xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

THE LAST ไทยเฉย??

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-ไม่ว่า “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี หรือบรรดาขี้ข้าอย่าง “จตุพร พรหมพันธุ์ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล”ฯลฯ รวมทั้งวิชาการสายแดงจะประดิดประดอยถ้อยคำอย่างไรมาอธิบายการตัดสินใจ “ยุบสภา” เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2556 ก่อนที่ขบวนของมวลมหาประชาชนนำโดย “กำนันสุเทพ เทือกสุบรรณ” จะเคลื่อนทัพใหญ่ล้อมทำเนียบรัฐบาล ความจริงก็ยังคงเป็นความจริงวันยังค่ำ

ความจริงนั้นก็คือรัฐบาลยิ่งลักษณ์ได้ถูกโค่นล้มลงด้วยพลังของมวลมหาประชาชนที่ประสานรวมเป็นเนื้อเดียวกันโดยมีเป้าหมายเป็นหนึ่งเดียวคือต้องการโค่นล้มระบอบทักษิณ และไม่ยอมกลับบ้านแม้นางสาวยิ่งลักษณ์จะชิงยุบสภา

แต่ปัญหาใหญ่ของกำนันสุเทพที่ดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) ก็คือ จะทำอย่างไรให้นางสาวยิ่งลักษณ์ลาออกจากตำแหน่งรักษาการนายกรัฐมนตรีตามกฎหมาย ซึ่งจะส่งผลทำให้คณะรัฐมนตรีทั้งคณะตกอยู่ในสภาพเดียวกัน เพราะจนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีทีท่าว่าฝันจะกลายเป็นความจริง

ทั้งตัวนายกฯ ยิ่งลักษณ์และบรรดาขี้ข้าของตระกูลต่างก็พากันดาหน้าออกมานั่งยัน นอนยันและยืนยันว่า ไม่สามารถทำได้ เพราะกฎหมายไม่เปิดช่องให้

ขณะที่ข้าราชการก็มิได้แสดงออกว่ายอมสยบต่อ “คำสั่ง” ของ กปปส.ที่ใช้พลังของมวลมหาประชาชนในการ “ประชาภิวัฒน์” ยึดอำนาจอธิปไตยของประเทศแทนการรัฐประหาร โดยเฉพาะอย่าง “ทหาร” ที่ชื่อ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ซึ่งแสดงออกชัดเจนว่ายังคงเป็นอันหนึ่งอันเดียวนางสาวยิ่งลักษณ์เหมือนเดิม ไม่เช่นนั้นคงไม่อนุญาตให้คณะรัฐมนตรีใช้สโมสร ทบ.เป็นสถานที่ประชุม และตอบปฏิเสธการขอเข้าพบของ กปปส.เพื่อชี้แจงตลอดรวมถึงแนวทางการปฏิรูปประเทศโดยไม่ต้องไตร่ตรอง

แต่ที่น่าหนักอกไม่แพ้กันก็คือการที่พรรคประชาธิปัตย์ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ “แบะท่า” ว่าจะส่งผู้สมัครของพรรคลงเลือกตั้งวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 เพราะนั่นจะทำให้ประชาชนถูกแบ่งออกเป็น 2 ฝ่ายไปโดยปริยาย เนื่องจากเชื่อได้ว่า จะมีมวลชนส่วนหนึ่งที่เห็นดีเห็นงามกับการลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(ส.ส.) ซึ่งจะกลายเป็นอุปสรรคในการทำประชาภิวัฒน์ของกำนันสุเทพอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

**ยึดอำนาจผ่านมาตรา 3 ตั้งนายกฯ ผ่านมาตรา 7

หลังจากติดตามการเคลื่อนไหวของกำนันสุเทพในฐานะเลขาธิการ กปปส.ว่าจะทำอย่างไรหลังจากนางสาวยิ่งลักษณ์ชิงยุบสภาในวันที่ 9 ธันวาคม 2556 มาตลอดทั้งวัน ในที่สุดความชัดเจนก็ปรากฏจากแถลงการณ์ของ กปปส.โดยนายสุเทพประกาศเสียงดังฟังชัดว่า มวลมหาประชาชนใช้อำนาจตามมาตรา 3 ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 ที่เขียนเอาไว้ว่า เพื่อเรียกอำนาจคืนจากรัฐบาลที่นายสุเทพใช้คำว่า ทรยศประชาชน เป็นการ “ประชาภิวัฒน์” เพื่อปฏิรูปประเทศไทย

