ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -กรณีฆาตกรใจโหดฆ่าข่มขืน “น้องแก้ม” (นามสมมุติ) เด็กหญิงวัย 13 ปี บนรถไฟตู้นอน เที่ยวที่ 174 ตู้ 3 สุราษฎร์ธานี - กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 6 ก.ค.2557 ที่ผ่านมา นับเป็นคดีสะเทือนขวัญและโศกนาฏกรรมที่สร้างความหวาดผวาให้แก่บรรดาผู้โดยสารและคนไทยทั้งประเทศ เนื่องเพราะฆาตกรหาใช่ผู้โดยสารทั่วไป หากแต่คือพนักงานของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)เอง
นอกจากนั้นเมื่อถูกสอบเค้นอย่างหนักฆาตกรยังรับสารภาพว่านอกจากจะมีพฤติกรรมเสพยาแล้ว เขายังเคยก่อเหตุข่มขืนพนักงานหญิงของการรถไฟฯซึ่งทำงานอยู่ในขบวนเดียวกันมาแล้วถึง 2 ราย หนำซ้ำยังมีประวัติว่าเคยต้องโทษ ในคดีค้ายาเสพติดอีกด้วย
สังคมจึงตั้งคำถามถึงมาตรฐานในการคัดเลือกบุคลากรของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจแห่งนี้
แน่นอน ปฏิเสธไม่ได้ว่าคดีนี้กลายเป็นประเด็นร้อนที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในโลกออนไลน์ กระทั่งนำไปสู่กระแสเรียกร้องให้มีการเพิ่มโทษแก่ผู้กระทำผิดในคดีข่มขืนให้ถึงขั้นประหารชีวิต รวมถึงเรียกร้องให้ผู้บริหารการรถไฟฯแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออก !!
นอกจากนั้นการรถไฟแห่งประเทศไทยยังกลายเป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจอันดับต้นๆที่คนไทยเรียกร้องให้ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) เข้ามาสังคายนาปฏิรูป เพื่อคืนความสุขให้แก่คนไทย เนื่องจากการรถไฟฯมีปัญหาทั้งในด้านประสิทธิภาพในการบริการซึ่งเป็นปัญหาคาราคาซังมาช้านาน ปัญหาด้านมาตรฐานความปลอดภัย และปัญหาเรื่องจริยธรรมความรับผิดชอบ !!
ฆาตกรเป็นเด็กเส้น-มีประวัติค้ายา สารพัดปัญหาของการรถไฟฯ
หากจะตั้งคำถามว่าความบกพร่องที่ทำให้เกิดช่องว่างในการก่ออาชญากรรมครั้งนี้อยู่ตรงไหน ก็คงต้องไล่เรียงกันมาตั้งแต่ระบบในการคัดกรองคนเข้ามาทำงานของการรถไฟฯที่ปล่อยให้มีการเล่นพรรคเล่นพวกใช้เส้นสาย พาคนของตัวเองเข้ามาทำงานโดยไม่คำนึงถึงความรู้ความสามารถ ประสิทธิภาพในการทำงาน แม้กระทั่งมีคดีติดตัว มีประวัติอาชญากรรม ก็ยังใช้เส้นเข้ามาทำงานได้
