ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -แผนปฏิรูปการเลือกตั้งตามโจทย์ที่คณะทำงานด้านการปฏิรูปของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)ให้มาเริ่มเป็นรูปเป็นร่างออกมาแล้ว เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ประชุมหาข้อสรุปร่วมกับผู้บริหารสำนักงานเพื่อพิจารณาแก้ไขปัญหาและข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 7 ก.ค.
นายภุชงค์ นุตราวงศ์ เลขาธิการ กกต.แถลงถึงผลการประชุมในวันดังกล่าวว่า ประเด็นที่มีการเสนอเป็นการให้ข้อมูลด้านข้อดีข้อเสียและข้อเสนอที่ควรจะเป็นในกรณีของการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(ส.ส.)นั้น ยังคงให้มี ส.ส.มาจากระบบแบ่งเขตเลือกตั้ง และระบบบัญชีรายชื่อ แต่เห็นว่าเพื่อแก้ไขปัญหาการทุจริตเลือกตั้งและอิทธิพลในการเลือกตั้ง ระบบแบ่งเขตควรเปลี่ยนจากเขตเดียวเบอร์เดียวเป็นแบบเขตใหญ่ ส่วน ส.ส. บัญชีรายชื่อให้มีที่มาจากกลุ่มสาขาอาชีพที่หลากหลาย โดยคำนึงถึงเพศ และภูมิภาคเป็นหลัก ซึ่ง ส.ส.ทั้งสองระบบควรมีจำนวนที่ใกล้เคียงกัน
ส่วน ส.ว.มีความจำเป็นที่ต้องคงไว้ โดยได้เสนอจุดเด่นจุดด้อยว่าถ้าจะให้ ส.ว.มาจากกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลาย โดยคำนึงถึงเรื่องของความสามารถมากกว่าการศึกษา การจะให้มี ส.ว.ที่เป็นปราชญ์ชาวบ้านที่ไม่ได้จบปริญญาตรี ก็ยากที่จะได้มาจากการเลือกตั้ง จึงน่าจะได้รับการพิจารณาในรูปของการเป็น ส.ว.สรรหามากกว่า
นอกจากนี้ มีการเสนอให้แก้ไขคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้ที่จะลงสมัครรับเลือกตั้ง
โดยเฉพาะประเด็นที่มีการถกเถียงกันมากว่า ผู้สมัคร ส.ส.จะต้องสังกัดพรรคการเมืองหรือไม่นั้น มีข้อเสนอว่าแม้ประโยชน์ของการไม่สังกัดจะมีอยู่ส่วนหนึ่ง แต่การสังกัดพรรคจะมีผลในเรื่องของการพัฒนาและสนับสนุนงานของพรรค ซึ่งพรรคควรมีการวางกรอบในการควบคุม ส.ส.ของพรรคโดยไม่ให้ ส.ส.ของพรรคต้องดำเนินการตามคำสั่งของพรรคการเมืองเสมอไปเหมือนที่ผ่านมา และการจะลงสมัครรับเลือกตั้งก็ควรกำหนดให้ต้องสังกัดพรรคมาไม่น้อย 1 ปี
ส่วนวาระการดำรงตำแหน่ง ส.ส.ควรกำหนดให้มีวาระ 4 ปีตามเดิม แต่ต้องไม่ดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกิน 2 วาระ หรือ 8 ปี
เพื่อแก้ไขปัญหาสภาผัวเมีย ควรกำหนดห้ามมิให้บุพการี บุตร บุตรบุญธรรม คู่สมรสตามกฎหมาย หรืออดีตคู่สมรส ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. หรือ ส.ว.ในคราววาระเดียวกัน
นอกจากนั้น ยังเห็นควรให้กำหนดเพิ่มในลักษณะต้องห้ามของผู้ที่จะลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ว่า ต้องไม่เป็นผู้ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีที่เกี่ยวกับการทุจริตการเลือกตั้ง คดียาเสพติด และคดีหมิ่นสถาบันเบื้องสูง
