ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ปัญหาของบ้านเมืองทุกวันนี้ ที่ยังหาทางออกกันไม่เจอ ทะลวงออกจากจุดอับไม่ได้ เพราะเราติดอยู่ที่คำว่า"ประชาธิปไตย" ทำอย่างนั้นไม่ได้ ทำอย่างนี้ก็ไม่ได้ เพราะมันจะไม่เป็นประชาธิปไตย
เราติดยึด ให้ความสำคัญ กับคำว่าประชาธิปไตย มากถึงขนาดว่า แม้จะเห็นเศรษฐกิจของชาติพังไปต่อหน้าต่อตา สังคมที่รวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทยต้องล่มสลาย ก็ยอมได้ เพื่อรักษาประชาธิปไตยอย่างนั้นหรือ
ลองนึกย้อนเวลากลับไป แล้วคิดดูดีดีว่าประเทศไทยต้อง"สูญเสีย"ไปกับประชาธิปไตย มากมายมหาศาลเพียงใด ถ้าตีราคามูลค่าออกมาเป็นตัวเงิน ก็ไม่รู้จะสักกี่ล้านล้าน ยังมีมูลค่าทางจิตใจ ของครอบครัว ญาติพี่น้อง ของผู้บาดเจ็บ ล้มตาย ไปกับการเรียกร้อง รักษาประชาธิปไตย ที่ไมาสามารถตีค่าออกมาเป็นตัวเงินได้
ถ้านับจากปี 2475 ที่ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตย ถึงวันนี้ก็เป็นเวลากว่า 80 ปีแล้ว แต่ถ้าจะดูเรื่องความเสียหาย ไม่ต้องย้อนไปถึงขนาดนั้นก็ได้ เพราะบางคนอาจนึกไม่ออก เนื่องจากไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ ไม่ได้เห็นด้วยตา ไม่ได้สัมผัสรับรู้ด้วยตัวเอง
เอาเป็นว่า แค่นึกไปถึงช่วงประมาณ 30 ปีที่แล้วก็พอ ที่พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไปแล้ว ซึ่งเรียกกันว่าเป็นยุค "ประชาธิปไตยเต็มใบ" เป็นช่วงที่ตัวแทนกลุ่มทุน ทั้งทุนระดับชาติ ระดับภูมิภาค ผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น เข้ามามีบทบาท มากุมอำนาจ มาใช้ประชาธิปไตย ในการหาผลประโยชน์กันอย่างเห็นได้ชัด
กลุ่มคนพวกนี้เข้ามาวาดโครงการ ขายฝัน ว่าในอนาคตประเทศไทยจะรุ่งโรจน์ โชติช่วงชัชวาลย์ เปิดสนามรบเป็นสนามการค้า สร้างนิคมอุตสาหกรรม พาไทยเป็นเสือตัวที่ 4 ที่ 5 ผันน้ำโขงทำอีสานเขียว เปิดเสรีทางด้านการเงิน เชื่อมไทยกับทุนโลก จะให้ไทยเป็นศูนย์กลางทางด้านการเงิน การค้า การลงทุนในภูมิภาคนี้
แล้วเป็นไง ประเทศชาติแทบล้มละลาย จากวิกฤติ "ต้มยำกุ้ง" ในยุค พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นนายกฯ ต่อเนื่องมาถึงยุคนายชวน หลีกภัย ที่ต้องยอมเข้าแผนฟื้นฟูของ ไอเอ็มเอฟ ต้องยอมขายทรัพย์สินของชาติที่ฝรั่งเรียกว่าเป็น หนี้เน่า ไปในราคาถูกๆ แล้วย้อนกลับมาขายให้เราในราคาแพง
กว่าเศรษฐกิจของชาติจะฟื้นตัวกลับมาได้ ก็กินเวลาหลายปี ขณะที่นักการเมืองก็ร่ำรวยไปตามๆกัน จากการงาบหัวคิวโครงการก่อสร้าง ปั่นราคาที่ดิน กินส่วนต่างดอกเบี้ย ตุนดอลลาร์ก่อนลอยตัวค่าเงินบาท
หรือจะดูกันในช่วงใกล้ๆ นี้ก็ได้ โครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แค่ 2 ปีเจ๊งไปหลายแสนล้าน แถมยังค้างเงินค่าข้าวชาวนาอีกเป็นแสนล้าน ใครค้าน ใครขวางก็ไม่ฟัง ตั้งแท่นกู้มาทำรถไฟความเร็วสูงอีก 2 ล้านล้าน ดีที่ศาลรัฐธรรมนูญยับยั้งไว้ได้ทัน ไม่อย่างนั้นละก็ นึกไม่ออกเลยว่า อนาคตประเทศชาติจะเป็นหนี้มหาศาลไปถึงขั้นล้มละลายหรือไม่
