต้องอ้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์และหลักการมาปลอบใจตนเอง
สังคมมนุษย์มีทรราชมากมายนับไม่ถ้วน เมื่อทรราชเก่าถูกโค่นล้ม ทรราชใหม่ก็ปรากฏตัวขึ้นมา บ่อยครั้งที่ทรราชใหม่ปรากฏตัวขึ้นในนามวีรบุรุษโดยอ้างว่าเข้ามามีอำนาจเพื่อกอบกู้สถานการณ์เลวร้ายจากทรราชเดิมกระทำเอาไว้ แต่เมื่ออยู่ในกระแสของอำนาจนานเข้า อำนาจก็จะเข้าไปกระตุ้นให้ธรรมชาติที่แท้จริงของทรราชปรากฏออกมา
คุณสมบัติร่วมของทรราชทั่วไปคือความฉ้อฉล ดุร้าย และไร้ประสิทธิภาพในการปกครอง หลักการที่ทรราชใช้อ้างเพื่อสร้างความชอบธรรมในการกระทำมีความหลากหลาย บ้างอ้างว่าเป็นประสงค์ของพระเจ้า บ้างก็อ้างความเหนือกว่าของเชื้อชาติ บ้างก็อ้างความมั่นคงปรองดองของสังคม บ้างก็อ้างความเหลื่อมล้ำทางสังคม บ้างก็อ้างเสรีภาพและประชาธิปไตย และบ้างก็อ้างความเสมอภาค
ในช่วงเริ่มแรกผู้คนก็มักจะเชื่อและเคลิบเคลิ้มไปกับหลักการที่ทรราชอ้างและมักให้การสนับสนุนทรราชอย่างท่วมท้น ใครก็ตามที่เห็นต่างหรือกระทำไม่ตรงตามที่แนวทางทรราชขีดเอาไว้ ทรราชก็จะเข้าไปจัดการอย่างใดอย่างหนึ่งในนามของหลักการที่ทรราชได้ประกาศเอาไว้
สิ่งที่น่ารังเกียจมากประการหนึ่งคือทรราชที่ไม่สำแดงตน ปิดบังซ่อนเร้นภายใต้หน้ากากแห่งความปรารถนาดี ใช้เป้าหมายที่ดูประหนึ่งงดงามเป็นพลังอันทรงอำนาจเพื่อให้ผู้คนยอมรับนับถือแบบแผนความคิดและแนวการการปฏิบัติเพียงหนึ่งเดียว ไม่ยอมให้มีพื้นที่ของความแตกต่างหลงเหลืออยู่ หากความแตกต่างปรากฏขึ้นเพียงเล็กน้อยจะถูกประณามว่าสร้างความน่ารำคาญ และจักใช้ความโฉดเขลาอันดุร้ายเข้าไปจัดการทำลาย เยี่ยงนี้แล้วการเปลี่ยนแปลงและการสร้างนวัตกรรมย่อมมิอาจเกิดขึ้นได้
เมื่อทรราชใหม่มีอำนาจ พวกเขาพยายามสร้างความแตกต่างจากสิ่งที่ทรราชเดิมกระทำเอาไว้ สังคมจะได้ไม่ตระหนักถึงความเหมือน ทรราชพยามสร้างคำขวัญใหม่ๆขึ้นมาเพื่อแสดงว่ายุคของตนเองเป็นยุคใหม่ บ้างก็บอกว่าสิ่งที่ตนเองทำเป็นเรื่องคิดใหม่ทำใหม่ บ้างก็ว่าเป็นเรื่องของการสร้างประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ บ้างก็ว่าประชาชนต้องมาก่อน และบ้างก็ว่าจะต้องปฏิรูปประเทศ
เมื่อเวลาผ่านไปสิ่งที่ให้สัญญากับสิ่งที่ทำจริงค่อยๆเบี่ยงเบนออกจากกัน ทรราชมักจะอ้างการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์และความจำเป็นต้องปรับปรุงหลักการและแนวทางเดิม ผู้คนก็เริ่มคลางแคลงสงสัย และหากทรราชจมดิ่งลงไปในห้วงลึกของอำนาจจนถอนตัวไม่ขึ้น ทรราชจะไม่ยอมฟังเสียงใครและยิ่งใช้ความดุร้ายต่อผู้เห็นต่างมากยิ่งขึ้น และนั่นเป็นสัญญาณว่าจุดจบของทรราชใหม่กำลังเกิดขึ้น
จุดจบของทรราชไม่ว่าจะเก่าหรือไม่มักมีความคล้ายคลึงกันคือ หากไม่ถูกประชาชนรวมตัวขับไล่ ก็จะถูกกลุ่มอำนาจใหม่ขับไล่ และกลุ่มอำนาจใหม่ก็จะกลายมาเป็นทรราชที่ใหม่กว่า หากได้ปกครองประเทศ
สำหรับการปฏิรูปนั้นเกิดขึ้นมานับไม่ถ้วนในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ แต่ท่ามกลางการปฏิรูปนับอนันต์ที่ปรากฏขึ้นนั้น มีการปฏิรูปเพียงน้อยนิดเท่านั้นที่หลงเหลือความสำเร็จซึ่งสามารถอ้างได้ว่าเป็นมรดกอันทรงคุณค่าควรแก่การชื่นชมยกย่อง
