ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - กลายเป็นประเด็นร้อนฉ่าขึ้นมาในทันที เมื่อ ฯพณฯ อำมาตย์เต้น-ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ออกมาเปิดรายชื่อ 3 ตัวเต็ง 7 ตัวสอดแทรกและม้ามืด “นายกรัฐมนตรีคนกลาง” พร้อมกล่าวหาว่า ทั้ง 10 รายชื่อคือคนที่ “ฝ่ายอำมาตย์” ตระเตรียมเอาไว้ในกรณีที่ “นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” มีอันเป็นไปต้องพ้นจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรีพร้อมกับคณะรัฐมนตรี
การเคลื่อนไหวและการเปิดประเด็นของ ฯพณฯ อำมาตย์เต้นย่อมไม่ใช่เรื่องธรรมดา เพราะถ้า “ไม่มีมูลฝอย หมาย่อมไม่ขี้” แม้จะตั้งอยู่บนสมมติฐานของ “การมโน” เสียเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็มิได้หมายความว่าไม่มีโอกาสเกิดขึ้นเลยเสียทีเดียว
นายกฯคนกลาง : เกมท้ารบของคนเสื้อแดง
สำหรับรายชื่อนายกรัฐมนตรีคนกลางที่นายณัฐวุฒิเปิดออกมามีทั้งหมด 10 คนด้วยกัน โดย 3 ตัวเต็งประกอบไปด้วย
เต็ง 1 นายพลากร สุวรรณรัฐ องคมนตรี
เต็ง 2 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ใหญ่ของบูรพาพยัคฆ์
เต็ง 3 นายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี 2 สมัย
ส่วน 7 ตัวสอดแทรกและม้ามืดประกอบไปด้วย ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายสุรเกียรติ เสถียรไทย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายอาสา สารสิน อดีตราชเลขาธิการ นายวิกรม กรมดิษฐ์ เจ้าของนิคมอุตสาหกรรมเครืออมตะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบกและนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนปัจจุบัน
คำถามที่เกิดขึ้นก็คือ ทำไม ฯพณฯอำมาตย์เต้นถึงจงใจและตั้งใจหยิบเรื่องนายกฯ คนกลางมาเป็นประเด็น
ตอบได้ทันทีเลยว่า เป็นเพราะระบอบทักษิณได้ประเมินแล้วว่า สุดท้ายนางสาวยิ่งลักษณ์และคณะรัฐมนตรีจะหมดอำนาจวาสนาจากผลแห่งกรรมที่ได้ทำเอาไว้ในอีกไม่ช้า
ดังจะเห็นได้จากคำให้สัมภาษณ์ของระดับแกนนำคนสำคัญของระบอบทักษิณหลายต่อหลายคน ยกตัวอย่างเช่น นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ น้องเขยนักโทษชายหนีคดีทักษิณชินวัตรและสามีสุดที่รักของเจ๊แดง นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ที่ประกาศในการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2557 ของพรรคเพื่อไทยเมื่อวันที่ 26 มีนาคมในบางช่วงบางตอนเอาไว้ว่า...