ขณะที่พรรคการเมือง ควรมีการกำหนดให้การตั้งพรรคทำได้ยากขึ้น แม้จะมีผู้ก่อตั้ง 15 คน แต่จะเป็นพรรคการเมืองได้ต้องหาสมาชิกให้ได้ครบ 5 พันคน และตั้งสาขาพรรคใน 4 ภาคให้แล้วเสร็จก่อน
เพื่อให้การเลือกตั้งเกิดความสุจริตเป็นธรรม จะเสนอให้มีการพิจาณาถึงอำนาจ กกต.ในการจัดการเลือกตั้งว่า หากเกิดปัญหาการขัดขวาง เกิดเหตุสุดวิสัยอันเป็นภัยร้ายแรง ให้ กกต. มีอำนาจในการเสนอเลื่อน หรือขยายวันเลือกตั้ง วันรับสมัคร หรือกำหนดวันลงคะแนนเลือกตั้งใหม่ โดยไม่ต้องมีการปรึกษาหรือขอความเห็นจากนายกรัฐมนตรี
เพื่อป้องกันไม่ให้ข้าราชการการเมืองใช้ตำแหน่งหน้าที่ ทรัพยากรของรัฐไปเป็นประโยชน์ในการหาเสียงเอาเปรียบฝ่ายตรงข้าม ควรกำหนดให้ข้าราชการการเมืองเป็นข้าราชการตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อไม่ให้เกิดข้ออ้างว่า ใช้เวลานอกราชการไปหาเสียง
อีกทั้งเมื่อมีการยุบสภา หรือกรณีดำรงตำแหน่งครบวาระ ให้คณะรัฐมนตรีพ้นไปโดยปริยาย ไม่ต้องเป็นคณะรัฐมนตรีรักษาการ และให้ปลัดกระทรวงรักษาการแทนรัฐมนตรี
รวมทั้งในระหว่างการเลือกตั้งเพื่อไม่ให้มีการข่มขู่พยานจนเกิดการกลับคำให้การ เสนอให้พยานของ กกต. ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายคุ้มครองพยาน และเพิ่มอำนาจให้ กกต. สามารถเรียกเอกสาร หรือเชิญบุคคลมาให้ถ้อยคำต่อ กกต. หากไม่มาก็ให้มีบทลงโทษ
นอกจากนี้ มีการเสนอมาตรการป้องกันการใช้นโยบายประชานิยมในการหาเสียงเลือกตั้ง โดยอาจจะมีการตั้งเป็นคณะทำงานที่ประกอบไปด้วยหลายหน่วยงาน อาทิ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) ศาลรัฐธรรมนูญ และ กกต. ขึ้นมาตรวจสอบว่านโยบายที่พรรคการเมืองเสนอสามารถดำเนินการได้จริงหรือไม่ และส่งผลทำให้ประเทศชาติเกิดความเสียหายในอนาคตหรือไม่
ข้อเสนอดังกล่าวนี้ กกต.ได้ยื่นต่อ คสช.เมื่อวันที่ 8 ก.ค.ที่ผ่านมา โดยนายศุภชัย สมเจริญ ประธาน กกต. กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับ คสช.จะพิจารณา และ กกต.พร้อมที่จะทำงานสนองนโยบาย คสช.ตามเจตนาที่ต้องการให้บ้านเมืองกลับคืนสู่ความสงบ ด้วยการปฏิรูปกฎหมายที่คิดว่าเป็นอุปสรรค ปิดช่องไม่ให้คนทุจริตเข้ามาสู่อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร ทั้งหมด
ประธาน กกต.ยังกล่าวว่า ที่ กกต.เสนอให้มีการกำหนดคุณสมบัติของผู้มีสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.เข้มงวดขึ้น โดยเฉพาะคนที่เคยทุจริตการเลือกตั้ง เคยค้ายาเสพติด หมิ่นสถาบันจนศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว จำเป็นต้องกำจัดคนเหล่านี้ให้พ้นจากวงการเมือง แต่จะทำได้แค่ไหนอยู่ที่ทุกฝ่ายต้องช่วยกัน