เนื่องเพราะหากย้อนไปดูประวัติของ 'นายเกม' หรือ 'วันชัย แสงขาว' คนร้ายใจอำมหิตวัย 22 ปี ที่ลงมือฆ่าข่มขืนน้องแก้มซึ่งนอนหลับอยู่ในเตียงนอนชั้นล่างในขณะที่เดินทางกลับจากเยี่ยมญาติที่สุราษฎร์ธานีมายังบ้านพักที่กรุงเทพฯ ก็พบว่านายวันชัยนั้นเคยต้องโทษคดีค้ายาเสพติดซึ่งถือเป็นคดีร้ายแรงมาแล้วถึง 2 ครั้ง แต่ที่เล็ดรอดเข้ามาทำงานในการรถไฟฯได้เนื่องจากเส้นใหญ่ เพราะเขาเป็นหลานของหัวหน้าในกองรถโดยสาร โดยเป็นที่โจทย์ขานกันภายในว่าก่อนนั้นนายวันชัยเข้ามาเป็นลูกจ้างชั่วคราวจากการฝากฝังของญาติผู้ใหญ่ และเพิ่งผ่านการสอบคัดเลือกเป็นพนักงานการรถไฟแห่งประเทศไทย ในตำแหน่งพนักงานรถนอน ทำหน้าที่ปูเตียง เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2557 ที่ผ่านมา
อีกทั้งมีคนตั้งข้อสังเกตว่าในการคัดเลือกลูกจ้างประจำครั้งนั้นมีความเร่งรีบผิดปกติ โดยการคัดเลือกดังกล่าวมีลูกจ้างที่ต้องผ่านการสัมภาษณ์ในช่วงเวลา 3 วัน คือ วันที่ 10-13 มิถุนายน 2557 จำนวนถึง 90 คน แต่กลับมีการเร่งบรรจุวันที่ 17 มิถุนายน 2557 หรือในอีก 4 วันต่อมา ซึ่งเมื่อพิจารณาจากขั้นตอนต่างๆแล้วไม่น่าจะทำได้ทัน เนื่องจากตามขั้นตอนนั้นหลังสอบและประกาศผลแล้ว ระหว่างรอบรรจุเป็นลูกจ้างจะต้องมีกระบวนการตรวจสอบประวัติอาชญากร ตรวจสุขภาพ และทดลองงาน ซึ่งต้องใช้เวลาถึง 3 เดือน ไม่ใช่แค่ 4 วันเช่นกรณีของนายวันชัย ทั้งนี้ระหว่างการตรวจสอบหากพบว่ามีประวัติอาชญากร หรือมีปัญหาสุขภาพ หรือทำงานไม่ได้ ก็จะไม่ได้รับการบรรจุ และไม่สามารถฟ้องร้องการรถไฟแห่งประเทศไทยได้
ทั้งนี้ ปัญหาเรื่องเด็กเส้นที่เข้ามาทำงานในการรถไฟแห่งประเทศไทยนั้นเป็นปัญหาที่รับรู้กันมานานแล้ว แม้แต่อดีตผู้บริหาร รฟท.รายหนึ่งก็ยังยอมรับว่า การรับบุคคลเข้าเป็นพนักงานและลูกจ้าง รฟท.นั้นมีขบวนการเด็กฝากเด็กเส้นและค่าหัวคิว โดยหากใครต้องการเข้าทำงานในการรถไฟแห่งประเทศไทยก็ต้องจ่ายอย่างน้อย 50,000 บาทต่อคน ซึ่งคนเหล่านี้ก็ยอมจ่ายด้วยความเต็มใจเพื่อแลกกับสิทธิ สวัสดิการ เมื่อได้เป็นลูกจ้างประจำหรือพนักงานรถไฟแล้ว
แม้คนที่จ่ายเงินซื้อตำแหน่งเข้ามาทำงานในการรถไฟจะไม่ได้ก่อปัญหาทุกรายไปแต่ก็ทำให้เกิดช่องโหว่ในการเลือกคนที่ไม่มีประสิทธิภาพหรือมีประวัติอาชญากรรมเข้ามาทำงาน ซึ่งทำให้ผู้โดยสารไม่อาจมั่นใจในความปลอดภัยได้ โดยเฉพาะในกรณีของนายวันชัยนั้น 'น้องแก้ม' ไม่ใช่เหยื่อรายแรกของอาชญากรนายนี้ เพราะหลังจากที่ถูกจับกุมได้และจำนนต่อหลักฐานนายวันชัยก็รับสารภาพว่าหลังจากที่เขาได้เข้าทำงานในฐานะเจ้าหน้าที่ประจำขบวนรถไฟเขาได้เคยก่อเหตุข่มขืนหญิงสาวมาแล้วถึง 2 ครั้ง ซึ่งหญิงสาวที่ตกเป็นเหยื่อทั้ง 2 รายล้วนเป็นพนักงานของการรถไฟฯ แต่หญิงสาวดังกล่าวไม่กล้าโวยวายหรือเข้าแจ้งความเนื่องจากเกรงจะได้รับความอับอาย
