xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

จิกหมอนคั่นเวลามาตรา 7

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - วินาทีนี้ ต้องบอกว่า การเมืองไทยกำลังร้อนระอุและทวีความดุเดือดชนิดที่สายน้ำแห่งเทศกาลสงกรานต์ไม่สามารถคลี่คลายให้เย็นลงได้ โดยเฉพาะ อย่างยิ่งเมื่อ “นักโทษชายหนีคดีทักษิณ ชินวัตร” แบไต๋เผย “ไพ่ลับ” ในมือออกมาให้เห็นหลังเป็นที่แน่ชัดว่า รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้เป็นน้องสาวต้องรับโทษทัณฑ์ทางการเมืองจากคดีโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

ขณะที่ “นายสุเทพ เทือกสุบรรณ” เลขาธิการคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือ “กปปส.” หลังประกาศสถาปนา “รัฏฐาธิปัตย์” เมื่อนายกฯ ยิ่งลักษณ์และคณะรัฐมนตรีพ้นจากเก้าอี้ ก็เร่งเกมในการทำสงครามครั้งสุดท้ายไม่แพ้กัน ทั้งการเดินสายแสวงหาแนวร่วมจากข้าราชการตามกระทรวง ทบวง กรมต่างๆ รวมถึงการตั้งวงถกกับเครือข่ายรัฐวิสาหกิจในการทำศึกหลังมะม่วงหล่นครั้งนี้

กระนั้นก็ดี ยุทธวิธีล่าสุดที่ทั้ง 2 ฝ่ายหยิบยกขึ้นมาต่อสู้กัน นอกจากจะมีการระดมสรรพกำลังและมวลชนออกมาประลองกำลังกันแล้ว ยังมีการชิงไหวชิงพริบในการนำ “มาตรา 7” ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยมาใช้โดยเฉพาะฝั่งรัฐบาลที่มอบหมายให้ “นายชัยเกษม นิติสิริ” อดีตอัยการสูงสุดที่บัดนี้รั้งเก้าอี้รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมออกมาเปิดประเด็นในเรื่องมาตรา 7 เพื่อยื้ออำนาจในการบริหารราชการแผ่นดินเอาไว้

อย่างไรก็ตาม แม้สงครามจะงวดเข้ามาทุกที มะม่วงใกล้จะหล่นอยู่รอมร่อ แต่ดูเหมือนว่า จุดชี้เป็นชี้ตายของทั้งสองฝ่ายยังคงย่ำอยู่ที่เดิมคือ ท่าทีของ “ผู้นำเหล่าทัพ” โดยเฉพาะ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ซึ่งยังคงทำเป็นทองไม่รู้ร้อน เพราะในระหว่างที่ทั้งสองฝ่ายกำลังจิกหมอนคั่นรอเวลามะม่วงที่ยังไม่รู้ว่าจะหล่นมาเมื่อไหร่ ทั้งนายสุเทพและระบอบทักษิณก็มีคาถาเด็ดที่ถูกส่งผ่านไปถึง พล.อ.ประยุทธ์ว่า “อย่าลืมฉัน”

เป็นประโยคทองที่มวลมหาประชาชนกำลังลุ้นระทึกว่า สุดท้ายใครจะถูกลืม

** “แม้ว” คุมทัพฮ่องกง
เปิดเกมเจรจา- ม.7สู้ศึก

ทั้งนี้ ความเคลื่อนไหวที่สำคัญและน่าสนใจของนายใหญ่คนเสื้อแดงในช่วงเทศกาลสงกรานต์มีอยู่ 2 เหตุการณ์ด้วยกัน
เหตุการณ์แรกเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 14 เมษายน 2557 ในระหว่างที่น้องสาวสุที่รัก “เจ๊แดง-นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์” นำทีมข้าราชการ ท้องถิ่น และมวลชนเชียงใหม่ รดน้ำดำหัว พร้อมขอพร พ.ต.ท.ทักษิณ เนื่องในเทศกาลปี๋ใหม่เมืองผ่านระบบสไกป์ จากสำนักงานพรรคเพื่อไทย ต.ต้นเปา อ.ส้นกำแพง จ.เชียงใหม่ ไปยังกรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน

