ผ่าประเด็นร้อน
ถ้าจะเรียกว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นบุรุษที่ทรงอำนาจมากที่สุดในประเทศนี้ก็คงไม่ผิดไปจากความเป็นจริงแต่อย่างใด เพราะแค่เป็นหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติเพียงตำแหน่งเดียว ถือว่า “ล้นฟ้า” แล้ว เพราะสามารถใช้อำนาจได้ทั้ง บริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ พร้อมสรรพ แต่นี่ยังดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ที่บริหารผ่านกลไกรัฐทั่วประเทศโดยตรง และยังไม่นับในช่วงเวลาอีกเดือนเศษก่อนสิ้นกันยายนที่เขายังนั่งเก้าอี้ผู้บัญชาการทหารบก ทุกอย่างถือว่า “รวมศูนย์อย่างเบ็ดเสร็จ” ชนิดที่ในรอบหลายสิบปีมานี้ไม่มีใครมีอำนาจแบบนี้อีกแล้ว
อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมาในทางส่วนตัว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ได้เคยย้ำเอาไว้แล้วว่า “ยิ่งมีอำนาจมากก็ยิ่งต้องทำตัวให้เล็กลง” ความหมายก็คือ พยายามใช้อำนาจเท่าที่จำเป็น และจำกัดที่สุด โดยให้ทุกอย่างเป็นไปตามกลไกปกติ ซึ่งอาจเป็นคำพูดเพื่อลดความหวาดระแวง หรือป้องกันปัญหาแทรกซ้อนตามมาก็เป็นได้ แต่ถึงอย่างไรเขาก็ยังกุมอำนาจอย่างเต็มที่นั่นแหละ
อาจเป็นเพราะสถานการณ์บังคับ รวมทั้งสไตล์การบริหารแบบทหารที่ต้องใช้อำนาจเด็ดขาดรวดเร็วไม่ต้องเสียเวลาอภิปรายถกเถียงกันให้เยิ่นเย้อ ฟันโชะๆ ไปเลย มันก็อาจใช้ได้ผลในบางกรณี และในบางหน่วยงาน
สำหรับการบริหารบ้านเมือง อาจมีความแปลกแยกออกไป เพราะมีปัจจัยแวดล้อมมากมาย ทั้งควบคุมได้และคุมไม่ได้ บางครั้งต้องใช้ทั้งกฎหมายและการปกครองเข้ามา อย่างไรก็ดีนั่นเป็นหลักการทั่วไป ที่พูดกันไปตามน้ำเรื่อยเปื่อย แต่ถึงอย่างไรการเป็นผู้นำ หากจำกัดความเอาแค่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีก็ถือว่าเป็นเรื่องยาก เพราะมีน้อยคนนักที่ประสบความสำเร็จ สามารถสร้างความพึงพอใจและสร้างประโยชน์ให้กับคนส่วนใหญ่ ผู้นำส่วนมากล้วนถูกตำหนิติเตียน ถูกขับไล่ ถูกกล่าวหาเป็นทรราชย์ มีน้อยกว่าน้อยจริงๆที่ได้รับการสรรเสริญยกย่อง
ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผ่านมาสามเดือน เริ่มจากหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และก้าวสู่เดือนที่สี่สำหรับการนั่งควบเก้าอี้นายกรัฐมนตรีคนที่ 29 ยังไม่รู้อนาคตที่แท้จริงว่าจะลงเอยแบบไหน แต่ที่ผ่านมาก็ถือว่า “สอบผ่าน” ชาวบ้านให้การสนับสนุนและไว้วางใจอย่างท่วมท้นได้คะแนนเกือบเต็ม แม้ว่าในช่วงเดือนที่สามเส้นกราฟที่ไต่ขึ้นสูงอยู่นั้น “เริ่มช้าลง” บ้างแล้วก็ตาม เอาเป็นว่ายังเป็นบวกก็แล้วกัน