นอกจากนั้นนายวันชัยยังรับสารภาพว่าในวันก่อเหตุเขาได้เสพยาบ้าไป 3 เม็ด และดูคลิปลามก ก่อนที่จะดื่มเบียร์ ทำให้เกิดอารมณ์ทางเพศ จึงลงมือก่อเหตุสุดสลดดังกล่าว ขณะที่การปลิดชีพน้องแก้มนั้นก็เป็นไปด้วยความโหดเหี้ยมผิดมนุษย์และถูกวางแผนอย่างเป็นขั้นเป็นตอน โดยนายวันชัยใช้วิธีอำพรางตัวในความมืดโดยปิดไฟภายในโบกี้รถไฟ ขณะวิ่งผ่านสถานีรถไฟทับสะแก จ.ประจวบคีรีขันธ์ ก่อนที่เข้าไปที่เตียงนอนของน้องแก้มซึ่งเป็นเตียงนอนชั้นล่าง แล้วทำให้เหยื่อหมดสติเพื่อป้องกันไม่ให้เหยื่อส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือ โดยใช้มือบีบคอและใช้หมอนปิดปาก รวมทั้งทุบบริเวณท้องจนน้องแก้มสลบ จากนั้นจึงเปิดหน้าต่างเพื่อให้เสียงภายนอกเข้ามากลบเสียงต่างๆที่อาจเกิดขึ้น ก่อนที่จะลงมือข่มขืนจนสำเร็จความใคร่ถึง 2 ครั้ง
เมื่อเสร็จกิจจึงโยนเสื้อผ้าของเหยื่อทิ้งเพื่อทำลายหลักฐาน และตั้งใจสังหารเหยื่ออย่างอำมหิตเพื่อปิดปาก โดยจับร่างน้องแก้มพาดไว้กับหน้าต่างรถไฟ และผลักร่างของเหยื่อลงกลางทาง ระหว่างที่รถไฟวิ่งผ่านสถานีวังก์พง อ.ปราณบุรี กับสถานีรถไฟเขาเต่า อ.หัวหิน หลังจากสังหารเหยื่อแล้วนายวันชัยก็ไม่ได้สะทกสะท้านกับความผิดที่ก่อเขายังคงรื้อค้นกระเป๋าของน้องแก้มอย่างใจเย็น เพื่อพบไอแพดและโทรศัพท์ไอโฟนของเหยื่อจึงได้ขโมยไป เมื่อรถไฟถึงกรุงเทพฯจึงนำไปขายต่อในเวลาต่อมา ในราคาเครื่องละ 1,800 บาท
ที่สำคัญฆาตกรรายนี้ไม่ได้รับสารภาพเพราะสำนึกในความผิด แต่จำนนด้วยหลักฐานจึงจำเป็นต้องยอมรับสารภาพ !!
ขณะที่อีกประเด็นที่ถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักก็คือความละหลวมในการดูแลความปลอดภัยของผู้โดยสาร และการควบคุมดูแลพฤติกรรมของพนักงานการรถไฟฯ เพราะเป็นไปได้อย่างไรที่ผู้หลักผู้ใหญ่จะปล่อยให้พนักงานที่ทำงานในรถแต่ละขบวนดื่มสุราและเสพยาขณะปฏิบัติหน้าที่ ทั้งที่มีข้อห้ามพนักงานดื่มสุราในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ และมีโทษถึงขั้นไล่ออก ซึ่งในกรณีของนายวันชัยนั้นครั้งแรกมีข้อมูลเล็ดรอดออกมาว่าก่อนก่อเหตุนายวันชัยได้นั่งดื่มสุรากับเพื่อนพนักงานการรถไฟอีก 3 คน แต่ต่อมามีการแก้ข่าวว่านายวันชัยนั่งดื่มสุราเพียงคนเดียว ส่วนเพื่อนๆ แค่นั่งล้อมวงคุยกันเฉยๆ จึงมีคำถามตามมาว่าแล้วเหตุใดเพื่อนพนักงานการรถไฟฯจึงไม่ห้ามปรามนายวันชัยไมให้ดื่ม ? เพราะเรื่องนี้มีระเบียบปฏิบัติที่ชัดเจนอยู่แล้ว และสมมุติว่าแม้นายวันชัยไม่ได้เป็นผู้ลงมือก่อเหตุ แต่เมื่อพนักงานเมาขาดสติเองเสียแล้วจะมาตรวจตราดูแลความปลอดภัยให้ผู้โดยสารได้อย่างไร ?
