ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-มาถึงวันนี้ ดูเหมือนว่า สถานการณ์ของผู้ชุมนุมกลุ่ม“คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหา กษัตริย์ทรงเป็นประมุข” หรือ กปปส. ที่ “นายสุเทพ เทือกสุบรรณ” เป็นแกนนำจะตกอยู่ในสภาวการณ์ที่มิได้มีเปรียบเหนือระบอบทักษิณและรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เสียด้วยซ้ำไป
เผลอๆ จะตกอยู่ในสภาพก้ำกึ่งคือไม่มีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดชนะหรือแพ้อย่างเด็ดขาดอีกต่างหาก
เพราะนับแต่การชุมนุมวันแรกจนถึงวันนี้ นายสุเทพก็มิได้ทำให้เห็นเลยว่า จะใช้วิธีการใดในการเผด็จศึกระบอบทักษิณและรัฐบาลยิ่งลักษณ์ให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด เป็นการ “ปฏิวัติประชาชน” เพื่อนำไปสู่การปฏิรูปประเทศไทยให้ดีขึ้นอย่างที่ได้ประกาศไว้ประการใด แถมรายละเอียดของพิมพ์เขียวในการปฏิรูปไม่ปรากฏให้เห็นเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะประเด็นเรื่องการปฏิรูปพลังงานที่นายสุเทพและกปปส.ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก
ขณะที่ฝั่งรัฐบาลเอง แม้จะง่อยเปลี้ยเสียขาลงใกล้เคียงกับความเป็นรัฐล้มเหลวเข้าไปทุกที แต่นักโทษชายหนีคดีก็ยังไม่ยอมแพ้และฮึดสู้ยิบตา เพราะรู้อยู่เต็มอกว่า นอกจาก “ตำรวจ” จะทำงานรับใช้ใกล้ชิดเต็มกำลังแล้ว ยังมี “บิ๊กถั่งเช่า” ยืนเป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็กให้อีกต่างหาก ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ กรณีการจับกุมมือปืนที่ลอบสังหาร “นายขวัญชัย ไพรพนา” ประธานชมรมคนรักอุดร ซึ่งถ้าหากไม่มีทหารบางคนแอบส่งข้อมูลให้ ถามว่า ตำรวจจะมีปัญญาไปควานหาตัวจากไหน ขนาดคดียิง “นายสุทิน ธราทิน” และเหตุปาระเบิดที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิที่มีการโพสต์ภาพมือยิงและมือปากันว่อนโลกออนไลน์ ตำรวจยังไม่สนใจทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย
ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือ เมื่อกปปส.ไม่สามารถล้มระบอบทักษิณได้ในเร็ววัน และปล่อยสถานการณ์ให้ดำเนินเช่นนี้ต่อไปสิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือผลกระทบที่มีต่อระบบเศรษฐกิจ ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่ามีความรุนแรง ทั้งจากรัฐบาลรักษาการณ์ที่ไม่สามารถอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและภาคเอกชนที่กำลังเผชิญกับสภาวะเศรษฐกิจถดถอย
ด้วยเหตุดังกล่าว จึงเป็นที่มาของเรื่องร้อนที่ถูกปล่อยออกมาในช่วงนี้ ซึ่งมวลมหาประชาชนกำลังจับตาชนิดไม่อาจกระพริบตาได้ นั่นก็คือ กระแสข่าวเรื่องการเปิด “โต๊ะเจรจา” ระหว่างขั้วอำนาจทั้ง 2 ฝ่าย โดยมี “ทหารใหญ่” ยืนทะมึนเป็นตัวเชื่อมอยู่เบื้องหลัง