แต่ในสถานการณ์นับจากนี้ไปก้าวสู่เดือนที่ 4 ที่ปัญหาทุกอย่างต้องพูดความจริง หมดเวลาฮันนีมูนกันแล้ว หลายอย่างที่หมักหมมมานานต้องได้รับการแก้ไข รวมทั้งปัญหาใหม่ที่สุมเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเหล่านี้ต้องใช้ฝีมือในการแก้ปัญหาอย่างแน่นอน
ที่เห็นชัดเจนที่ต้องแก้ปัญหาให้ผ่อนคลายลงไปให้ได้ก็คือ เรื่องปากท้อง เกี่ยวกับค่าครองชีพ อันเกี่ยวเนื่องจากสินค้าราคาแพง ชักหน้าไม่ถึงหลังเป็นหนี้สินล้นพ้นตัว และที่เห็นปัญหาชัดเจนในเวลานี้ก็คือ ราคาสินค้าการเกษตรทุกรายการราคาตกต่ำเกือบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นรายการหลักอย่าง ยางพาราที่ถือว่ามีราคาตกต่ำที่สุดในรอบ 5 ปี และยังไม่มีแนวโน้มจะดีขึ้นในระยะอันใกล้นี้ เนื่องจากกำลังเข้าสู่ระยะเปิดกรีดผลผลิตจะยิ่งออกมามาก ล่าสุดเกษตกรทั่วประเทศต้องออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องให้ คสช.และรัฐบาลเข้ามาแก้ปัญหาโดยด่วน ปัญหาเรื่องราคาข้าว จากการเปิดเผยของเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) อนันต์ ลิลา ก็ยืนยันข้อมูลดังกล่าว
สอดคล้องกับข้อมูลของสภาอุตสาหกรรม และสำนักพยากรณ์ทางเศรษฐกิจของสถาบันการเงินและหอการค้า ที่ระบุในทำนองเดียวกันในเรื่องตัวเลขทางด้านเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมายังไม่กระเตื้องเท่าที่ควร นอกจากราคาสินค้าเกษตรมีปัญหาแล้ว เรื่องการส่งออกและการท่องเที่ยวที่เป็นปัจจัยในการดึงเศรษฐกิจที่สำคัญก็ยังไม่ขยายตัวมากนัก ที่สำคัญตัวเลขที่น่าตกใจก็คือ “ตัวเลขการว่างงาน” มีแนวโน้มสูงขึ้น
นี่คือความจริง และงานหินที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะต้องเร่งแก้ปัญหาให้บรรเทาโดยเร็วที่สุด เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นให้มากกว่าเดิม และน่าจับตาก็คือ เขาจะสามารถแก้ปัญหาแบบ “บูรณาการ” อย่างพูดได้จริงหรือเปล่า ขณะเดียวกัน ด้วยอำนาจที่มีมืออยู่ในมืออย่างรวมศูนย์ก็อาจเป็นโอกาสดีที่การแก้ปัญหาทำได้รวดเร็ว เพียงแต่ว่าจะรู้และแก้ไขได้ตรงจุดหรือเปล่าเท่านั้นเอง เพราะอย่างที่บอกการมีอำนาจเบ็ดเสร็จ แต่ผลที่ออกมากลับไม่คุ้มค่า ไม่สำเร็จก็น่าเป็นห่วง คราวนี้จะโทษใครก็ไม่ได้แรงกดดันก็จะสะท้อนกลับมาอย่างมหาศาล
ที่ผ่านมาก็มีตัวอย่างให้เห็นอยู่แล้วในรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่มีองค์ประกอบทุกอย่างครบถ้วน แต่ก็ล้มเหลวในการแก้ปัญหาให้กับชาวบ้าน จึงนำไปสู่ความถดถอย ถูกต่อต้านจนบริหารไม่ได้
ดังนั้น อยากให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประสบความสำเร็จ แต่ความสำเร็จก็ต้องเกิดจากการบริหารที่เก่ง และใช้คนที่มีความรู้ความสามารถ ใช้มืออาชีพ มากกว่า “พี่ๆ น้องๆ” โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจ ปากท้อง อย่าประมาทเป็นอันขาด!!