“พรรคเพื่อไทยไม่มีใครเป็นที่พึ่ง มีแต่พี่น้องประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศให้การสนับสนุน วันนี้เราอาจจะแพ้ ประชาชนรู้ว่าอะไรคืออะไร เราแพ้มาหลายครั้ง ถึงแพ้ก็แพ้ไม่นาน ก็จะกลับเข้ามาด้วยการเลือกตั้ง อยากให้สมาชิกพรรคไปชี้แจงประชาชนในพื้นที่ของตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้น มีความจำเป็นต้องต่อสู้ จะทำในวิถีทางประชาธิปไตย ส่วนเรื่องนายกฯ คนกลางที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง คงอยู่ได้ไม่นาน เพราะไม่ได้มาจากประชาชน”
คำกล่าวของนายสมชายคือการส่งสัญญาณชัดเจนว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ระบอบทักษิณกำลังเดินทางไปถึงจุดจบจริงๆ โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
แน่นอน ไม่ใช่มีเฉพาะนายสมชายเท่านั้นที่ยอมรับชะตากรรม แม้กระทั่งเจ้าของฉายา “โกร่งกางเกงแดง” นายวีรพงษ์ รามางกูร ซึ่งเป็นคนของระบอบทักษิณก็ยอมรับเช่นกันว่า “รู้ว่าแพ้ แต่ยังไม่จบนะ”
ส่วนถามว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์จะพังด้วยเหตุอะไร ก็คงต้องหยิบยกความเห็นของ “นายคำนูณ สิทธิสมาน” ส.ว.สรรหาที่วิเคราะห์เอาไว้ในเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า “กรณีจำนำข้าวถึงแม้ ปปช. จะชี้มูลนายกยิ่งลักษณ์ ก็จะยังไม่ทำให้พ้นจากตำแหน่ง เพียงแต่ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ ดังนั้น ในระหว่างนั้น รองนายกรัฐมนตรีคนหนึ่ง ก็สามารถปฏิบัติหน้าที่แทนไปพลางได้ ส่วนกรณีคุณถวิล เปลี่ยนศรี ศาลปกครองได้ตัดสินแล้ว ว่าเป็นการไม่ชอบ
หากศาลรัฐธรรมนูญเห็นพ้อง ว่าเป็นการดำเนินการเพื่อเอื้ออำนวยประโยชน์ ในการเลื่อนตำแหน่งให้แก่คุณเพรียวพันธ์ (พล.ต.อ.เพรียวพันธุ์ ดามาพงศ์)ซึ่งเป็นญาติของนายกฯยิ่งลักษณ์ ศาลรัฐธรรมนูญจะถือว่าเข้าข่ายมาตรา 268 นายกยิ่งลักษณ์จะพ้นตำแหน่งไปตามมาตรา 182 (7) ทันที ไม่ต้องมีขบวนการถอดถอนแต่อย่างใดอีกแล้ว และเมื่อความเป็นนายกรัฐมนตรีของคุณยิ่งลักษณ์สิ้นสุดลง คณะรัฐมนตรีก็จะพ้นตำแหน่งไปทั้งหมด ต้องมีการแต่ตั้งนายกฯ และคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ทันที”
ดังนั้น ระบอบทักษิณซึ่งมีเนติบริกรรับใช้อยู่เป็นพะเรอเกวียนย่อมต้องรับรู้และมองขาด ดัวยเหตุดังกล่าวจึงเป็นที่มาของการเล่นเกมเพื่อปลุกเร้าคนเสื้อแดงพร้อมทั้งดิสเครดิตอำมาตย์จนเฮือกสุดท้ายด้วยการกล่าวหาว่ามีความพยายามผลักดันนายกรัฐมนตรีคนกลางโดยอาศัยมาตรา 7 แห่งรัฐธรรมนูญ
นี่คือ “เกม” ที่ระบอบทักษิณกำลังใช้เพื่อดิ้นรนในการรักษาอำนาจที่พวกเขารู้อยู่เต็มอกว่า ความพ่ายแพ้กำลังจะมาเยือนในช่วงเดือนเมษายนนี้