และในการนี้ นายใหญ่คนเสื้อแดงได้กล่าวเป็นคำเมืองว่า “ปีใหม่เป็นประเพณีสำคัญที่ผู้คนดำหัวสูมาอภัย (ขอโทษ) เลิกคิดอาฆาต จองเวร ซึ่งรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ พร้อมเจรจาทุกฝ่าย เพื่อให้ประเทศกลับสู่ภาวะปกติ แต่ต้องพูดคุยในระบบประชาธิปไตยเท่านั้น โดยครอบครัวชินวัตรไม่เคยเห็นแก่ตัว แต่ยึดหลักการ ยึดมั่นหลักประชาธิปไตย พร้อมเสียสละให้คนส่วนใหญ่ ไม่ใช่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง และจะหาทางออกให้ดีที่สุด ขอบคุณทุกคนที่มารดน้ำดำหัว ขอให้มีความสุขนักๆ (มากๆ)”
การที่นักโทษชายหนีคดีประกาศชัดว่า “พร้อมเจรจาทุกฝ่ายเพื่อให้ประเทศกลับสู่ภาวะปกติ” คือสิ่งที่ต้องมาแสวงหาคำตอบว่า มีบริบทระหว่างบรรทัดอย่างไร

ขณะที่ เหตุการณ์ที่สอง ดำเนินการผ่าน “นายชัยเกษม นิติสิริ” อดีตอัยการสูงสุดที่ปวารณาตัวรับใช้นักโทษชายหนีคดีจนได้รับการคัดเลือกให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ซึ่งได้ออกมาเปิดประเด็นร้อนด้วยการเสนอให้ใช้ “มาตรา 7” ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยเพื่อนำความขึ้นกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเพื่อขอพระราชทานพระบรมราชวินิจฉัยในกรณีที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ต้องพ้นจากเก้าอี้ตามคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญ

การเปิดประเด็นเรื่องมาตรา 7 ย่อมมิใช่สิ่งที่นายชัยเกษมคิดและทำเพียงคนเดียว หากแต่ต้องผ่านการไตร่ตรองมาอย่างรอบคอบในทุกแง่มุมทางกฎหมาย และที่สำคัญคือต้องได้รับอนุญาตจากนายใหญ่คนเสื้อแดงมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

สำหรับกรณีแรก การที่นักโทษชายทักษิณพร้อมที่จะเจรจากับทุกฝ่ายเพื่อให้ประเทศกลับสู่สภาวะปกตินั้น ถือเป็นการสร้างภาพและข่มขู่อยู่ในที ประหนึ่งว่า ตัวเองเป็นคนดีพร้อมที่จะเสียสละทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อความสงบสุขของบ้านเมือง แต่ซ่อนดาบเอาไว้ในรอยยิ้มว่า ถ้าไม่เจรจาก็อย่าหวังว่าบ้านนี้เมืองนี้จะสงบสุขอีกต่อไป

คำถามก็คือ นักโทษชายทักษิณและรัฐบาลยิ่งลักษณ์จะเจรจากับใคร จะเจรจาเรื่องอะไร
แน่นอน การเจรจาครั้งนี้มีความเป็นไปได้สูงที่จะขอเจรจาเรื่องคดีความที่จะเกิดกับนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรผู้เป็นน้องสาว เพราะที่ปรึกษาทางกฎหมายหรือบรรดาเนติบริกรเสื้อแดงคงมีความเห็นตกผลึกไปในทิศทางเดียวกันแล้วว่า โอกาสที่จะรอดคดีเป็นไปได้ยาก และผลสุดท้ายของคดีย่อมนำไปสู่การติดคุกติดตะรางเป็นแน่แท้

คดีที่ว่านั้น ย่อมนี้ไม่พ้นคดีโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรีซึ่งจะเป็นดาบแรกที่ทำให้รัฐบาลทั้งคณะพ้นไปจากอำนาจ ตามต่อด้วยคดีทุจริตในโครงการรับจำนำข้าวที่จะตามมาและมีโทษสูงสุดถึงขึ้นติดคุกติดตะรางด้วยโทษทัณฑ์ที่หนักหนาสาหัสกว่าโคลนนิ่งผู้พี่เสียอีก

เมื่อเป็นเช่นนั้นก็หมายความว่า นักโทษชายหนีคดีและตระกูลชินวัตรจะขอเจรจากับศาลรัฐธรรมนูญ หรือคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)

เข้าทำนอง “รบไป-เจรจาไป” ใช้ทุกวิถีทางเพื่อรักษาอำนาจเอาไว้ให้ได้

นอกจากนี้ การเจรจาดังกล่าวยังหมายรวมไปถึงการเจรจาทางการเมือง ซึ่งข้อมูลจากทุกสายระบุตรงกันว่า การเจรจาเกิดขึ้นในวงลับกันเกือบทุกฝ่าย เพียงแต่ยังไม่ประสบความสำเร็จให้เห็นเป็นรูปธรรมเท่านั้น

