xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“บิ๊กตู่” ลับ ลวง หลอก นั่งยิ้มแก้มตุ่ยดับฝัน “กำนัน”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก
ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -อย่าได้สงสัยไปเลยว่าทำไม “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.) ถึงไม่ขยับทำอะไรสักอย่างในยามหน้าสิ่วหน้าขวานเยี่ยงเวลานี้ แม้จะมีเหตุการณ์รุนแรงครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะนี่คือท่าทีอันมั่นคงไม่มีเปลี่ยนแปลงของชายชาติทหารผู้รักษากฎ กติกา มารยาท เหนือสิ่งอื่นใด “กองทัพต้องหนักแน่น จะทำตามใครเรียกร้องไม่ได้ .... รัฐประหาร ทำไปก็ไม่จบ”

กระนั้นก็ดี ไม่ใช่แค่ชัดเจนในเรื่องของการทำรัฐประหารเท่านั้น หากแต่การประกาศตัวประกาศจุดยืน รวมถึงการตัดสินใจเป็นหลักในการแก้วิกฤตของชาติที่กำลังเข้าตาจนอยู่ในขณะนี้ก็ไม่มีเล็ดลอดออกมาจากปากของ พล.อ.ประยุทธ์อีกเช่นกัน

พล.อ.ประยุทธ์กำลังสร้างภาพในเรื่องของความเป็นกลางอย่างเสมอต้นเสมอปลาย ซึ่งถ้าจะว่าไปแล้วก็มิต่างอะไรไปจากการนิ่งดูดายต่อปัญหาบ้านเมืองโดยที่ไม่ต้องการจะเข้ามาเป็น “หลัก” ในการแก้ไข

ที่หนักไปกว่านั้นอยู่ตรงที่มวลมหาประชาชนคนสงสัยใครรู้และอยากได้คำตอบจากพล.อ.ประยุทธ์ เหลือเกินว่า ทหารตำรวจจะดูแลไม่ให้เกิดความรุนแรงและที่พร่ำบอกว่ารักษากฎหมาย รักษากฎกติกา เสียเหลือเกินนั้น ดูแล รักษาอย่างไร จะดูแลได้สักแค่ไหน ที่เจ็บและตายกันไปเท่าไหร่แล้วยังจับมือใครดมไม่ได้ จะว่าอย่างไร

กระทั่งล่าสุดที่มีเหตุการณ์รุนแรงยิงถล่มผู้ชุมนุมกุล่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข(กปปส.). เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2557 ที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ทำให้มีผู้บาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก กดดันให้ “บิ๊กตู่” ออกมาคำรามผ่านแถลงการณ์ 7 ข้อ ที่ พ.อ.วินธัย สุวารี รองโฆษก ทบ. ออกมาชี้แจงคำแถลงของผบ.ทบ.

คำแถลงนั้นเป็นการประกาศกร้าวอาจใช้กำลังทหารเข้าคลี่คลายสถานการณ์หากจำเป็น ซึ่งถือเป็นท่าทีที่แข็งกร้าวขึ้นมาอีกนิดหนึ่งของพล.อ.ประยุทธ์ แต่จะช่วยยับยั้งไม่ให้เกิดเหตุร้ายขึ้นอีกได้หรือไม่ ก็น่าจะพอมีคำตอบล่วงหน้าเพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเหตุมีผู้บาดเจ็บล้มตาย และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกและคงไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่ “บิ๊กตู่” ขู่คำรามแล้วก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“5.ขอเตือนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มที่ใช้ความรุนแรงด้วยอาวุธสงครามต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ ให้หยุดการกระทำนั้นตั้งแต่บัดนี้ เพราะหากสถานการณ์ยังคงมีความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง ทหารอาจจำเป็น ต้องออกมาระงับเหตุการณ์ความรุนแรงอย่างเต็มรูปแบบ เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนและประเทศชาติโดยรวม

“6.หรือหากสถานการณ์รุนแรงมากขึ้น จนมีแนวโน้มถึงขั้นจะเกิดการจลาจล เพื่อความสงบเรียบร้อย กองทัพอาจมีความจำเป็นต้องใช้กำลังทหารเข้าคลี่คลายสถานการณ์ ในขั้นนั้นหากมีผู้หนึ่งผู้ใด หรือกลุ่มบุคคล หรือกองกำลังติดอาวุธ ตอบโต้กองทัพ หรือทำร้ายประชาชนผู้บริสุทธิ์อีก บุคคลผู้นั้นหรือกลุ่มบุคคลนั้นจะต้องถูก จนท.ใช้มาตรการทางกฎหมายปราบปรามอย่างเด็ดขาด โดยผู้ที่กระทำความผิดดังกล่าวอาจจะไม่สามารถเรียกร้องค่าเสียหายใดๆ ได้ เช่นกันกับกลุ่มบุคคลที่มีความคิด จะบุกรุกหรือปิดล้อมหน่วยทหาร ขอให้ยุติแนวคิดการกระทำดังกล่าวโดยทันที”

นั่นคือเนื้อหาสำคัญในแถลงการณ์ที่ดูเหมือนจะดุเดือดเลือดพล่านที่สุดของผบ.ทบ.คนนี้

กระนั้นก็ดี เสร็จสิ้นจากแถลงการณ์ก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ พล.อ.ประยุทธ์ด้วยความเคารพเหมือนเดิมว่า “ขอให้ทำจริงและอย่าคำรามจนเสียงแหบเสียงแห้งเหมือนที่ผ่านมาก็แล้วกัน”

อย่างไรก็ตาม ความน่าสนใจของแถลงการณ์ยังไม่หมดเพียงแค่นั้น เพราะมีอีกหลายข้อซึ่งอาจสะท้อนถึงความรู้สึกที่แท้จริง ของ พล.อ.ประยุทธ์เพราะนอกจาก 2 ข้อข้างต้นแล้ว แถลงการณ์ฉบับนี้ยังมีเนื้อหาสาระที่ฟังดูแล้วทะแม่งๆ กล่าวคือหากท.ทหาร ยังอดทน ไม่ออกมาระงับเหตุ ก็อย่ามาว่ากล่าวกัน เพราะถ้าใครมาดูแคลนทหารว่าท่าดีทีเหลวก็ขอให้ไปอ่านแถลงการณ์ข้อ 3. และ 4. ให้ขึ้นใจ เดี๋ยวจะหาว่าพล.อ.ประยุทธ์ ใจร้าย

“3.การที่หลายฝ่ายกล่าวพาดพิง ผบ.ทบ และผบ.เหล่าทัพว่า อยู่เฉย ไม่ดำเนินการใดๆ ขอเรียนว่า กองทัพได้ดำเนินการทุกอย่างมาด้วยความระมัดระวังอย่างต่อเนื่อง เพราะปัญหาในครั้งนี้มีความซับซ้อน และมีผลกระทบในหลายมิติ

“4. ขอเตือนผู้ที่กล่าวให้ร้ายกองทัพ ให้ระมัดระวังคำพูด ซึ่งถือว่าเป็นการหมิ่นเกียรติยศ และศักดิ์ศรีของกองทัพทหารทุกคนไม่สามารถยอมรับได้”

พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้บอกว่าจะจัดการกับพวกหมิ่นเกียรติ ไม่ระวังคำพูดอย่างไร จะมีการส่งลูกน้องไปเยี่ยมเยียนถึงบ้านอย่างที่เคยทำมาแล้วหรือไม่ ไม่มีใครรู้ แต่นั่นไม่ใช่สาระสำคัญในตอนนี้เพราะสิ่งที่สังคมคาดหวังต่อท่าทีและบทบาทของทหารหาญในยามบ้านเมืองหน้าสิ่วหน้าขวานและกำลังหาทางออกจากวิกฤตนั้นสำคัญกว่าเรื่องไหนๆ และผบ.ทบ.อย่าทำให้คนไทยต้องผิดหวังซ้ำซาก