**นายกฯ คนกลาง สุดท้ายเสร็จบูรพาพยัคฆ์
คำถามที่เกิดตามมาคือ โอกาสที่จะเกิดนายกรัฐมนตรีคนกลางมีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน
แน่นอน ถ้าหากเป็นไปตามไทม์ไลน์ที่ ส.ว.คำนูณและส.ว.ไพบูลย์ นิติตะวันวิเคราะห์ไว้จากคดีนายถวิล เปลี่ยนศรี โอกาสที่จะเกิดนายกรัฐมนตรีคนกลางก็เป็นไปได้สูง เนื่องจากรัฐบาลชุดปัจจุบันกระทำผิดรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจน
ทว่า นั่นไม่ใช่ปัจจัยเดียว เพราะการเมืองย่อมไม่ใช่ 1+1 เท่ากับ 2 และถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริงๆ ก็ยังไม่มีหลักประกันอะไรให้มั่นใจว่า ทุกอย่างจะจบ บ้านเมืองจะเป็นปกติ และระบอบทักษิณจะสูญสลายไปจากบ้านนี้เมืองนี้ โดยเฉพาะคนเสื้อแดงที่ประกาศชัดเจนว่า จะไม่ยอมรับคำตัดสินของอ้ายอีหน้าไหนที่จะทำให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ต้องพ้นไปจากอำนาจ และพร้อมจะใช้ความรุนแรงตอบโต้
ที่สำคัญคือ เมื่อประเมินสถานการณ์ทางการเมือง ณ ขณะนี้ก็จะเห็นได้ชัดว่า ฝ่ายระบอบทักษิณที่มีรัฐบาลยิ่งลักษณ์เป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจและฝ่ายคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข(กปปส.) นำโดยนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ไม่มีฝ่ายหนึ่งสามารถช่วงชิงความมีเปรียบเหนือฝ่ายตรงข้ามได้แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
แม้ระบอบทักษิณและรัฐบาลยิ่งลักษณ์จะอ่อนล้าและเพลี่ยงพล้ำอย่างหนัก แต่ฝ่าย กปปส.ของนายสุเทพก็ไม่สามารถขุดรากถอนโคนได้ ยิ่งเมื่อ กปปส.ไม่สามารถปฏิวัติประชาชนได้สำเร็จทั้งๆ ที่ผู้คนแห่แหนกันออกมาจากบ้านนับเป็นล้านๆ คน ก็ยิ่งเห็นได้ชัดว่า ศึกครั้งนี้จะยืดเยื้อยาวนานจนมองไม่เห็นว่า จะยุติลงได้อย่างไร
ขณะที่ฝ่ายระบอบทักษิณก็พยายามทำให้สังคม “มโน” ไปว่า กองกำลังเสื้อแดงของเขายังคงมีพลัง ยังคงมีราคาและมีอำนาจมากพอที่จะต่อรองได้ดังปรากฏให้เห็นจากความเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงที่จัดชุมนุมใหญ่ตามจังหวัดต่างๆ รวมถึงการประกาศชุมนุมใหญ่ที่จะเกิดขึ้นวันที่ 5 เมษายน 2557 ซึ่งถ้าดูจังหวะเวลาที่คนเสื้อแดงจัดการชุมนุมก็สามารถมองเห็นเค้าลางแห่งความรุนแรงซึ่งรออยู่เบื้องหน้า เพราะทุกครั้งที่เสื้อแดงชุมนุมในช่วงเดือนเมษายนล้วนแล้วแต่เกิดความวุ่นวายทั้งสิ้น
นี่ไม่นับรวมถึงการใช้กองกำลังชายชุดดำสร้างความรุนแรง ข่มขู่องค์กรอิสระและหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะศาลรัฐธรรมนูญและคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ซึ่งมีผลต่อความเป็นไปของรัฐบาลยิ่งลักษณ์