และในเมื่อแม้แต่พนักงานปูเตียงซึ่งต้องใกล้ชิดและพบปะกับผู้โดยสารยังดื่มสุราได้อย่างอิสระเสรีแล้วผู้โดยสารจะมั่นใจได้อย่างไรว่าพนักงานในตำแหน่งอื่นๆ อย่างเช่น พนักงานขับรถไฟ พนักงานสับรางรถไฟ จะไม่ได้ดื่มสุราหรืออยู่ในอาการเมามายขณะปฏิบัติหน้าที่ เพราะภาพที่ออกมาคือพนักงานการรถไฟฯ ล้วนรู้เห็นเป็นใจให้เพื่อนทำผิดระเบียบ นอกจากนั้นหลังเกิดเหตุฆ่าข่มขืน ผู้ว่าการรถไฟฯยังเพิ่งจะมีแนวคิดให้เลิกจำหน่ายสุราบนรถไฟ ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วการรถไฟฯไม่ควรปล่อยให้มีการจำหน่ายสุราบนขบวนรถไฟตั้งแต่ต้น
ประภัสร์แถ ไม่ใช่คน รฟท.
นอกจากความเหลวแหลกของระบบเส้นสายที่เปิดช่องให้ฆาตกรใจอำมหิตเข้ามาอาศัยตำแหน่งหน้าที่ในการรถไฟฯในการก่อเหตุข่มขืนกระทำชำเราและสังหารผู้โดยสารอย่างโหดเหี้ยม และความละหลอมในการควบคุมดูแลความประพฤติของพนักงานการรถไฟแล้ว ในส่วนของผู้บริหารระดับสูงของการรถไฟฯก็ดูจะมีภาพลักษณ์ที่โหลยโท่ยไม่แพ้กัน เพราะทันทีที่มีข่าวว่าพนักงานการรถไฟฯก่อเหตุฆ่าข่มขืนผู้โดยสาร นายประภัสร์ จงสงวน ผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ก็ออกมาปฏิเสธทันควันว่า นายวันชัยผู้ก่อเหตุนั้น ไม่ใช่พนักงานของการรถไฟฯ แต่เป็นพนักงานบริษัทที่รับสัมปทานดูแลความสะอาดรถไฟ ให้กับ รฟท. ซึ่งทางผู้บริหารของการรถไฟฯก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ จะเร่งจัดารเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน โดยเบื้องต้นจะมีคำสั่งไล่พนักงานผู้ก่อเหตุออกทันที นอกจากนั้นก็จะทำการตรวจสอบรายละเอียดของบริษัท รวมทั้งกฎระเบียบต่างๆว่า เหตุการณ์สะเทือนขวัญที่เกิดขึ้นครั้งนี้ จะสามารถเอาผิดบริษัทผู้รับสัมปทานได้อย่างไรบ้าง
ทว่าช้างตายทั้งตัวเอาใบบัวปิดไม่มิด เพราะงานนี้เหล่าสมาชิกในโลกออนไลน์ซึ่งรู้สึกถึงเงื่อนงำในการให้สัมภาษณ์ของนายประภัสร์ต่างพากันคุ้ยแคะแกะรอยจนพบว่านายวันชัย ผู้ต้องหาก่อคดีสะเทือนขวัญนั้นเป็นพนักงานจองการรถไฟอย่างแน่นอน หาใช่พนักงานของบริษัทที่ซับงานจากการรถไฟฯดังที่นายประภัสร์กล่าวอ้าง เพราะจากการตรวจสอบเฟซบุ๊กของนายวันชัย พบว่านายวันชัยมีการใช้งานเฟซบุ๊กหลายหน้าด้วยกัน โดยในเฟซบุ๊กชื่อ “Banggame Bangsue” ซึ่งสมัครเป็นสมาชิกเมื่อวันที่ 9 มิ.ย. ที่ผ่านมา นายวันชัยได้ใช้ภาพส่วนบุคคลเป็นภาพตนเองในชุดพนักงานการรถไฟแห่งประเทศไทยสีขาว พร้อมระบุข้อมูลส่วนตัวว่าเป็น “พนักงานรถนอน ที่ การรถไฟแห่งประเทศไทย”