ทั้งนี้ การเจราจาที่ถูกเปิดเผยออกมาก่อนหน้านี้มีตัวละครเอกเกี่ยวข้องหลายคนด้วยกัน คนแรกคือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมที่เจรจากับกองทัพ คนที่สองคือนายวิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกรัฐมนตรีรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณเจรจากับนักกฎหมาย คนที่สามนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยประสานกับพรรคร่วมรัฐบาล คนที่สี่นายวัฒนา เมืองสุข อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ประสานกับชนชั้นสูงในสังคมไทยและคนที่ห้านายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ อดีตเลขาธิการนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ประสานกับกปปส. และพรรคประชาธิปัตย์

และการเปิดประเด็นเรื่องการเจรจาก็ถูกเด้งรับจากพรรคประชาธิปัตย์ในฉับพลันทันทีเช่นกัน

นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่าพรรคประชาธิปัตย์พร้อมที่จะหารือกับทุกพรรคการเมืองเพื่อหาทางออกจากวิกฤตทางการเมือง หากน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เปิดโอกาสในการเจรจากับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. ส่วนที่มีข่าวจากพรรคเพื่อไทยระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณใช้เครือข่ายนักการเมืองและอดีตรัฐมนตรีเจรจากับฝ่ายต่างๆ รวมถึงพรรคประชาธิปัตย์ด้วยนั้น ตนมองว่าการเจรจา พูดคุยกับทุกฝ่ายนั้นเป็นแนวทางที่พรรคประชาธิปัตย์สนับสนุน แต่ต้องยึดตามกรอบของกฎหมาย เพื่อหาจุดลงตัวที่ทุกฝ่ายยอมรับโดยไม่มีการประนีประนอมการบังคับใช้กฎหมายกับบุคคลใดๆ ทั้งสิ้น

และหลังเปิดเกมเจรจาได้ไม่นานนัก นักโทษชายหนีคดีก็ได้ส่งชุดความคิดชุดที่ 2 ออกมาผ่าน “นายชัยเกษม นิติสิริ” รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ที่เปิดกระแสเพิ่มอุณหภูมิสงกรานต์ด้วยการเสนอใช้รัฐธรรมนูญมาตรา 7

แน่นอน งานนี้ย่อมไม่ใช่แค่การโยนหินถามทาง ไม่ใช่การทำปืนลั่นและไม่ใช่เรื่องสมมติเหมือนที่นายสุเทพใช้อธิบายในเรื่องรัฏฐาธิปัตย์ หากแต่เป็นข้อเสนอซึ่งเป็นชุดความคิดที่เป็นไปได้จริงในการปฏิบัติ และที่สำคัญคือต้องผ่านการกลั่นกรองจากนักโทษชายหนีคดีทักษิณ ชินวัตรมาแล้ว

ต้องไม่ลืมว่าชัยเกษม นิติสิริคือใคร

เขาคืออดีตอัยการสูงสุดที่สร้างผลงานซึ่งมวลมหาประชาชนจดจำได้ไม่รู้ลืม ไม่เช่นนั้นคงไม่ได้รับการตอบแทนให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตรหลังพ้นจากเก้าอี้อัยการสูงสุดได้ไม่นานนัก

ข้อเสนอของนายชัยเกษมคือปฏิบัติการ “ดาบนั้นคืนสนอง” ที่นักโทษชายหนีคดีนำมาใช้เพื่อแก้เกมทางการเมือง เพราะเห็นชัดแจ้งแล้วว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์กำลังจะหมดจากอำนาจ และเมื่อนั้นการเมืองจะเข้าสู่ภาวะสุญญากาศ เป็น “เดดล็อก” ที่ระบอบทักษิณไม่สามารถดิ้นไปไหนได้ กระทั่งนำไปสู่สูตรผ่าทางตันด้วยมาตรา 7 ที่ฝ่ายตรงกันข้ามวางเอาไว้

นายชัยเกษมอธิบายเอาไว้อย่างละเอียดว่า....