เมื่อนายสุเทพปฏิวัติประชาชนไม่สำเร็จ ระบอบทักษิณก็ง่อยเปลี้ยเสียขาแต่ยังไม่หมดฤทธิ์ หนทางสุดท้ายจึงมาหยุดลงตรงที่ “การเจรจา” เพื่อหาทางออก เพราะทั้งสองฝ่ายต่างก็เหนื่อยล้าเต็มที
แต่การเจรจาเพื่อนำไปสู่การมีนายกรัฐมนตรีคนกลางก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากทั้งสองฝ่ายต่างมีเงื่อนไขที่ไม่สามารถถอยกันคนละหลายๆ ก้าวได้ ดังนั้น จึงจะต้องทำให้ทั้งสองฝ่าย “วิน-วิน” ด้วยกันทั้งคู่
เงื่อนไขที่ระบอบทักษิณต้องการมีอยู่ 2 ข้อคือ
หนึ่ง-นายกรัฐมนตรีคนกลางและรัฐบาลคนกลางที่จะเกิดขึ้นจะต้องไม่ถอนรากถอนโคนตระกูลชิน และระบอบทักษิณ
สอง-ขอคำมั่นสัญญาว่า เมื่อมีนายกรัฐมนตรีคนกลางและรัฐบาลคนกลางแล้ว จะต้องประกาศวันเลือกตั้งออกมาให้ชัดเจนว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ เพราะนายใหญ่มั่นใจว่า ไม่ว่าจะเลือกตั้งสักกี่ครั้งกี่คน พรรคเพื่อไทยก็จะรับได้ชัยชนะและกลับมาเป็นรัฐบาลได้ทุกครั้ง
ส่วนเงื่อนไขที่ฝ่ายกำนันสุเทพต้องการก็มี 2 ข้อเช่นกันคือ
หนึ่ง-รัฐบาลยิ่งลักษณ์จะต้องหยุดรักษาการ
และสอง-จะต้องเกิดการปฏิรูปก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง
ทั้งนี้ มีความเป็นไปได้สูงยิ่งว่า ระบอบทักษิณจะสามารถรับเงื่อนไขของนายสุเทพได้ เพราะเมื่อประเมินสถานการณ์แล้วเห็นว่า แม้จะมีนายกรัฐมนตรีคนกลางจริงหรือจะมีนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้ง แต่รัฐบาลใหม่ก็จะอยู่ในอำนาจได้ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ และรัฐบาลชุดนี้มีภารกิจสำคัญคือทำให้ประเทศไทยเดินหน้าต่อไป และเดินหน้าปฏิรูปประเทศตามกระแสเรียกร้อง
หนึ่งในสัญญาณที่ถูกส่งออกมาคือการปล่อยข่าวว่านางสาวยิ่งลักษณ์จะไม่ลงสมัคร ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ลำดับที่ 1 ของพรรคเพื่อไทย
หนึ่งในสัญญาณที่ถูกส่งออกมาคือการปล่อยข่าวเรื่องโมเดลรัฐบาลใหม่ที่จะเกิดขึ้นว่า จะมีอายุไม่เกิน 1 ปีครึ่งและมีภารกิจสำคัญคือการปฏิรูปประเทศ โดยเป็นแนวทางร่วมกันของพรรคร่วมรัฐบาล
อย่างไรก็ตาม การเจรจาก็ไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นได้ง่ายๆ เพราะมวลชนของทั้งสองฝ่ายต่างจับตาความเคลื่อนไหวของแกนนำว่า จะเล่นเกมปาหี่รักแท้ในคืนหลอกลวงหรือไม่
จะให้มาตั้งโต๊ะเชิญทั้งสองฝ่ายมาหาทางออกร่วมกัน ยิ่งเป็นเรื่องยาก
ถามว่า แล้วใครหรือหน่วยงานใดจะทำให้ทั้ง 2 ฝ่ายยอมรับเงื่อนไขซึ่งกันและกันได้
คำตอบย่อมหนีไม่พ้น “ทหาร” และทหารที่ทั้งฝ่ายระบอบทักษิณและฝ่ายกำนันสุเทพ “เชื่อใจ” ก็คงหนีไม่พ้น “บูรพาพยัคฆ์” ของพี่น้อง 3 ป.คือ ป.ประวิตร ป.ป๊อก อนุพงษ์ และป.ประยุทธ์
เหตุที่กล่าวว่า ระบอบทักษิณเชื่อมั่นในบูรพาพยัคฆ์ก็คงหนีไม่พ้นคำพูดอมตะในคลิปถั่งเช่า “ผมไว้ใจไอ้ตู่มาก”