อีกทั้งเมื่อตรวจสอบไปยังเว็บไซต์ของการรถไฟแห่งประเทศไทยก็ปรากฏหลักฐานชัดเจนว่า นายวันชัยเป็นลูกจ้างเฉพาะงานที่เพิ่งสอบผ่านการคัดเลือกด้วยการสัมภาษณ์ เมื่อวันที่ 10 - 13 มิ.ย. และได้ผ่านการสอบคัดเลือกเป็นลูกจ้างพนักงานรถนอน ทำหน้าที่ปูเตียง เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2557 ที่ผ่านมา โดยอยู่ในรายชื่อลำดับที่ 43 จึงไม่ใช่พนักงานรับจ้างเหมาของบริษัทเอกชน (Outsource) ตามที่นายประภัสร์ได้ให้สัมภาษณ์ อย่างไรก็ดี หลังจากที่ชาวเน็ตได้ออกมาแฉเรื่องนี้ ล่าสุดภาพของเอกสารดังกล่าวได้ถูกนำออกจากเว็บไซต์ของฝ่ายการเดินรถ ของการรถไฟแห่งประเทศไทยไปแล้ว
ทั้งนี้ เมื่อมีหลักฐานมัดแน่นชนิดดิ้นไม่หลุด ผู้ว่าการรถไฟฯ หนวดงามจึงกระมิดกระเมี้ยนออกมาแก้เกี้ยวว่า “ กรณีที่บอกว่านายวันชัย แสงขาว เป็นลูกจ้างบริษัทเอาต์ซอร์สนั้นไม่ได้โกหก เพราะเป็นข้อมูลที่มีเจ้าหน้าที่รายงานในขณะนั้น ซึ่งมีผู้ต้องสงสัยหลายคน และหนึ่งในนั้นเป็นลูกจ้างเอาต์ซอร์สที่พี่สาวของผู้เสียชีวิตระบุว่าน่าสงสัยที่สุด เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในฐานะผู้ว่าการ รฟท.รู้สึกช็อก สลด และเสียใจต่อครอบครัวของ ด.ญ.แก้ม ถือว่าตั้งแต่ก่อตั้งรถไฟมา 117 ปี เป็นเหตุการณ์ที่ร้ายแรงสะเทือนขวัญที่สุด เพราะก่อนหน้านี้เคยเกิดแค่กรณีการทำอนาจารบนรถ ” นายประภัสร์ กล่าว
นอกจากนั้น นายประภัสร์ ยังแก้ตัวแบบข้างๆคูๆว่าสาเหตุที่เกิดเหตุฆ่าข่มขืนบนรถไฟ ซึ่งถือเป็นอาชญากรรมร้ายแรงครั้งนี้นั้น เป็นเพราะกำลังของเจ้าหน้าที่ตำรวจรถไฟและเจ้าหน้าที่การรถไฟฯไม่เพียงพอต่อการรักษาความปลอดภัยบนรถไฟ เนื่องจากในปี 2538 มติของคณะรัฐมนตรี เลิกการบรรจุพนักงานรถไฟทั้งหมด จึงทำให้การรักษาความปลอดภัยค่อยข้างหละหลวม ซึ่งหลังจากนี้ จะปรับแผนให้พนักงานตรวจตราให้เข้มงวดโดยเฉพาะตู้นอน รวมถึงเตรียมให้มีการยกเลิกการขายสุรา และหากพบผู้ดื่มสุราบนขบวนรถไฟจะเชิญลงจากขบวนรถทันที นอกจากนั้นจะดำเนินการปรับปรุงขบวนรถให้มีความทันสมัยขึ้น และจัดให้มีโบกี้สำหรับผู้หญิงโดยเฉพาะ
'ประภัสร์' ถูกเด้งพ้น ผู้ว่าฯรถไฟ แม้หน้าทนสมเป็นคนระบอบทักษิณ
เมื่อเป็นที่ประจักษ์ว่าแนวคิดในการทำงานของผู้ว่าการรถไฟฯช่างแถไถโหลยโท่ยขนาดนี้ จึงไม่แปลกที่จะเกิดกระแสเรียกร้องให้นายประภัสร์ลาออกจากตำแหน่ง เพราะแม้แต่เด็กประถมยังรู้ว่าเหตุฆ่าข่มขืนบนรถไฟครั้งนี้ไม่เกี่ยวกับปัญหารถเก่า ไม่เกี่ยวกับโบกี้ที่มีผู้โดยสารทั้งหญิงและชายอยู่ร่วมกัน ไม่เกี่ยวกับจำนวนพนักงานการรถไฟที่ทำหน้าที่ดูแลความปลอดภัย หรือจำนวนตำรวจรถไฟไม่เพียงพอ เพราะงานนี้ผู้ก่อเหตุคือ 'พนักงานของ รฟท.' ซึ่งทำผิดระเบียบทั้งดื่มสุราและเสพยาก่อนที่จะลงมือก่อเหตุ อีกทั้งการรถไฟฯก็ยังเป็นคนพิจารณารับอาชญากรติดยาบ้ารายนี้เข้ามาเป็นพนักงานเอง !!