“เชื่อว่ามีความเป็นไปได้ว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงและคณะรัฐมนตรีทั้งคณะต้องพ้นจากตำแหน่งและปฏิบัติหน้าที่ต่อไปไม่ได้ เข้าข่ายเป็นกรณีที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ดังนั้นเพื่อไม่ให้เกิดสุญญากาศในการบริหารราชการแผ่นดิน ผมจึงเห็นว่าต้องใช้ ม. 7 แห่งรัฐธรรมนูญ คณะรัฐมนตรีได้รับการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งจากพระองค์ท่าน แต่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยให้พ้นไป จึงควรให้ทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยว่าที่ถูกต้องเป็นเช่นใด เพราะพระองค์ท่านไม่ได้โปรดเกล้าให้พ้นจากการปฏิบัติหน้าที่ ผมจึงเห็นควรให้คณะรัฐมนตรีมีมติให้เลขาธิการคณะรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรี นำความขึ้นกราบบังคมทูลทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยว่าคณะรัฐมนตรีทั้งคณะต้องอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปและยังเสนอให้กราบบังคมทูลไปด้วยว่า ระหว่างรอพระบรมราชวินิจฉัยจะได้อยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไป”

แปลไทยเป็นไทยก็คือ นายชัยเกษมต้องการดึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้เข้ามาข้องเกี่ยวกับการเมืองโดยตรง เนื่องจากระบุเอาไว้ชัดเจนว่า ให้นำความขึ้นกราบบังคมทูลให้ทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยตามที่รัฐบาลต้องการคือให้คณะรัฐมนตรีทั้งคณะยังอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไป

แปลไทยเป็นไทยก็คือ นายชัยเกษมต้องการให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรับรองสถานภาพของคณะรัฐมนตรีชุดนี้ มิได้เป็นการขอนายกรัฐมนตรีพระราชทานตามมาตรา 7 ดังเช่นที่มีคณะบุคคลต่างๆ หรือ กปปส.นำเสนอก่อนหน้านี้ หากแต่เป็นการเสนอในทางที่ปกป้องคณะรัฐมนตรีซึ่งรวมถึงตัวเขาเองให้ทำหน้าที่ต่อไป

เป็นข้อเสนอที่ต้องถือว่า อุกอาจ บังอาจและเหิมเกริมจนไม่น่าเชื่อว่า นายชัยเกษมจะเคยเป็นอัยการสูงสุดมาก่อน
คำถามที่นายชัยเกษมและนักโทษชายหนีคดีจะต้องตอบก็คือ การหยิบยกเรื่องนี้เป็นเพียงแค่เกมทางการเมือง เป็นแค่การบลั๊ฟการประกาศสถาปนารัฏฐาธิปัตย์ของนายสุเทพ หรือนายชัยเกษมและนักโทษชายหนีคดีมีวาระซ่อนเร้นหรือมีเป้าประสงค์ทางการเมืองอื่นใดกันแน่

และคำถามมีอยู่ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบกมีท่าทีอย่างไรต่อเรื่องนี้ เพราะเห็นชัดแจ้งแล้วว่า เป็นการดึงสถาบันเข้ามาเกี่ยวข้องโดยตรงแบบไม่อ้อมค้อม และไม่มีกั๊ก

กระนั้นก็ดี นอกจากเรื่องมาตรา 7 แล้ว ดูเหมือนรัฐบาลยิ่งลักษณ์และระบอบทักษิณจะพยายามทำทุกวิธีเพื่อรักษาอำนาจเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นการให้ทีมทนายความยื่นคำร้องในคดีที่ศาลรัฐธรรมนูญรับวินิจฉัยว่าการแต่งตั้งโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 268 และเป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 182 (7) หรือไม่ เพื่อขอขยายระยะเวลาการยื่นคำชี้แจงในคดีดังกล่าวออกไปอีก 15 วันนับแต่วันที่ครบกำหนด 15 วันที่ศาลรัฐธรรมนูญให้ยื่นคำชี้แจงครั้งแรกคือวันที่ 18 เม.ย. โดยให้เหตุผลว่าเนื่องจากติดวันหยุดเทศกาลสงกรานต์หลายวันทำให้ไม่สามารถเตรียมเอกสารได้ทัน

ในประเด็นดังกล่าว นายเชาวนะ ไตรมาส เลขาธิการศาลรัฐธรรมนูญ เปิดเผยว่า ทางสำนักงานฯได้รับเรื่องในทางสารบัญเรียบร้อยแล้วจากนี้จะเสนอที่ประชุมตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาตามคำขอในวันที่ 23 เม.ย.เวลา09.30น.ว่าจะขยายเวลาตามที่ขอหรือไม่ และจะขยายให้กี่วัน ส่วนข้อกังวลว่าจะเกินกรอบเวลาที่เคยกำหนดไว้ในวันที่ 18 เม.ย.หรือไม่นั้นเห็นว่าผู้ถูกร้องทำตามกระบวนการไม่เกิน15 วันตามที่กำหนดไว้ เป็นการใช้สิทธิตามขั้นตอน