เหตุที่กล่าวว่า ลุงกำนันเชื่อใจบูรพาพยัคฆ์ก็เพราะนับตั้งแต่มีการชุมนุมมาเป็นเวลากว่า 5 เดือน เวที กปปส.ไม่เคยวิพากษ์วิจารณ์หรือสร้างแรงกดดันใดๆ ต่อทหารเลย มีแต่ชื่นชมและให้กำลังใจมาโดยตลอด
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ชั่วโมงนี้ บูรพาพยัคฆ์ก็ไม่อาจเปิดหน้าแสดงตัวเป็นตัวกลางในการเจรจาได้เช่นกัน เว้นเสียแต่ว่าจะมีเงื่อนไขอะไรบางประการที่เป็นการเชิญชวนให้ทหารออกมา
และเงื่อนไขที่ว่านั้นก็หนีไม่พ้น “สงครามกลางเมือง” เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับทหารที่จะเคลื่อนทัพออกจากกรมกองมารับหน้าที่เป็นท้าวมาลีวราชด้วยข้ออ้างเรื่องความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง ซึ่งนั่นก็จะเป็นปลดเปลื้องภาระของทั้งสองฝ่ายออกไปอย่างหมดจดงดงาม
บูรพาพยัคฆ์นี้จึงเป็นผู้มีบารมีตัวจริงของประเทศไทย เพราะไม่ว่าใครจะขึ้นมามีอำนาจ พรรคเพื่อไทยหรือพรรคประชาธิปัตย์ บูรพาพยัคฆ์ก็ยังคงใหญ่คับประเทศไทยอย่างเสมอต้นเสมอปลาย
ส่วนการปฏิรูปประเทศไทยที่มวลมหาประชาชนต้องการให้เกิดก็คงเป็นเพียงความฝันบนแผ่นกระดาษที่จะถูกส่งผ่านต่อไปยังรัฐบาลใหม่ให้เป็นผู้รับผิดชอบ ขณะที่ระบอบทักษิณที่กลายเป็นมะม่วงหล่นก็มิได้ล้มหายตายจากไปไหน เป็นเพียงมะม่วงที่หล่นบนฟูก แม้ในช่วงแรกจะกระเทือนอยู่บ้าง และตราบใดที่การปฏิวัติโดยประชาชนไม่สำเร็จ ระบอบทักษิณก็ไม่มีวันตาย
26 มีนาคม 2557 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก
ให้สัมภาษณ์กรณีกลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) และกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) จะนัดชุมนุมใหญ่ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า จุดยืนของ พล.อ.ประยุทธ์เป็นเช่นไรและสุดท้ายสถานการณ์ทางการเมืองของไทยจะยุติลงในลักษณะไหน
“หากไม่มีการทำผิดกฎหมายก็สามารถชุมนุมได้อยู่แล้ว เป็นเรื่องของรัฐธรรมนูญ แต่มองว่าทั้งสองฝ่ายมีการทำผิดด้วยกันทั้งคู่ ส่วนที่กังวลว่าจะมีการปะทะกันนั้น แกนนำทั้งสองฝ่ายจะต้องควบคุมการชุมนุมให้อยู่ในกรอบ และไม่ให้มีการเผชิญหน้าหรือการปะทะกัน รวมถึงการใช้อาวุธต่อกัน แต่วันนี้แกนนำยังไม่สามารถควบคุมตรงนี้ได้ และสุ่มเสี่ยงจะเกิดเหตุการณ์ขึ้น ซึ่งผู้ที่บาดเจ็บส่วนใหญ่เป็นประชาชนผู้บริสุทธิ์ ที่มาร่วมชุมนุมของทั้งสองฝ่าย เพราะต่างเชื่อมั่นว่าฝ่ายตัวเองถูกต้องและชอบธรรม ถือว่าเป็นความคิดที่บริสุทธิ์ของประชาชน ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับแกนนำ ผู้รักษากฎหมายว่าจะปฏิบัติอย่างไรเพื่อให้เกิดความปลอดภัย”