ส่วนการส่งเสริมคนดีเข้าสภานั้นก็จะให้ช่วยสนับสนุนในเรื่องของการหาเสียง ให้ผู้สมัครที่มีเงินหรือไม่มีเงิน ก็มีสิทธิเท่าเทียมกันในการหาเสียง เพราะคนมีความรู้ความสามารถหลายคน ก็ไม่ได้ร่ำรวย กกต.ก็มีแนวคิดว่าอาจจะจัดสถานที่ปิดป้าย สถานที่หาเสียงเหมือนญี่ปุ่น ไม่ใช่ปล่อยให้คนมีเงินติดป้ายได้มากกว่า ติดได้ทุกที่อย่างที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม หากมองถึงข้อเสนอการปฏิรูปการเลือกตั้งที่กล่าวมา ก็จะเห็นว่ายังไม่มีข้อเสนอใดๆ ที่จะดำเนินการอย่างเฉียบขาดกับนักการเมืองทุนสามานย์ที่เข้ามาใช้กลไกการเลือกตั้งในการแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว อันเป็นต้นตอของปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองเลย
การกำหนดให้ ส.ส.ดำรงตำแหน่งไม่ให้ติดต่อกันเกิน 2 วาระ ยังไม่ใช่มาตรการที่จะป้องกันทุนสามานย์เข้ามาผูกขาด เพราะนักการเมืองเหล่านี้ยังสามารถส่งนอมินีลงสมัครแทนได้ เหมือนกรณีอดีตกรรมการบริหารพรรคการเมืองที่ถูกตัดสิทธิ 5 ปี ไม่ว่าจะเป็นพรรคไทยรักไทย พลังประชาชน ชาติไทย มัชฌิมาธิปไตย ก็ยังสามารถส่งตัวแทนลงเลือกตั้งสืบเชื้อสายทายาทอสูรมาได้จนทุกวันนี้
การกำหนดคุณสมบัติต้องห้ามของผู้ที่จะลงสมัคร ส.ส.ให้เข้มงวดขึ้น โดยเฉพาะคนที่เคยทุจริตการเลือกตั้ง เคยค้ายาเสพติด หมิ่นสถาบันจนศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว ก็คงจะมีไม่กี่คนที่เข้าข่าย ขณะที่นักการเมืองทุนสามานย์ตัวเป้งที่ทำตัวเป็นเหลือบสูบเลือดสูบเนื้อคนไทยมานานแต่ไม่เคยต้องคดีเหล่านี้ ก็จะยังลงสมัครได้ตามเดิม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ยังคงบังคับให้ผู้ลงสมัคร ส.ส.ต้องสังกัดพรรคการเมือง ก็ย่อมจะทำให้นายทุนเจ้าของพรรคบงการ ส.ส.ได้อย่างที่เคยเป็นมา ซ้ำยังจะกำหนดให้ต้องสังกัดพรรคอย่างน้อย 1 ปี ก็ยิ่งทำให้ผู้สมัคร ส.ส.ขาดอิสรภาพในการเลือกพรรคสังกัดยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ยังจะกำหนดให้การตั้งพรรคการเมืองทำได้ยากยิ่งกว่าเดิม และมีลักษณะการบีบให้พรรคการเมืองต้องเติบโตในเวลาอันรวดเร็ว ไม่เช่นนั้นจะถูกยุบ ก็จะยิ่งทำให้พรรคการเมืองเหลือแต่พรรคของนายทุนเท่านั้น
กล่าวโดยสรุป เป้าหมายสำคัญของการปฏิรูปการเลือกตั้งครั้งนี้ ก็เพื่อกำจัดคนไม่ดี ขณะเดียวกันก็ส่งเสริมคนดีให้เข้าสู่สภา แต่เมื่อย้อนมองดูข้อเสนอปฏิรูปการเลือกตั้งตามที่ปรากฏเป็นข่าวออกมา ก็ต้องบอกว่ายังไม่ตรงกับเป้าที่วางไว้เท่าใดนัก ข้อเสนอส่วนใหญ่เป็นการแก้ปัญหาที่เปลือกนอก ยังไม่ได้ลงไปถึงรากเหง้าต้นตอของปัญหาแม้แต่น้อย