ดังเช่นกรณีคณะนายทหารแก่ในชื่อ "คณะรัฐบุคคล" ที่นำโดยพล.อ.สายหยุด เกิดผล ประธานคณะ จะส่งตัวแทนไปยื่นหนังสือถึงเหล่าทัพและแถลงเรียกร้องให้ผู้บัญชาการเหล่าทัพเป็นคณะผู้ทูลเกล้าฯ และรับสนองพระบรมราชโองการ พร้อมกับตั้งกองกำลัง 3 เหล่าทัพ ปกป้องพระบรมราชโองการเพื่อควบคุมดูแลให้การดำเนินการแก้ไขปัญหาวิกฤตของประเทศชาติ ให้เป็นไปตามพระบรมราชโองการฯ แต่สุดท้ายก็ได้รับประทานแห้วกันถ้วนหน้า

ความจริงที่บอกแล้วและต้องบอกอีกหลายๆ ครั้งก็คือว่า พล.อ.ประยุทธ์ เป็นชายชาติทหารที่รักษากฎ กติกา มารยาท เหนือสิ่งอื่นใด อย่าไปเสียเวลาใช้ความพยายามให้เปลืองเปล่าและหวังว่าเขาจะออกหน้ามาช่วยแก้ปัญหาบ้านเมืองเสียให้ยาก ก็คนใกล้จะเกษียณอยู่ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้แล้ว จะให้เอามือไปซุกหีบหาเรื่องให้เปลืองตัวทำไม สู้รักษาตำแหน่งหน้าที่ไปจนถึงวันสุดท้ายแล้วรอรับรางวัลพิเศษจากใครบางคนที่พอรู้ๆ กันอยู่หลังเกษียณไม่ดีกว่าหรือ

ฝ่ายประชาชนที่เคลื่อนไหวไล่ระบอบทักษิณ ที่อยากให้ทหารออกหน้าเป็นตัวเข้าฮอร์สเพื่อชัยชนะ ก็ควรไปหากลุ่มนายทหารหนุ่มไฟแรงที่อุทิศตนรับใช้ประเทศชาติประชาชนที่มีจิตวิญญาณเหมือน “มะโหนก” ซึ่งคงพอมีอยู่บ้างในเหล่าทัพให้มาช่วยกู้ชาติไม่ดีกว่าหรือ?

การปฎิเสธที่นับครั้งไม่ถ้วนจากปากพล.อ.ประยุทธ์ หลังได้รับหนังสือจากคณะรัฐบุคคลว่า ได้รับหนังสือพร้อมเอกสารจากคณะรัฐบุรุษและได้อ่านแล้ว แต่กองทัพก็เพียงรับทราบเท่านั้น เรื่องดังกล่าวเป็นเพียงแนวคิดของคณะรัฐบุคคล และเป็นการเสนอมาให้พิจารณาไม่ใช่การบังคับ ไม่ใช่เรื่องที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายแต่อย่างใด

“ข้อเสนอจะทำได้หรือไม่ได้ ก็อยู่ที่กฎ กติกา การยอมรับ ความเหมาะสมและอื่นๆ อีก มากมาย ที่ต้องศึกษาในรายละเอียดเพื่อไม่ให้เกิดข้อขัดแย้งเพิ่มขึ้นในอนาคต”

“คงไม่ใช่ว่าทหารเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยอย่างเดียวแล้วทำได้เลย ต้องผ่านกระบวนการอีกมาก ต้องผู้มีหน้าที่โดยตรงตรวจสอบเรื่องนี้ให้ชัดเจนก่อนอยู่แล้ว แต่ทหารก็ขอชื่นชมที่ท่านต่างๆ เหล่านั้นมีความจงรักภักดี ตั้งใจมุ่งหวังทำให้บ้านเมืองสงบ ดีกว่าหลายคนหลายพวกที่ไม่ทำอะไร ได้แต่ตำหนิคนอื่นโดยไม่คำนึงว่าประเทศชาติเสียหายมามากแล้ว” พล.อ.ประยุทธ์ ทิ้งท้ายแบบตบหัวแล้วลูบหลังอย่างเนียนๆ