“ถ้าคนไทยทุกคนยอมให้บังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด แล้วทุกคนไม่ฝ่าฝืน กฎหมายจะเป็นกฎหมาย แต่วันนี้ใช้กฎหมายเล่นงานอีกฝ่ายหนึ่ง และใช้กฎหมายมาสู้กัน แล้วถามว่ากฎหมาย องค์กรต่างๆ ศาลได้รับการยอมรับหรือไม่ ก็มองว่าเอียงข้างไปหมด ถ้าตัดสินเข้าข้างตัวเองก็ดี แต่ถ้าไม่ถูกใจตัวเองก็บอกเอียงข้าง แล้วใครจะตัดสินอะไรได้ เราต้องอาศัยกลไกทางกฎหมายให้ได้ แล้วทุกคนกลับมาเคารพกฎหมาย ศาลตัดสินอย่างไรต้องมาต่อสู้ทางคดีกัน คดีมีตั้งกี่แสน กี่ล้านคดี ทุกคนบอกศาลไม่เป็นธรรมหมดจะได้หรือไม่ ถ้าสู้กันบนถนนไม่มีวันจบ กฎหมายตัดสินให้ไม่ได้ พอตัดสินไปต้องมีข้างหนึ่งชนะ ข้างหนึ่งแพ้ เพราะศาลต้องตัดสินตามครรลองตัวบทกฎหมาย”
“คนไทยเป็นคนสบายๆ เป็นคนที่ค่อนข้างศิลปิน ใช้อารมณ์เป็นหลัก ตัดสินอะไรง่ายๆ จะรัก ชอบหรือเกลียดใครก็ไม่นาน อย่างนี้ต้องมีหลักการของตัวเอง ต้องมีวิสัยทัศน์ไปข้างหน้าว่า ประเทศชาติจะเดินได้อย่างไร จะแก้ปัญหาอย่างไร ใครจะเป็นผู้เสียสละ ใครจะเป็นผู้ยอมเล็กน้อยเพื่อให้ได้ความสงบสุขคืนมา แต่ผมไม่รู้ว่า ใครจะต้องเป็นคนเสีย และใครเป็นคนยอม ถ้าคิดว่า เสียเปรียบหรือพ่ายแพ้ไม่มีวันจบ แต่ถ้าคิดว่าเสียสละ ไม่ว่าจะเป็นใคร มันก็คือ เหตุการณ์จบแล้วค่อยไปแก้กันต่อ ดีกว่าเอามายันกันอย่างนี้ ถ้ารบกันทั้งสองฝ่ายเจ็บตายทั้งคู่ และจะไม่มีใครได้อะไร ไม่มีใครชนะ บ้านเมืองก็นิ่งสนิทอยู่แบบนี้
”
คำว่า เสียสละของ พล.อ.ประยุทธ์หมายความว่า ต้องการให้มีการเจรจาใช่หรือไม่
คำว่า ใครจะเป็นผู้ยอมเล็กน้อยเพื่อให้ได้ความสงบสุขคืนมาของ พล.อ.ประยุทธ์หมายความว่า ต้องการให้มวลมหาประชาชนที่เคลื่อนไหวเพื่อต้องการให้ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้นยอมถอยให้รัฐบาลที่ทำความผิดสารพัดเช่นนั้นหรือ
พล.อ.ประยุทธ์กำลังส่งสัญญาณถึงนายสุเทพใช่หรือไม่ และการที่นายสุเทพประกาศยุบทุกเวทีและไปปักหลักชุมนุมใหญ่โดยมีเป้าหมายอยู่ที่สวนลุมพินีเพื่อรอมะม่วงหล่นตามกระบวนการยุติธรรม ใช่เป็นเพราะข้อเสนอแนะ ของ พล.อ.ประยุทธ์ ใช่หรือไม่
และที่ต้องขีดเส้นใต้เอาไว้ก็คือ พล.อ.ประยุทธ์เห็นว่า การชุมนุมของทั้งสองฝ่ายดำเนินไปด้วยความบริสุทธิ์ ต่างฝ่ายต่างเชื่อมั่นว่าฝ่ายตัวเองถูกต้องและชอบธรรม หมายความว่า การชุมนุมของคนเสื้อแดงที่ประกาศบนเวทีว่าจะมีการแบ่งแย่งประเทศ มีการตั้ง สปป.อีสานล้านนาเป็นสิ่งที่ถูกต้องและชอบธรรมเช่นนั้นหรือ
ถ้าเป็นเช่นนั้น สังคมจะไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมขุนทหารผู้นี้ถึงกับเป็นเดือดเป็นแค้นการตัดต่อภาพเพื่อสะท้อนพฤติกรรมของตนเองว่า “ก็จิตใจมันต่ำ ทราม” แต่มิเคยเอาจริงเอาจังอะไรกับเรื่องการแบ่งแยกดินแดน มิเคยเอาจริงเอาจังกับการหมิ่นสถาบันจากฝีมือของคนเสื้อแดงที่มีมากมายเกลื่อนประเทศ