ที่สำคัญจากการให้สัมภาษณ์ของนายประภัสร์ที่บอกว่ากรณีฆ่าข่มขืนน้องแก้มถือเป็นอาชญากรรมร้ายแรงที่สุด เพราะที่ผ่านมา “มีแค่กรณีการทำอนาจารบนรถไฟ ” ก็สะท้อนให้เห็นว่านายประภัสร์นั้นไม่ได้สนใจหรือให้ความสำคัญต่อการป้องกันปัญหาการล่วงละเมิดทางเพศที่เกิดขึ้นบนรถไฟแต่อย่างใด
ถามว่าทำไมนายประภัสร์จึงมองเช่นนั้น ? เป็นเพราะว่าอาชญากรรมดังกล่าวยังไม่ได้เกิดขึ้นกับคนในครอบครัวของประภัสร์กระนั้นหรือ เพราะแม้แต่ตัวนายประภัสร์ก็ยังออกมายอมรับว่าเขาไม่กล้าให้ลูกสาวขึ้นรถไฟตู้นอน ?
“ ผมเชื่อว่ารถไฟต้องมีมาตรการให้คนเกิดความประทับใจ แต่ถ้าถามว่าผมให้ลูกสาวขึ้นรถไฟไหม ผมคงไม่กล้าเหมือนกัน” นายประภัสร์ ตอบคำถามผู้สื่อข่าว 'ASTVผู้จัดการ LIVE' อย่างชัดถ้อยชัดคำ
แต่เสียใจด้วย หากจะถามหาสปิริตหรือความรับผิดชอบใดๆ จากผู้ว่าการรถไฟฯ คนนี้ เพราะนายประภัสร์ยืนยันแน่นหนักว่าเขาจะไม่ลาออก โดยอ้างว่าถ้าเขาลาออกก็แสดงว่าเขาหนีปัญหา ดังนั้นเขาจึงต้องนั่งเกาะเก้าอี้ผู้ว่าการรถไฟฯต่อไปแบบไม่มีกำหนด !!
“หากลาออกจะถูกคนอีกกลุ่มบอกว่าหนีปัญหาได้ ทำไมไม่อยู่แก้ปัญหา และหากลาออกจะแก้ปัญหาได้หรือไม่ ซึ่งผู้ว่าฯ รฟท.นั้นจะสรรหาเข้ามา ซึ่งต้องใช้เวลานาน ผมจึงขออยู่เพื่อแก้ไขปัญหา หลังจากนี้ เพื่อที่จะมีคนคอยสั่งการและหามาตรการป้องกันความปลอดภัย” นายประภัสร์ยืนยันในเจตนารมณ์
แต่คำถามที่ตามมาจากประชาชนคนไทยในฐานะผู้ใช้บริการการรถไฟฯคือ ถ้าที่ผ่านมานายประภัสร์มีประสิทธิภาพในการบริหารงาน ปัญหาอาชญากรรมร้ายแรงเช่นนี้จะเกิดขึ้นหรือ ?
ทั้งนี้หากสาวลึกลงไปก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า 'นายประภัสร์ จงสงวน' นั้นเป็นคนในระบอบทักษิณ เขาได้ดิบได้ดีมีตำแหน่งใหญ่โตก็ด้วยการสนับสนุนของกลุ่มการเมืองดังกล่าว จึงทำงานรับใช้ระบอบทักษิณมายาวนาน โดยนายประภัสร์มีสายสัมพันธ์แนบแน่นกับ 'อุกฤษ มงคลนาวิน' ที่ยังปวารณาตนเป็นลิ่วล้อทักษิณแม้จะแก่เฒ่ามากแล้ว ประภัสร์เริ่มชีวิตการทำงานในเมืองไทยที่สำนักกฎหมายของอุกฤษ กระทั่งมีโอกาสได้เข้าทำงานในการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ตามคำชวนของ จุลสิงห์ วสันตสิงห์ อดีตอัยการสูงสุด ที่มีผลงานยอดเยี่ยมในการตัดตอนคดีของ “ตระกูลชิน”
ประภัสร์เจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานขึ้นชั้นเป็น ผู้ว่าการรถไฟฟ้ามหานคร (รฟม). เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2540 ในรัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ซึ่งมีทักษิณ เป็นรองนายกฯ และกินตำแหน่งนี้ยาวนานจนถึงปี 2551 ก็ผันตัวเองออกมาสวมเสื้อพลังประชาชน พรรคการเมืองของทักษิณ ลงสมัคร ผู้ว่าฯ กทม. แต่พ่ายแพ้ให้แก่ อภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์