เหล่านี้ล้วนเป็นผลพวงจาก การอ้าง การใช้ ประชาธิปไตย ทั้งสิ้น ใครที่คัดค้าน ต่อต้าน ขัดขวาง ไม่ยอมรับแนวทางของรัฐบาล ที่มีเสียงข้างมาก ถือว่าไม่เป็นประชาธิปไตย นักการเมืองจึงต้องทำทุกวิถีทาง เพื่อให้ได้เสียงข้างมาก
ความจริงแล้วหลักการของการปกครองในระบบอบประชาธิปไตย ประชาชนหนึ่งคน มีสิทธิ์หนึ่งเสียง ในการเลือกตัวแทน ที่จะเข้าไปมีส่วนในการบริหารประเทศ นั้นดูดี ถูกต้อง เป็นสากล ต่างประเทศยอมรับ
แต่ประเทศที่ใช้การปกครองแบบนี้ ประชากรส่วนใหญ่ ต้องเป็นผู้ที่มีการศึกษา มีวิสัยทัศน์ มีฐานะทางการเงิน ความเป็นอยู่ที่ดี มีจิตสำนึก มีความรับผิดชอบต่อส่วนรวม ต่อประเทศชาติ พูดง่ายๆว่า เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ประชากรเป็นคนที่มีคุณภาพ เห็นความเจริญรุ่งเรืองของประเทศชาติสำคัญกว่าประโยชน์ส่วนตน
ส่วนประเทศไทยนั้น คนที่มีคุณภาพอย่างที่ว่า มีน้อย เหมือนส่วนยอดของพีรามิด ถัดลงมากลางพีรามิด ก็เป็นชนชั้นกลาง ที่แม้จะพอมีการศึกษา มีจิตสำนึกที่ดี แต่สถานะทางเศรษฐกิจยังไม่ดีนัก ยังอยากได้ อยากมีในด้านวัตถุ เทคโนโลยี พยายามยกระดับตัวเองให้ขึ้นสู่ระดับบน โอกาสที่จะถูกโน้มน้าวด้วยผลประโยชน์ตอบแทน ก็ยังมีอยู่สูง ซึ่งคนสองกลุ่มนี้ เมื่อรวมกันแล้วยังไม่ถึงครึ่งของประชากรทั้งหมด
แต่คนส่วนใหญ่ ที่เป็นฐานพีรามิดนั้น ยังยากจน ยังเห็นประโยชน์ส่วนตนเป็นใหญ่ ขาดจิตสำนึกในความรับผิดชอบต่อสังคมส่วนรวม โลกทัศน์แคบ มองอะไรไม่ไกลกว่าหัวแม่เท้า ถูกชักจูงง่าย
เมื่อเราใช้ระบบวันแมน วันโหวต เป็นกติกาตัดสินการเข้าไปมีส่วนร่วมในการบริหารประเทศ ก็เหมือนกับการมอบชะตากรรมของประเทศ ให้ไปอยู่ในมือของคนกลุ่มล่าง
แล้วประเทศชาติจะเจริญได้อย่างไร เพราะคนกลุ่มนี้ยังมองอยู่แค่ว่าจะมีชีวิตรอดไปวันๆได้อย่างไร จะมีจิตสำนึกที่ไหนไปเผื่อแผ่ให้สังคม จะมีหัวคิดที่ไหนไปมองถึงความเจริญก้าวหน้า ความร่ำรวยมั่งคั่งของประเทศ สุดท้ายก็ต้องมอบสิทธิ มอบเสียง มอบอำนาจไปให้คนที่มาอุปภัมภ์ ค้ำชู
**นโยบายประชานิยมของ "ระบอบทักษิณ" จึงได้รับการยกย่องเชิดชู จากคนกลุ่มนี้ ยอมเป็นฐาน เป็นบันไดให้ก้าวขึ้นสู่อำนาจในการบริหารจัดการประเทศ แถมประทับตราให้ว่า เป็นรัฐบาลที่มาตามระบอบประชาธิปไตย
ช่วงประมาณสิบปีที่ที่ผ่านมา ที่ระบอบทักษิณได้อำนาจแทบจะเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในการบริหารประเทศ เราอาจจะรับรู้ได้ว่า ประเทศมีความเจริญก้าวหน้าไปกว่าเดิม ในด้านวัตถุ ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน การคมนาคม โดยเฉพาะระบบสื่อสารโทรคมนาคม แต่สภาพเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ไม่ได้ดีขึ้น พวกฐานพีรามิด ก็ยังเป็นฐานพีรามิด เหมือนเดิม
พูดง่ายๆว่า ประเทศชาติไม่ได้รวยขึ้น คุณภาพชีวิตของสังคมไม่ได้ดีขึ้น มีแต่ตระกูลของทักษิณ และพวกพ้องเท่านั้นที่มีอำนาจ และรวยขึ้นอย่างมหาศาล
รวยขึ้นมาจากการใช้ประชาธิปไตย เป็นเสื้อคลุม เป็นเกราะกำบัง ในการทุจริต ฉ้อฉล ออกกฎหมาย ตัดสินใจดำเนินโครงการต่างๆ ที่เอื้อประโยชน์ให้กับตัวเอง โดยฝ่ายที่คัดค้าน ไม่เห็นด้วย ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะเป็นเสียงข้างน้อย