ตัวละครที่ปรากฏชื่อประกอบไปด้วยตัวละครเอก 5 คนด้วยกัน
คนแรกคือนายวัฒนา เมืองสุข ซึ่งเป็นที่รับรู้กันว่าคือตัวแทนของนักโทษชายหนีคดี
คนที่สองคือนายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ อดีตเลขาธิการธิการนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งมีความใกล้ชิดและเป็นพี่ชายของ “ศรีสกุล” ภรรยาของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำกปปส. รวมถึงมีสายสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับคนระดับ “ซูเปอร์วีไอพี”
คนที่สามคือนายวิษณุ เครืองาม เนติบริกรที่เคยเป็นเลขาธิการคณะรัฐมนตรีมาหลายยุคหลายสมัคร รวมทั้งเป็นอดีตรองนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ซึ่งว่ากันว่าเป็นตัวแทนของเทคโนแครตที่จะมาเป็นตัวขับเคลื่อนรัฐบาลคนกลางที่จะมาทำหน้าที่หลังจากรัฐบาลยิ่งลักษณ์พ้นไปจากอำนาจ
ส่วนคนที่ 4 และคนที่ 5 รายงานข่าวแจ้งว่าเป็นนายทหารระดับบิ๊กเนมที่บิ๊กถั่งเช่าสาย “บูรพาพยัคฆ์” ให้ความเคารพนับถือ
รายงานข่าวจากสื่อหลายสำนักระบุตรงกันว่า การเจรจาโดยบุคคลกลุ่มนี้เกิดขึ้นมาแล้วอย่างน้อย 2 ครั้ง โดยครั้งล่าสุดคือเมื่อวันศุกร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ และวันเสาร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2557 ที่ผ่านมานี้นี่เอง
ไม่เป็นที่แน่ชัดว่า โต๊ะเจรจาดังกล่าวมีข้อสรุปว่าอย่างไร และแต่ละฝ่ายมีข้อเสนออย่างไร
กระนั้นก็ดีเมื่อได้ฟังคำให้สัมภาษณ์ของ “ถาวร เสนเนียม” หนึ่งในแกนนำคนสำคัญของ กปปส.เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2557 ทางรายการเจาะลึกทั่วไทยอินไซต์ไทยแลนด์ เอฟเอ็ม 97.0 เมกะเฮิร์ต ก็สามารถจับอาการที่ไม่ธรรมดาและส่อเค้าให้เห็นว่า มีการพูดคุยของคนกลุ่มดังกล่าวบนโต๊ะเจรจาจริง
นายถาวรระบุชัดเจนโดยยอมรับว่า โต๊ะเจรจาของกลุ่มคนตามที่ตกเป็นข่าวนั้นคือเรื่องจริง และมีการเจรจากันมาสักระยะหนึ่งแล้ว
นายถาวรระบุชัดเจนโดยยอมรับว่า การแก้ปัญหาและการปฏิรูปเพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้นั้น จะต้องมีการ “สลายสีเสื้อ” ให้หมดไป แถมบอกด้วยว่า การปฏิรูปที่เกิดขึ้นถ้าให้กปปส.ทำฝ่ายเดียวก็ไม่มีวันสำเร็จ เช่นเดียวกับให้รัฐบาลทำฝ่ายเดียวก็ไม่วันสำเร็จ แต่ทั้งสองฝ่ายจะต้องร่วมมือกันทำ
นายถาวรระบุชัดเจนโดยยอมรับว่า เงื่อนไขต่างๆ ที่กำนันสุเทพและกปปส.ประกาศออกมาบนเวทีเป็นเพียง “ข้อเสนอ” ที่รัฐบาลสามารถ “เจรจาต่อรองได้”