และนี่กระมังจึงเป็นเหตุว่า ทำไมรัฐบาลยิ่งลักษณ์และระบอบทักษิณจึงยังคงอยู่ได้ในบ้านนี้เมืองนี้โดยที่มวลมหาประชาชนไม่สามารถทำอะไรได้
ชำแหละที่มา 10 นายกคนกลาง
สำหรับรายชื่อนายกรัฐมนตรีคนกลางที่นายณัฐวุฒิเปิดออกมามีทั้งหมด 10 คนด้วยกัน โดย 3 ตัวเต็งประกอบไปด้วย นายพลากร สุวรรณรัฐ องคมนตรีพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ใหญ่ของบูรพาพยัคฆ์ และนายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี 2 สมัย
ส่วน 7 ตัวสอดแทรกและม้ามืดประกอบไปด้วย ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายสุรเกียรติ เสถียรไทย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายอาสา สารสิน อดีตราชเลขาธิการ นายวิกรม กรมดิษฐ์ เจ้าของนิคมอุตสาหกรรมเครืออมตะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบกและนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนปัจจุบัน
เห็นรายชื่อแล้วก็ทำให้สังคมย้อนถามกลับไปว่า นายณัฐวุฒิหยิบรายชื่อทั้งหมดขึ้นมาโดยมีสมมติฐานในใจอย่างไร เพราะบางรายชื่อก็เห็นว่า เหลวไหลเลอะเทอะ ตัวอย่างที่ชัดเจนก็คือกรณีของนายวิกรม กรมดิษฐ์ที่ไม่ว่าจะใช้อวัยวะเบื้องต่ำหรือเบื้องสูงคิดก็มองไม่ออกว่า นายวิกรมจะเข้าสู่เก้าอี้ นายกฯ คนกลางจากการสนับสนุนของใคร เช่นเดียวกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะที่ไม่มีสิทธิ์คิดแม้จะจินตนาการ ซึ่งเจ้าตัวก็ยอมรับแล้วว่า เป็นไปไม่ได้
เช่นเดียวกับบรรดาตัวสอดแทรกและม้ามืดที่เหลือคือ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร นายสมคิดและพล.อ.ประยุทธ์
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ต้องบอกว่า รายชื่อที่เปิดมา “บางคน” มิใช่แค่ฝ่ายนายสุเทพยอมรับได้เท่านั้น หากแต่ระบอบทักษิณก็ยอมรับได้เช่นกัน
กรณีนายพลากร สุวรรณรัฐ องคมนตรี ชื่อนี้กลายเป็นเต็ง 1 ด้วยปัจจัยหลายประการ แต่ประการสำคัญคือ ต้องการดิสเครดิตฝ่ายที่คนเสื้อแดงเรียกว่าอำมาตย์โดยตรง เพราะนายพลากรคือองคมนตรี นอกจากนี้ที่ผ่านมานายพลากรยังเคยพบกับนายสุเทพที่แปซิฟิกคลับ ย่านสุขุมวิท รวมถึงคนสนิทของนายพลากรคือนายพงศ์โพยม วาศภูติ อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทยเคยขึ้นเวทีปราศรัยของ กปปส.หลายครั้ง
อีกทั้งเส้นทางเดินของนายพลากรยังเป็นไปในท่วงทำนองเดียวกับ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรีที่ลาออกมานั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีหลังการรัฐประหารของบิ๊กบัง พล.อ.สนธิ บุณยรัตกลินในปี 2549