จนกระทั่ง ทักษิณ ถูกปฏิวัติ รัฐประหาร จึงตกจากอำนาจ มีคดีติดตัว ต้องหนีออกนอกประเทศ
แต่ทักษิณ ก็ยังใช้อำนาจเงิน ลงทุนหมื่นล้าน เพื่อให้เครือญาติ พวกพ้อง กลับเข้ามาเป็นรัฐบาล มาบริหารงบประมาณแผ่นดิน วงเงินสองล้านล้าน ในแต่ละปีได้อีก
ทักษิณ สามารถส่ง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้เป็นน้องสาว ที่นอกจากไม่รู้เรื่องการบริหารประเทศ ไม่มีประสบการณ์ทางการเมือง แถมยังถูกตราหน้าว่าเป็นผู้หญิง "โง่" ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย โดยที่ไม่มีใครขัดขวางได้ เพราะว่ามาอย่างถูกต้อง มาตามระบอบประชาธิปไตย
ทำไมประเทศไทยต้องมาติดกับดักประชาธิปไตย ทำไมต้องเอาเศรษฐกิจของชาติมาผูกอยู่กับการเมืองที่ต้องแบ่งปันผลประโยชน์ให้ลงตัว การเมืองจึงจะนิ่ง เมื่อไรที่การเมืองมีปัญหา เศรษฐกิจก็ซวนเซไปด้วย ยิ่งการเมืองมีวิกฤตยืดเยื้อ เศรษฐกิจก็ถึงขั้นพังทลายได้
ทำไมเราไม่เหลียวมองประเทศเพื่อบ้าน ที่เขามีความเจริญเติบโตทางด้านเศรษฐกิจ อย่างสิงคโปร์ ที่เขาไม่จำเป็นต้องเป็นประชาธิปไตยแบบไทย ไม่เอาการเมืองไปผูกกับเศรษฐกิจ ในช่วงที่มีการเปลี่ยนผ่านอำนาจทางการเมือง ก็ไม่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ
ถ้าจะเถียงว่า สิงคโปร์เป็นประเทศเล็ก บริหารจัดการง่าย ประชากรจำนวนน้อย ประชากรมีคุณภาพ เขาย่อมทำได้ ถ้าอย่างนั้นขอให้มองไปที่ประเทศจีน ที่ไม่ได้ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย ประเทศใหญ่ มีประชากรเป็นพันล้านคน ผู้บริหารประเทศไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ทำไมเขาจึงพลิกจากประเทศที่มีฐานะยากจน ประชากรอดอยาก มาเป็นประเทศที่ร่ำรวย เป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจได้ภายในเวลาเพียงไม่นาน
เพราะผู้นำเขาไม่ยึดติดกับรูปแบบการเมือง การปกครอง ตามคำพูดของผู้นำ "เติ้งเสี่ยวผิง" ที่ว่า "ไม่ว่าจะเป็นแมวดำ แมวขาว ขอให้จับหนูได้ก็พอ"
ดังนั้นเมื่อเขาตั้งเป้าพัฒนาเศรษฐกิจ เพื่อนำพาประเทศชาติให้หลุดพ้นจากความยากจน จึงต้องปรับเปลี่ยนทัศนคติใหม่ ว่าการเมืองการปกครอง ไม่จำเป็นต้องยึดติดกับคำว่า คอมมิวนิสต์ หรือ ประชาธิปไตย ขอให้บรรลุเป้าหมายเป็นอันใช้ได้
เศรษฐกิจของจีน จึงไม่ผูกติดกับการเมือง เวลาการเมืองมีปัญหาก็ไม่กระทบกับเศรษฐกิจ ผู้บริหารที่ ทุจริต คอร์รัปชั่น ถูกตัดสินประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต ไม่ใช่แค่ถูกชี้มูลความผิด แล้วส่งไปให้สภาฯถอดถอนออกจากตำแหน่ง เหมือนประชาธิปไตยไทย ที่สุดท้ายก็ถอดถอนไม่ได้ เพราะเสียงของ"ประชาธิปไตย"ไม่ให้ถอดถอน
ล่าสุดนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ทำผิดกฎหมาย ถูกตัดสินให้พ้นตำแหน่ง แต่รัฐมนตรียังตะแบงรักษาการ ไม่ยอมลาออก ทั้งที่ต้องอยู่ภายใต้ข้อจำกัด ในการบริหาร เศรษฐกิจจะเสียหายแค่ไหน ช่างมัน มวลชนมากมายแค่ไหนจะมาไล่ก็ไม่ไป เพราะยังอยู่ได้ตามกติกาประชาธิปไตย
ถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่เราจะต้องหาวิธี ทลายกับดัก เลิกแคร์กับคำว่า "ประชาธิปไตย" ก่อนประเทศชาติจะล่มจม !!