นอกจากนี้ ยังมีการใช้ยุทธศาสตร์ดั้งเดิมคือ “โลกล้อมประเทศ” ซึ่ง คณะทำงานฝ่ายต่างประเทศ พรรคเพื่อไทย โดย น.ส.จารุพรรณ กุลดิลก อดีต ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย และน.ส.ภูวนิดา คุณผลิน อดีต ส.ส.กรุงเทพฯ ได้เดินทางไปยื่นหนังสือถึงเลขาธิการสหภาพรัฐสภาสากล (ไอพียู) เพื่อขอให้ไอพียูย้ำเตือนประเทศไทยกรณีการบังคับใช้กฎหมายภายในให้สอดคล้องกับอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมือง และสิทธิทางการเมือง (ไอซีซีพีอาร์) ทั้งกรณี ส.ส.และ ส.ว.308 คนถูกกล่าวหาว่าล้มล้างระบอบประชาธิปไตย และถูกยื่นถอดถอนสิทธิทางการเมือง โดยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ทั้งกรณีการถอนประกันนายจตุพร พรหมพันธุ์ และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ในคดีการก่อการร้าย และกรณีการสอบสวนโครงการรับจำนำข้าว

และรวมถึงการประกาศข่มขู่การทำหน้าที่ขององค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญโดย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รักษาการรองนายกรัฐมนตรี ว่าถ้าหากตัดสินคดีไม่เป็นคุณกับนางสาวยิ่งลักษณ์ บ้านเมืองจะเกิดความวุ่นวาย
ทั้งนี้ ในช่วงสงครามครั้งสุดท้าย นักโทษชายหนีคดีได้นัดแกนนำพรรคเพื่อไทย แกนนำคนเสื้อแดงและเครือข่ายขุมกำลังต่างๆ ในสังกัดให้ไปตั้งวงถกยุทธศาสตร์และยุทธวิธีกันที่ฮ่องกง หลังเกิดอาการเหยียบเท้ากันของคนกันเองจนทำให้การชุมนุมใหญ่ของคนเสื้อแดงที่ถนนอักษะโหรงเหรงร่อแร่จนไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปซุกไว้ที่ไหน

**”เทือก” ปลุก ขรก.-รัฐวิสาหกิจ
ระดมประชาชนสู้ศึก-ชิงสถาปนารัฏฐาธิปัตย์

ขณะที่เมื่อตัดฉากกลับไปที่นายสุเทพ เลขาธิการ กปปส. ก็จะพบว่ายุทธวิธีในช่วงนี้จะมุ่งเน้นไปที่การเคลื่อนไหวไปตามกระทรวง ทบวง กรมต่างๆ เพื่อเรียกร้องให้ “ข้าราชการ” ไม่ทำงานรับใช้รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์และระบอบทักษิณ เนื่องเพราะเป็นที่คาดหมายว่า หลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีคำพิพากษา ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะตายยกรัง จะเกิดภาวะสุญญากาศทางการเมือง และข้าราชการจะกลายมาเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศ

และไม่เพียงแต่ข้าราชการเท่านั้น ยุทธศาสตร์ใหม่ของ กปปส.หลังสงกรานต์นี้เป็นที่ชัดเจนแล้วว่าจะมีการขยายแนวร่วมต้านรัฐบาลไปยังกลุ่มรัฐวิสาหกิจ ซึ่งตลอดสัปดาห์นี้จะมีการเคลื่อนมวลชนไปยังรัฐวิสาหกิจต่างๆ เพื่อดึงให้มาเป็นแนวร่วม โดยนายสุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำ กปปส. ได้นำมวลชนประเดิมแห่งแรกด้วยการเคลื่อนทัพไปยังองค์การเภสัชกรรม เพื่อเชิญชวนเจ้าหน้าที่และพนักงานเข้าร่วมขับไล่รัฐบาลรักษาการนางสาวยิ่งลักษณ์ชินวัตร