อย่าผิดหวังและคาดหวังกันให้มากไปเลย เพราะหากยังจำกันได้ก่อนหน้านี้ไม่นาน พล.อ.ประยุทธ์ ก็บอกแล้วว่า “ทหารต้องรักษาความมีเสถียรภาพของรัฐไว้ให้ได้หากยังทะเลาะกันทุกหย่อมหญ้า มีความรุนแรงเกิดขึ้นหากทหารและตำรวจไม่ดูแลตรงนี้ก็ถือว่าเป็นรัฐที่ล้มเหลว วันนี้เราจึงพยายามรักษาตัวนี้ไว้เพื่อให้ทุกพวกทุกฝ่ายหาทางคลี่คลายลงให้ได้ ว่าจะทำอย่างไรไม่ให้ไปสู่ความเป็นรัฐที่ล้มเหลว จะอ้างเหตุผลโน้นนี่กันมันไม่มีทางจบอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นต้องหาทางออกกันให้ได้ ทุกฝ่ายต้องออกมาหารือกัน ผมคิดว่าเงื่อนไขก็มีอยู่แล้ว เมื่อมีเงื่อนไข มันก็มีความขัดแย้งต้องว่าเงื่อนไขมันมีอะไรกัน ผมไม่รู้ไปเสนออะไรได้”

“ไม่ได้ว่าใครผิดใครถูก แต่หากจะให้พูดก็ผิดด้วยกันทั้งสองฝ่าย หรือจะว่าถูกก็ถูกด้วยกันทั้งสองฝ่าย ก็ต้องไปแก้กันเอง หรือจะให้กระบวนการยุติธรรมตัดสินออกมาแล้วก็ให้ไปแก้กัน หากยังไม่ทำอะไรกันเลยมันก็อยู่อย่างนี้ หาทางจบไม่ได้เพราะมันมีเงื่อนไขกันอยู่ ก็ต้องหาทางให้ได้ว่า มันผิดมันถูกที่ไหน อย่าเอาทหารไปอยู่ข้างใดข้างหนึ่ง ทหารมีหน้ารักษากฎหมาย รักษากฎกติกา ไม่เข้าข้างไหน” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวขณะเดินทางไปร่วมงานสถาปนาหน่วย พล.ร.7 จ.เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 29 เม.ย.2557 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงจุดยืนอย่างชัดเจน

ไม่แปลกแต่อย่างใด เมื่อพล.อ.ประยุทธ์ ย้ำจุดยืนเช่นนั้น จะพลอยทำให้ พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก ปลัดกระทรวงกลาโหม ออกมาช่วยสำทับว่า "ต้องยอมรับว่า ผบ.ทบ.ในฐานะรอง ผอ.รมน.ที่มีอำนาจหลายอย่างอยู่ในมือพยายามประคับประคองสถานการณ์ร้ายแรง โดยให้สัมภาษณ์ทุกคำพูดให้ทุกกลุ่มทุกฝ่าย ยึดถือในกรอบกติกาของกฎหมายซึ่งเป็นการเตือนให้ทุกฝ่าย ไม่ทำอะไรนอกเหนือกรอบของกฎหมาย ซึ่งถ้าเป็นอย่างนี้ทุกอย่างก็จะเป็นไปตามครรลองของบ้านเมือง

“ผบ.ทบ.ท่านมีความปรารถนาดีที่จะทำอะไรให้บ้านเมืองโดยยึดกรอบกติกา และไม่ได้หักหาญน้ำใจ แสดงออกให้เห็นว่า ใครจะทำอะไรนอกเหนือจากกรอบกติกาไม่ได้”