ด้วยเหตุดังกล่าวเพื่อตัดไฟเสียแต่ต้นลม นายพลากรจึงให้สัมภาษณ์ตัดบทในทันทีว่า “เป็นองคมนตรีมา 12 ปี ถือเป็นมงคลสูงสุดในชีวิตแล้ว ไม่ปรารถนาตำแหน่งอื่นใด” แต่ก็ยอมรับว่าเคยพบกับนายสุเทพที่แปซิฟิกคลับจริง เมื่อประมาณ 5 เดือนที่ผ่านมาจริง
เช่นเดียวกับนายอานันท์ที่เคยก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีของไทยถึง 2 ครั้ง 2 คราโดยที่มิได้มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งคนเสื้อแดงมองว่าเป็นตัวแทนของฝ่ายอำมาตย์
ด้านบิ๊กป้อม ด้วยความที่เป็นพี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์ที่มีอำนาจสูงสุด เพราะมีน้องรักเป็นที่ไว้วางใจทั้งฝ่ายลุงกำนันและฝ่ายเจ้ามูลเมือง จึงทำให้ปรากฏชื่อของ พล.อ.ประวิตรมาทุกครั้งที่มีการเปิดประเด็นเรื่องนายกฯคนกลาง ซึ่งก็ใช่ว่าจะไม่มีความเป็นไปได้
ขณะที่คนสุดท้ายคือนายอาสา สารสิน แม้จะเป็นอดีตราชเลขาธิการ แต่ก็ต้องยอมรับว่า สายสัมพันธ์ของเขากับระบอบทักษิณอยู่ในระดับที่ไม่ธรรมดาเช่นกัน โดยพงศ์ สารสินผู้เป็นพี่ชายก็เคยเป็นอดีตประธานบริษัทชินคอร์ปช่วงสั้นๆ หลังนักโทษชายหนีคดีขายหุ้นชินคอร์ปให้เทมาเส็ก อีกทั้งยังมีคอนเนกชั่นกับพรรคประชาธิปัตย์ในระดับที่ไม่ธรรมดา เมื่อหลานชายที่ชื่อ “พรวุฒิ สารสิน” เคยเป็นอดีต ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อของพรรคที่เก่าแก่พรรคนี้ รวมถึงจัดเป็นนายทุนพรรคคนสำคัญในช่วงระยะเวลาหนึ่ง
และที่ผ่านมานายอาสาก็พยายามทำตัวเป็นคนกลางในการหาทางออกให้กับประเทศไทย โดยมีนายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ พี่ภรรยาของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ และนายวิษณุ เครืองาม ร่วมวง เพียงแต่หลังคุยจบไม่สามารถปฏิบัติภารกิจที่ตั้งเป้าไว้ให้สำเร็จลงได้
แต่ที่เด็ดสะระตี่เหนือคำบรรยายคือ ขณะที่ผู้เป็นพ่อบุญธรรมคือนายสุเทพประกาศว่านายกฯ คนกลางคือการมโนของคนเสื้อแดง โดยยืนยันว่า ทางกปปส.ไม่เคยหาเรือหรือทาบทาบบุคคลที่จะมาเป็นนายกฯ คนกลาง แต่ “ขิงขิง” เอกนัฎ พร้อมพันธุ์ ผู้เป็นลูกและทำงานใกล้ชิดราวกับเป็นเงาของนายสุเทพกลับยอมรับว่า ทางกปปส.มีนายกฯ คนกลางไว้ในใจแล้ว พร้อมระบุเอาไว้เสร็จสรรพว่ามีคุณสมบัติอย่างไร
แปลว่า การเปิดประเด็นของดาวตลกสภาโจ๊กก็มิได้เป็นเพียงแค่จินตนาการโดยไร้หลักฐานรองรับเลยเสียทีเดียว
อย่างไรก็ตาม สุดท้ายแล้วเชื่อว่า สถานการณ์การเมืองจะเดินเข้าสู่มุมอับอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ส่วนจุดจบจะลงเอยในรูปลักษณ์ใด เป็นนายกฯ คนกลางตามมาตรา 7 นายกฯ ที่มาจากการเลือกตั้ง หรือนายกฯ คนกลางด้วยวิธีการนอกรัฐธรรมนูญ คนที่ได้รับประโยชน์สูงสุดก็หนีไม่พ้นพรรคการเมืองสีเขียวที่ชื่อ “บูรพาพยัคฆ์”
เอวัง.....ประเทศไทย