อย่างที่รู้กันเป็นนัยอยู่แล้วว่า พนักงานรัฐวิสาหกิจนั้น เทใจให้กับลุงกำนันเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ดังนั้น เมื่อมวลชนเดินทัพเข้าสู่องค์การเภสัชกรรม เมื่อวันที่ 17 เม.ย. 2557 จึงเห็นภาพพนักงานพนักงานและเจ้าหน้าที่ขององค์การเภสัชกรรมกระวีกระวาดออกมาต้อนรับขบวน กปปส.เป็นจำนวนมาก โดยเปิดประตูทางเข้าให้กลุ่ม กปปส. เข้าไปภายในอย่างสะดวกโยธิน และแจกน้ำดื่ม ให้กับมวลชนด้วยบรรยากาศที่เรียกได้ว่าเป็นไปด้วยความชื่นมื่นมีทั้งการเป่านกหวีด การมอบเงิน และมอบดอกไม้ให้กำลังใจ พร้อมกับการชูป้ายข้อความต้อนรับอย่างอบอุ่นรวมถึงการชูป้ายต่อต้านระบอบทักษิณและโจมตีรัฐบาล

การมาองค์การเภสัชกรรมครั้งนี้ นายสุเทพ ระบุว่า เป็นเพราะต้องการชี้แจงกับผู้บริหารและพนักงานองค์การเภสัชฯให้ทราบขั้นตอนการต่อสู้จากนี้ไปของ กปปส.ซึ่งจะนัดรวมพลครั้งใหญ่ทั่วประเทศอีกครั้ง ถือเป็นครั้งสุดท้ายหลังจากมีคำตัดสินสถานภาพความเป็นรัฐมนตรีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรจากคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าวของ ป.ป.ช.และการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญกรณีโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรีออกจากเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.)โดยมั่นใจว่านางสาวยิ่งลักษณ์ จะมีความผิดจากทั้ง 2 กรณีนี้แน่นอน

ทั้งนี้ ในระหว่างที่รอเคยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ยังไม่แน่ชัดว่าจะกำหนดตัดสินเมื่อไหร่นายสุเทพได้ประกาศเอาไว้ชัดเจนว่า เมื่อรัฐบาลหมดความชอบธรรม ประเทศไม่มีรัฐบาลแล้ว ประชาชนจะต้องประกาศความเป็นรัฐฏาธิปัตย์ เพื่อให้ประชาชนสามารถจัดตั้งให้เกิดสภาของประชาชนได้ สิ่งสำคัญจึงอยู่ที่จำนวนของประชาชนในการเข้าร่วม

“หากเราไม่ประกาศรัฏฐาธฺปัตย์ เชื่อว่าอีกฝ่ายจะชิงประกาศก่อน ดังนั้นจึงต้องวัดกันที่จำนวนของมวลชน เพราะการต่อสู้ครั้งนี้สำคัญหากประชาชนไม่ออกมาให้ความร่วมมือจำนวนมากก็จะไม่ชนะ ซึ่งหลังจากนี้จนถึงวันที่นัดชุมนุมเราจะทำทุกอย่าง เพื่อกระตุ้นประชาชนให้มาร่วมชุมนุม เราจะนัดรวมพลังประชาชนทั้งประเทศอีกครั้งเดียวเท่านั้น จะต้องรู้แพ้รู้ชนะ พวกเราสู้กันมานานแล้ว ถ้าไม่ชนะ ก็คงต้องยอมไปสู้กันชาติหน้า เราเต็มที่ครั้งนี้แน่นอน แต่ในเรื่องของวันเวลา ผมไม่สามารถนัดล่วงหน้าได้ เพราะการสู้ครั้งนี้ต้องรอให้ ป.ป.ช.และศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย เราจึงไม่รู้ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร แต่ดูตามข้อเท็จจริงทั้ง 2 กรณีเรื่องจำนำข้าวจนทำให้เกิดความสูญเสียกับประเทศ และการโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี เพื่อแต่งตั้งพรรคพวกของตัวเอง จะต้องมีความผิดอย่างแน่นอน หากดำเนินการทุกขั้นตอนครบถ้วนจนจัดตั้งรัฐบาลประชาชนและคืนอำนาจสู่ประชาชนเพื่อเลือกตั้งทั่วไปใหม่แล้วจะกลับบ้านทันทีคาดว่าจะใช้ระยะเวลาต่อสู้ไม่เกิน 6 เดือน และไม่เกินช่วงเข้าพรรษาการต่อสู้ครั้งสุดท้ายจะนัดชุมนุมใหญ่รวมพลังประชาชนทั้งประเทศอีกเพียงครั้งเดียวเท่านั้น”