สิ่งที่เห็นกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันคือโลกที่ปรากฏอยู่ในทุกวันนี้ยังเต็มไปด้วยผู้คนที่บูชาเสรีภาพหากแต่จิตใจคับแคบ บูชาสัญลักษณ์แห่งความรู้แต่ทอดทิ้งความรู้และไร้ความรอบรู้ บูชาจินตนาของความซื่อสัตย์ แต่กลับยอมรับความฉ้อฉลและใช้มันเป็นแนวทางการดำรงชีวิตประจำวัน
หากใช้การเกิดขึ้นของสถาบัน องค์การ กฎหมาย และนโยบายใหม่มาเป็นดัชนีวัดความสำเร็จของการปฏิรูป สิ่งที่ได้คือเครื่องมือในการความปลอบประโลมใจตนเองเท่านั้น สรรพสิ่งอันเป็นเครื่องหมายของความสำเร็จของการปฏิรูป นอกจากไม่อาจแก้ปัญหาอันเป็นแก่นแท้ของอดีตได้แล้ว ยังสร้างความผิดพลาดใหม่ที่จะเกิดขึ้นมาในอนาคตจำนวนมหาศาล
การสร้างสถาบันทางการเมืองและกฎหมายอันเป็นสัญลักษณ์ของประชาธิปไตยที่สมบูรณ์เป็นเรื่องที่กระทำได้ไม่ยากเย็นนัก แต่นั่นเป็นเพียงสิ่งที่สร้างความภาคภูมิใจแก่ผู้ที่มีส่วนร่วมในกระบวนการสร้างมันขึ้นมาเท่านั้นซึ่งปราศจากคุณค่าละความหมายใดแก่สังคม ความภาคภูมิใจของผู้มีอำนาจมีช่วงเวลาสั้นดั่งกระพริบตา แต่ความขมขื่นของผู้คนที่ต้องแบกรับปัญหาและความผิดพลาดที่ตามมามีช่วงเวลายาวนานยิ่งนัก
ประชาธิปไตยสมบูรณ์เป็นเรื่องน่าขบขัน มีสารัตถะใดบ้างที่บ่งบอกถึงถามสมบูรณ์ดังกล่าว แม้แต่นักปรัชญาการเมืองซึ่งถกเถียงกันมานานนับพันปีก็ยังหาข้อสรุปอันเป็นที่ยอมรับร่วมกันโดยปราศจากความขัดแย้งไม่ได้ การแสวงหาความสมบูรณ์ของประชาธิปไตยจึงเป็นเรื่องที่เพ้อฝันที่ไม่มีวันจะไปถึงได้
แม้แต่เรื่องการเลือกตั้งทั่วไปที่ดูเหมือนได้รับการบูชาว่าเป็นพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ของระบอบประชาธิปไตยก็หาได้มีความคงเส้นคงวาและสร้างผลลัพธ์ที่เหมือนกันแต่อย่างใด หากแต่มีความแปรผันมากมายที่เกิดขึ้น บางครั้งการเลือกตั้งอาจได้ผู้ปกครองที่ดี แต่หลายครั้งกลับได้ทรราชมาบริหารประเทศ ประวัติศาสตร์ได้บอกให้เราทราบว่าการได้อำนาจมาด้วยการเลือกตั้งนำไปสู่การสร้างทรราชและระบอบทรราชไม่น้อยไปกว่าการได้มาของอำนาจโดยวิธีการอื่นๆ แม้แต่น้อย
การปฏิรูปการเมืองนั้นต้องเปิดทางให้ผู้มีความสามารถและมีสำนึกในพันธกิจต่อชาติได้มีโอกาสเข้าไปบริหารประเทศ ลัทธิพวกพ้องและลัทธิเครือญาติจะต้องได้รับการขจัดออกไป ขณะที่เส้นทางของผู้ไร้ความสามารถและฉ้อฉลจะต้องถูกปิดตายไม่คนผู้นั้นมีชาติตระกูลสูงส่ง ร่ำรวย คุมกำลังอาวุธ หรือได้รับ คะแนนเสียงท่วมท้นเพียงใดก็ตาม
การปฏิรูปเพื่อเปลี่ยนแปลงหรือสร้างสถาบันการเมืองและกฎหมายใหม่ขึ้นมา แม้นักปฏิรูปจะศึกษาจากบทเรียนในอดีตและเปรียบเทียบกับสังคมอื่นๆ แต่ก็ไม่มีหลักประกันใดว่าจะสามารถแก้ปัญหาที่สุมทับกันมาอย่างยาวนานได้และสร้างผลลัพธ์ดุจเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นในสังคมอื่นๆ
สิ่งที่พอจะประคับประคองมิให้ผลที่ตามมามีความเลวร้ายมากจนเกินไปเห็นจะได้แก่การคิดไตร่ตรองอย่างละเอียดรอบคอบในทุกแง่มุม โดยนำแนวคิดและข้อเท็จจริงในหลายหลายสาขาวิชาทั้งสังคมวิทยา รัฐศาสตร์ จิตวิทยา และเศรษฐศาสตร์เป็นฐานสำคัญในการสืบสวนตรวจสอบ และลดอัตราของความเห็นอันเลื่อนลอย ลดความเชื่ออันงมงาย และความชอบตามอารมณ์ลงไปให้เหลือน้อยที่สุด