นับจากนั้นมาก็ชัดเจนว่า ประภัสร์คือหนึ่งในคนที่ทักษิณสั่งได้ โดยกลับมารุ่งเรืองอีกครั้งในยุคที่ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” เป็นนายกรัฐมนตรี ได้รับการโปรโมตให้เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ก่อนที่จะลาออกไปลงสมัครเป็นผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย และได้รับการแต่งตั้งจาก ครม. ยิ่งลักษณ์ เมื่อวันที่ 12 พ.ย. 2555 จนถึงปัจจุบัน
ที่น่าสนใจคือ การเข้ารับตำแหน่งผู้ว่าการการรถไฟฯ ของประภัสร์ ถูกแฉโดย นคร มาฉิม อดีต ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ว่า มีการทำผิดกฎหมายการรถไฟฯ มาตรา 37 และกฎหมายคุณสมบัติพนักงานรัฐวิสาหกิจ เนื่องจากประภัสร์ขาดคุณสมบัติ เพราะเคยดำรงตำแหน่งทางการเมือง และยังไม่ใช่ผู้บริหารองค์กรที่มีรายได้ไม่ต่ำกว่า 5 พันล้านบาทตามที่กำหนดไว้ด้วย
เนื่องจากผลงานการบริหาร รฟม. พบว่า ในปี 2551 มีรายได้เพียงแค่ 529 ล้านบาทเท่านั้น พร้อมกับตั้งข้อสังเกตว่า การตั้งประภัสร์เป็นผู้ว่าการการรถไฟฯ เพื่อให้มารับงานพัฒนาพื้นที่การรถไฟฯมูลค่า 1.5 แสนล้านบาท และแผนพัฒนาพื้นที่มักกะสันอีก 3 แสนล้านบาท
นอกจากนี้ ประภัสร์ยังเป็นคนที่มีบทบาทอย่างยิ่งในการผลักดันกฎหมายกู้เงิน 2 ล้านล้าน ลากคนไทยเป็นหนี้นานครึ่งศตวรรษ โดยถือได้ว่าเป็นลูกคู่คนสำคัญของชัชชาติ สิทธิพันธุ์ อดีต รมว.คมนาคม อีกทั้งเขายังร่วมเป็นกรรมาธิการพิจารณาร่าง พ.ร.บ. เงินกู้สองล้านล้าน มีบทบาทสำคัญมากกว่ารัฐมนตรีหลายคนใน ครม. ยิ่งลักษณ์ ถึงขนาดชัชชาติตอบไม่ได้ก็จะเรียกหาประภัสร์ให้เป็นคนชี้แจงแทน
ในวันที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า พ.ร.บ. สร้างหนี้ขัดรัฐธรรมนูญ ประภัสร์เป็นหนึ่งในขี้ข้าของยิ่งลักษณ์ที่ออกมากล่าวโทษศาลรัฐธรรมนูญว่าทำให้การพัฒนาระบบรางต้องล่าช้าออกไปอีก 20 ปี เพราะการพัฒนาต้องใช้เงินกู้ด้วยกฎหมายพิเศษไม่สามารถทำได้อย่างรวดเร็วจากระบบงบประมาณปกติ
อย่างไรก็ดี หลังเกิดกระแสกดดันอย่างหนักให้นายประภัสร์ลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบในกรณีเหตุข่มขืนแล้วฆ่าเด็กหญิงวัย 13 บนรถไฟ ล่าสุด คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ซึ่งนำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ได้มีคำสั่งปลด 'นายประภัสร์ จงสงวน' ออกจากตำแหน่งผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย อีกทั้งยังมีคำสั่งแต่งตั้ง 'นายออมสิน ชีวะพฤกษ์' อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เป็นประธานคณะกรรมการ (บอร์ด) การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) โดยเห็นว่าเป็นช่วงเวลาเหมาะสมที่ประธานบอร์ด รฟท.คนใหม่จะเข้ามาแก้ปัญหาเร่งด่วนของรถไฟในเรื่องความปลอดภัย เพื่อเรียกความเชื่อมั่นในการใช้บริการกลับมา
สาวไส้..ตำรวจไทยแสนอุบาทว์