นายสุเทพ ให้คำมั่นสัญญาอีกครั้ง

ทั้งนี้ ในขณะที่กำลังรอเวลาสำคัญ หรือรอให้มะม่วงสุกการขยายแนวร่วมให้ได้มากที่สุดและทำให้ได้เห็นอย่างชัดเจนว่ามีกลุ่มก้อนไหนที่ไม่เอาด้วยกับรัฐบาลแล้วจึงเป็นยุทธศาสตร์ที่สำคัญของ กปปส.อย่างเช่น กลุ่มข้าราชการ ซึ่งเวลานี้ กปปส.ประสบความสำเร็จในการขยายแนวร่วมอย่างเป็นรูปธรรมโดยเฉพาะกระทรวงสาธารณสุข ที่แสดงตัวอย่างชัดเจนมาตั้งแต่ต้นและล่าสุดเมื่อการประชุมหัวหน้าส่วนราชการปลัดกระทรวงพร้อมกับรดน้ำดำหัวอวยพร วันสงกรานต์ให้กับนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรรักษาการนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 17 เม.ย. ที่สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมเมืองทองธานี ก็ไม่เห็นเงาของ นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เข้าร่วมด้วย

เฉกเช่นเดียวกับนายกิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรมที่ศอกกลับนักการเมืองให้เจ็บจี๊ดถึงหัวใจโดยกล่าวถึงการออกมาต้อนรับ กปปส. เมื่อวันที่ 8 เม.ย. ที่ กปปส.ไปปิดล้อมกระทรวงยุติธรรมแล้วนายกิตติพงษ์ ออกมาต้อนรับด้วยการย้อนถามกลับว่าคอ.รส.ที่ออกมาตำหนิว่า มีความกังวลเรื่องใดเพราะสถานการณ์ความขัดแย้งทางบ้านเมืองขณะนี้ข้าราชการควรรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ

นับเป็นความกล้าหาญที่รักษาการรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ฟังแล้วรู้สึกหนาวถึงขั้วหัวใจ เพราะปลัดกระทรวงยุติธรรมไม่ได้หวั่นเกรงว่าตนเองเป็นลูกน้องของรัฐมนตรีกระทรวงที่จะต้องหงอให้กับนักการเมือง หากปลัดกระทรวงอื่นๆ มีความกล้าหาญชาญชัยกล้าลุกขึ้นมาประกาศตัวรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นที่ตั้งดังเช่นปลัดกระทรวงยุติธรรม ก็มองเห็นอวสานของรัฐบาลรักษาการนางสาวยิ่งลักษณ์ ใกล้เข้ามาทุกขณะจิต

ภาพการต้อนรับมวลมหาประชาชนที่ประสานกับข้าราชการและผนึกรวมกับพนักงานรัฐวิสาหกิจตามยุทธศาสตร์ใหม่ครั้งนี้ย่อมเรียกพลังสร้างความเข้มแข็งให้กับ กปปส.ที่อ่อนล้าในระยะหลังให้คึกคัก ในทางตรงกันข้ามก็สร้างความหงุดหงิดให้กับรัฐบาลเป็นอย่างยิ่ง โดยเห็นได้จากการเรียกประชุมปลัดกระทรวงทุกกระทรวงเมื่อเห็นสัญญาณว่าข้าราชการกำลังเอาด้วยกับ กปปส. นัยว่าการเรียกรายงานตัวคราวนี้เป็นเสมือนการบีบบังคับให้ข้าราชการระดับสูงเลือกข้างระหว่างรัฐบาลรักษาการนางสาวยิ่งลักษณ์

ชินวัตร กับกลุ่มกปปส. วัดใจกันไปเลยว่าใครจะมีพลังอำนาจมากกว่ากันหลังจากที่ลุงกำนันสามารถเชิญชวนข้าราชการกระทรวงต่างๆออกมาต่อต้านรัฐบาลก่อนช่วงสงกรานต์จนประสบผลสำเร็จมาแล้ว

และการเคลื่อนไหวยกใหม่นี้ แกนนำ กปปส.ได้ปลุกพลังมวลชนโดยสัญญาว่าต่อจากนี้จะต้องมีแต่ชัยชนะและเป็นชัยชนะที่ขาวสะอาดบริสุทธิ์ที่สุดเป็นของขวัญปีใหม่ที่จะมอบให้กับพี่น้องประชาชน