แม้นายถาวรจะย้ำว่า เป็นความคิดเห็นส่วนตัว มิใช่มติของ กปปส. แต่คนทั้งโลกย่อมรู้ดีว่า นายถาวรกับนายสุเทพนั้นมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งเพียงใด ไม่เช่นนั้นจะตัดสินใจลาออกจาก ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ตามนายสุเทพเพื่อมาขึ้นเวที กปปส.หรือ
13 กุมภาพันธ์ 2557 นางสาวยิ่งลักษณ์ได้ให้สัมภาษณ์ถึงความพยายามที่จะให้มีคนกลางเจรจาเพื่อยุติความขัดแย้งว่า อะไรที่ทำให้บ้านเมืองสงบก็ยินดีความร่วมมือ รับฟัง แต่อย่างไรก็ตาม ก็คงต้องพูดว่า ต้องอยู่ในวิสัยที่เรียกว่าเจรจาเลย เพราะจริงๆ แล้วต้องมีเรื่องของขั้นตอนตามกฎหมาย ว่ามีสิ่งไหนที่ปฏิบัติได้ และสิ่งไหนที่ปฏิบัติไม่ได้ สิ่งไหนปฏิบัติได้แล้วเป็นสิ่งที่ดีก็ยินดีทำ
เมื่อถามว่า มองอย่างไรที่มีการเสนอชื่อ นายวิษณุ เครืองาม กรรมการสถาบันพระปกเกล้า อดีตรองนายกฯ เข้ามาเป็นคนกลางในการเจรจา
นางสาวยิ่งลักษณ์ตอบว่า ท่านเป็นผู้ที่มีความรู้ อย่างที่บอกว่า อย่ามองว่าตนเองเป็นตัวการของคู่ความขัดแย้งเลย เพราะบางอย่างไม่ใช่ที่ตัวดิฉัน แต่เป็นเรื่องของข้อกฎหมายบ้าง ระเบียบบ้าง แนวทางตามรัฐธรรมนูญบ้าง ก็คงต้องให้ผู้ที่รู้ได้ช่วยกันคิดมากกว่า ว่าบ้านเมืองจะมีทางออกอย่างไร เพราะไม่ใช่ว่าคุยกับคน 2 คนแล้วจะจบได้ เราตกลงขั้นตอนอย่างหนึ่ง วิธีการและขั้นตอนการปฏิบัติจะทำอย่างไร ผู้ที่ถือกติกาจะทำได้หรือเปล่า ฉะนั้นจะมีองค์ประกอบเยอะ
นั่นแสดงว่า นางสาวยิ่งลักษณ์มิได้ปฏิเสธแนวทางในการเจรจาชนิดตัดบัวไม่เหลือใย
และถ้าสถานการณ์จะจบลงบนโต๊ะเจรจาจริง มีความเป็นไปได้สูงว่า สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปนี้ก็คือ การโหมกระพือข่าวออกมาว่า ประเทศชาติกำลังย่ำแย่ เศรษฐกิจกำลังจะ พินาศย่อยยับ ถ้าไม่ สามารถแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น โดยจะมีทั้งนักธุรกิจดาหน้ากันออกมาให้ความเห็นเพื่อโน้มน้าวให้ประชาชนเห็นดีเห็นงามด้วย เช่น ตัวเลขส่งออกลดลง ดัชนีความเชื่อความของผู้บริโภคตกต่ำ สินค้าอุบโภคบริโภคขายได้น้อยลง ฯลฯ จากนั้นก็จะปรากฏรายชื่อคนที่จะมาเป็นคนกลางที่ประชาชนยอมรับออกมาเป็นระยะๆ
แน่นอน ข่าวที่ปล่อยออกมาก็คือการโยนหินถามทาง เพื่อหยั่งกระแสความรู้สึกของมวลมหาประชาชนว่าจะเห็นด้วยหรือไม่
นี่คือความจริงที่มวลมหาประชาชนต้องรับรู้
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่มวลมหาประชาชนต้องช่วยกันภาวนาก็คือ หวังว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงหนึ่งใน “กลศึก” เพื่อหยั่งตื้นลึกหนาบางของศัตรูเท่านั้น มิใช่เรื่องที่กำนันสุเทพจะนำมาปฏิบัติจริงแต่ประการใด เพราะถ้าเป็นเรื่องจริงนั่นเท่ากับเป็นการทรยศประชาชน ซึ่งผลที่เกิดกับนายสุเทพ รวมถึงพรรคประชาธิปัตย์จะรุนแรงชนิดที่คาดไม่ถึงทีเดียว