อีกหน่วยงานที่ถูกสังคมตั้งคำถามถึงประสิทธิภาพและความรับผิดชอบในการทำงานไม่แพ้กันก็คือเจ้าหน้าที่ตำรวจ ? เพราะงานนี้หลังจากคดีคลี่คลายและปรากฏภาพ นางลักขณา ทองพัฒน์ คุณแม่ของน้องแก้ม พร้อมกับครอบครัวได้ดินทางไปรับมอบเงินช่วยเหลือและเข้ามอบดอกไม้ขอบคุณ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตำรวจรถไฟ ตำรวจภูธรภาค 7 ตำรวจ กก.ดส. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ได้เร่งรัดจับกุมผู้ต้องหาคดีดังกล่าว โดยมี พล.ต.อ. เอก อังสนานนท์ รอง ผบ.ตร. เป็นตัวแทนรับมอบ ก็เกิดการแฉลากไส้จากญาติของเหยื่อว่างานนี้มีการจัดฉากเอาหน้าชิงผลงาน ถึงขั้นที่บังคับให้คุณแม่ของน้องแก้มท่องสคริปต์ขอบคุณตำรวจ ทั้งที่ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้ใส่ใจที่จะช่วยติดตาการหายไปของน้องแก้มแต่อย่างใด จริงๆแล้วหน่วยงานที่เข้าไปช่วยค้นหาศพคือเจ้าหน้าที่หน่วยกูภัยมูลนิธิสว่างหัวหินธรรมสถาน และมูลนิธิสว่างแผ่ไพศาลธรรมสถาน (ปราณบุรี) แต่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจกลับไม่ได้เอ่ยถึง
และหลังจากมอบดอกไม้ให้แก่นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ พี่สาวของน้องแก้มได้เดินร้องไห้ออกมาจากห้องรับรอง และโผเข้ากอดญาติ พร้อมกับพูดว่า “นั่นน้องสาวหนูทั้งคน ตำรวจพูดโกหกทั้งหมดเลย และไม่ได้ช่วยอะไรเลย พี่ชายหนูเป็นคนไปตามหาจนเจอ”
อีกทั้งพี่ชายของน้องแก้มยังให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า " การเดินทางมาครั้งนี้คุณแม่ไม่ทราบมาก่อนว่าเป็นการมาเพื่อกล่าวขอบคุณตำรวจ เพราะทีแรกได้รับแจ้งว่าให้มารับเงินเยียวยาจากกรมคุ้มครองสิทธิฯ เท่านั้น แต่พอมาถึงที่นี่กลับถูกทางตำรวจให้ท่องสคริปต์เพื่อที่จะกล่าวขอบคุณตำรวจหน่วยต่างๆที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ ซึ่งจริงๆแล้วคุณแม่ไม่ต้องการ วันนี้จริงๆแล้วแม่ควรจะต้องได้พักผ่อน เพราะไม่ได้หลับได้นอนกันมา 3 วันแล้ว น้องอยู่ที่วัด แม่ก็อยากไปนั่งเฝ้าน้อง สวดมนต์ให้น้อง แต่ทางตำรวจต้องการไปรับตัวแม่มา เพียงเพื่อให้มาขอบคุณที่นี่ แค่นี้หรือครับ ตำรวจต้องการแค่นี้ใช่มั้ย ตั้งแต่การแถลงข่าวครั้งแรกที่ปราณบุรี ยังไม่เห็นใครได้แสดงความขอบคุณกลุ่มคนที่สมควรได้รับคำขอบคุณจริงๆก็คือเจ้าหน้าที่มูลนิธิสว่างฯปราณบุรี ที่ลงพื้นที่ตามหาร่างน้องแก้มอย่างเหน็ดเหนื่อย ผมมองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ตำรวจจัดฉากให้ครอบครัวมาขอบคุณได้เก่งมาก.."
ซี่งการแฉลากไส้ครั้งนี้ทำเอาตำรวจชั้นผู้ใหญ่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติหน้าม้านไปตามๆกัน
อย่างไรก็ดี ขณะนี้แม้จะมีการปลดนายประภัสร์พ้นเก้าอี้ผู้ว่า รฟม.แล้ว แต่ก็ถือเป็นเพียงก้าวแรกในการแก้ปัญหาเท่านั้น หลังจากนี้คงต้องมีการสังคายนาทั้งในส่วนของการบริหารและการให้บริการของการรถไฟฯกันใหม่หมด เพื่อเรียกความเชื่อมั่นผู้โดยสารที่ตกต่ำถึงขีดสุดกลับคืนมาอีกครั้ง !!