ส่วนความเคลื่อนไหวของกลุ่มเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย(คปท.) หลังสงกรานต์นั้น นายสุวิทย์ ยอดมณี กำหนดเป้าหมายว่า คปท.จะรุกเร้าการปฏิวัติโดยประชาชนอย่างแท้จริงโดยจะเป็นการเคลื่อนไหวที่เข้มข้นมากขึ้นเพื่อนำไปสู่ชัยชนะโดยเร็ว เพราะถ้าปล่อยเวลาให้เนิ่นช้ากว่านี้พี่น้องที่มาร่วมชุมนุมจะอ่อนล้า ซึ่งการเคลื่อนไหวในครั้งนี้ จะเป็นการเคลื่อนไหวคู่ขนานไปกับทาง กปปส.เพราะมีเป้าหมายเดียวกัน แต่รูปแบบการเคลื่อนไหวจะปรับเปลี่ยนใหม่ อย่างไรก็ตาม นายสุวิทย์ ยังไม่เปิดเผยรายละเอียดการเคลื่อนไหวของคปท. แต่คาดว่าปฏิบัติการเคลื่อนไหวเชิงรุกอีกครั้งนี้จะต้องจบให้ได้ภายในเดือน เม.ย.นี้

แต่สิ่งที่นายสุเทพสมควรจะทำอย่างยิ่งในระหว่างรอชุมนุมใหญ่หลังมะม่วงหล่นแล้ว และต้องทำมาตั้งนานแล้วก็คือ การเค้นคอถามบรรดาผู้นำเหล่าทัพทั้งหลายว่าสุดท้ายจะเอาอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก เพราะสุดท้ายทหารยังคงเป็นตัวชี้ขาดที่สำคัญที่สุด

ผู้บัญชาการเหล่าทัพจะตัดสินใจประกาศจุดยืนทางการเมืองอย่างไร จะแสดงท่าทียืนเคียงข้างประชาชน ปฏิเสธรัฐบาลเถื่อนที่ไร้ความชอบธรรม อย่างรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หรือทำตัวตีกินรอวันเกษียณอายุราชการเหมือนเช่นที่ผ่านมา

เพราะถ้าหาก พล.อ.ประยุทธ์ยังมีท่าทีเหมือนเดิม สถานการณ์ก็จะยังไม่เปลี่ยนแปลง ถ้าทหารเลือกยืนอยู่ข้างระบอบทักษิณ โอกาสที่มวลมหาประชาชนจะชนะก็เป็นไปได้ยาก

คำถามก็คือ มวลมหาประชาชนจะอดทดรอจนถึงวันที่ พล.อ.ประยุทธ์เกษียณอายุราชการในเดือนกันยายนหรือไม่ ถ้าไม่ นายสุเทพต้องเลิกเกรงอกเกรงใจ พล.อ.ประยุทธ์ได้เสียที แล้วก็เอ่ยปากถึง พล.อ.ประยุทธ์เสียทีว่า “อย่าลืมฉัน” อย่าลืมมวลมหาประชาชน เพราะจนกระทั่งถึงวันนี้ แม้ปากผู้บัญชาการทหารบกจะบอกว่าขอให้ทุกฝ่ายยึดกฎหมาย แต่บัญชาการทหารบกก็ยังคงประกาศที่จะดูแลทุกฝ่ายอย่างเท่าเทียมกันเหมือนเช่นที่ผ่านมา

ดังนั้น ระหว่างช่วงคั่นเวลาหาความชัดเจนจากลุงกำนัน จากนักโทษชายหนีคดี จากพล.อ.ประยุทธ์ จาก ป.ป.ช.และศาลรัฐธรรมนูย แฟนานุแฟนก็จิกหมอนฟินกับคุณเขมชาติ กับความหล่อของพี่ติ๊ก-เจษฎาภรณ์ ผลดี ใน “ละครอย่าลืมฉัน” ที่กำลังมาแรงทางช่อง 3 แก้เซ็งไปพลางๆ ก่อนก็แล้วกัน



ทักษิณ ชินวัตร
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ขณะเดินทางไปที่องค์การเภสัชกรรมเพื่อเรียกร้องให้ออกมาร่วมกับมวลมหาประชาชนในการปฏิรูปประเทศ
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ยังเป็นตัวแปรที่สำคัญที่สุดหลังมะม่วงหล่น
นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข
กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม
ชัยเกษม นิติสิริรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
ศอ.รส.เรียกหัวหน้าหน่วยราชการมารับฟังแนวทางปฏิบัติและชี้แจงข้อมูลเมื่อวันที่ 17 เมษายน 2557
กำลังโหลดความคิดเห็น