“การไม่ทำตามกฎหมายหรือใครจะทำอะไรก็ได้ร้อยอย่างพันอย่างตามใจตนเอง จะทำให้เกิดความวุ่นวาย แต่หากทำตามกฎหมายสามารถทำได้เพียงอย่างเดียว สังคมก็สามารถจะอยู่ได้โดยปราศจากความขัดแย้งรุนแรง เพราะฉะนั้นเราต้องคำนึงถึงกรอบของกฎหมายเป็นสำคัญเพื่อสังคมจะสามาระเดินไปข้างหน้าได้อย่างสันติสุข” ปลัดกระทรวงกลาโหม ที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในทหารแตงโม ช่วยย้ำว่า ท่าทีของพล.อ.ประยุทธ์ ที่อยู่ในกฎกติกามารยาทนั้นถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์อย่าได้หวั่นไหวไปกับเสียงเรียกร้องใดๆ

เช่นเดียวกัน เมื่อมีการโหมกระแสรัฐประหารขึ้นมาในโลกโซเชียลมีเดียคราวใด พันเอกวินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ก็รีบออกมาชี้แจงทันทีเพราะไม่เช่นนั้นอาจทำให้ชื่อเสียงวงศ์ตระกูลของผบ.ทบ.มัวหมองได้ว่าไม่รักประชาธิปไตย ไม่รักษากฎกติกามารยาท ชอบใช้กำลัง

ดังช่วงจังหวะเวลาที่คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) เคลื่อนทัพต่อสู้ยกสุดท้ายนับแต่วันที่ 9 พ.ค. เป็นต้นมา ก็ปรากฏข่าวลือออกมารับการเคลื่อนไหวว่าจะมีการรัฐประหาร ทางพันเอกวินธัย ก็ออกมาปรามอย่าเชื่อข่าวลือทหารกำลังเตรียมทำรัฐประหาร ดับกระแสทันควัน

ขนาดเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างกรณีที่ กปปส.นำมวลชนเข้าไปตั้งโต๊ะแถลงการณ์ในทำเนียบรัฐบาล กองทัพยังร้อนตัวออกมาชี้แจงกันอย่างจ้าละหวั่นว่าไม่ได้อนุญาต หากแต่ถูกนายสุเทพใช้กำลังเข้าบุกรุก พร้อมทั้งส่ง พ.อ.สมบัติ ธัญญะวัน ผู้บัญชาการเหตุการณ์ควบคุมพื้นที่ทำเนียบรัฐบาลออกมาแถลงข่าวร่วมกับนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ในฐานะเลขานุการศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย หรือ ศอ.รส.

“ทหารไม่ได้อนุญาตให้กลุ่มผู้ชุมนุมเข้ามาภายในทำเนียบรัฐบาล โดยได้มีการป้องกันจนสุดความสามารถ แต่กลุ่มผู้ชุมนุมก็ได้ใช้วิธีการตัดกุญแจ ปีนรั้ว และงัดหน้าต่างเข้ามาภายใน”พ.อ.สมบัติยืนยัน

งานนี้ เห็นได้ชัดเจนว่า “บิ๊กถั่งเช่า” ปล่อยให้ “กำนันสุเทพ” นายสุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำกปปส. และหลายฝ่ายที่ลุ้นให้ทหารออกมาทำหน้าที่เพื่อ “ชาติ ศาสน์ กษัตริย์และประชาชน” ต้องฝันค้าง แต่กระนั้นกำนันก็ยังหน้าชื่นอกตรมรักษาความสัมพันธ์รู้เขาหลอกแต่เต็มใจให้หลอกอยู่นั่น


เหตุการณ์ยิง M79 และ M16 เข้าใส่ผู้ชุมนุมกลุ่ม กปปส.บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ซึ่งส่งผลทำให้มีผู้เสียชีวิต 3 รายและบาดเจ็บ 23 ราย น่าจะเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้กองทัพบกต้องออกแถลงการณ์ที่ดุเดือดเลือดพล่านตามมา


กำลังโหลดความคิดเห็น