“อาศัยอำนาจของประชาชน ตามมาตรา 3 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งบัญญัติหลักการว่า อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย ขอประกาศว่า มวลมหาประชาชน ข้าราชการพลเรือน ทหาร และตำรวจ ผู้รับความเป็นธรรมที่ได้แสดงพลังร่วมกันอย่างที่ไม่เคยปรากฏ มาก่อนในประวัติศาสตร์ มีความจำเป็นต้องกระทำการพิทักษ์หลักการสำคัญในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จึงใช้สิทธิ์ของมวลมหาประชาชนเรียกคืนอำนาจการปกครองแผ่นดินจากกลุ่มการเมืองดังกล่าว คืนกลับสู่ประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจสูงสุดนั้น

“อันเป็นการประชาภิวัฒน์ เพื่อการปฏิรูปประเทศไทย ขจัดภยันตราย อันเกิดจากการทุจริตคอร์รัปชั่นให้หมดไป และดำเนินการทางการเมืองให้เกิดความเป็นธรรมอย่างแท้จริงแก่ประชาชนทุกภาคส่วน”

แปลไทยเป็นไทยก็คือ กำนันสุเทพได้นำมวลมหาประชาชนกระทำการประชาภิวัฒน์เพื่อขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพียงแต่รัฐบาลชุดนี้ยังหน้าด้านไม่ยอมรับความพ่ายแพ้เท่านั้น

จากนั้นกำนันสุเทพได้สาธยายแนวทางการต่อสู้เอาไว้เบ็ดเสร็จเพิ่มเติมว่า “สิ่งที่ประกาศแถลงการณ์ มีความหมายชัดเจนว่า นับแต่นาทีนี้มวลมหาประชาชนปวงชนชาวไทยทั้งหลายได้เอาอำนาจคืนมาเป็นของปวงชนเรียบร้อยแล้ว “มีคนถามผมว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป ได้ตอบไปว่าวันนี้ได้แถลงการณ์อำนาจอธิปไตยเป็นอำนาจสูงสุดเป็นของประชาชนประชาชนจะจัดการบริหารประเทศเอง นั่นหมายความว่าต่อจากนี้ประชาชนจะแต่งตั้งบุคคลเป็นนายกรัฐมนตรีของประชาชนตั้งรัฐบาลของประชาชน นั่นหมายความว่าเราจะจัดให้มีสภาของประชาชน ทำหน้าที่นิติบัญญัติแทนพวกที่หักหลังเราซึ่งพ้นไปแล้ว

“จะให้โอกาสกับทุกฝ่าย กปปส.จะเรียกข้าราชการเหล่านั้นมารายงานตัวใครมาอยู่ข้างอำนาจประชาชน ใครไม่มาสยบใต้กระโปรงยิ่งลักษณ์ หลังจากนี้กปปส.จะออกประกาศสำคัญๆ ให้เกิดความสงบเรียบร้อยในบ้านเมือง โดยจะให้ประชาชนทุกหมู่เหล่าจัดตั้งกองกำลังอาสารักษาความสงบดูแลแทนตำรวจและกองกำลังอาสารักษาความสงบจะเป็นกำลังต่อสู้ดูแลประชาชน”นายสุเทพขยายความโดยละเอียด

ทว่า โดยข้อเท็จจริงไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนที่กำนันสุเทพในฐานะเลขาธิการ กปปส.แถลงข้างต้นตราบใดที่นางสาวยิ่งลักษณ์ยังคงรักษาการในเก้าอี้นายกรัฐมนตรีหลังประกาศยุบสภาจนกว่าจะมีคณะรัฐมนตรีชุดใหม่โดยมีรัฐธรรมนูญรองรับ ซึ่งก็มิอาจปฏิเสธได้ แถมยังขณะนี้ก็มีพระราชกฤษฎีกากำหนดวันเลือกตั้งออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้วคือในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557

ด้วยเหตุดังกล่าว การยุบสภาจึงมิใช่การถอยสุดซอยของระบอบทักษิณ หากแต่คือการเปิดเกมรุกโดยท่องคาถา “เลือกตั้งคือวิถีทางแห่งประชาธิปไตย” กดดันไม่ให้ กปปส.เดินหน้าไปสู่เป้าหมายการเลือกตั้งสภาประชาชน พร้อมทั้งกอดรัฐธรรมนูญปี 50 ที่ตัวเองเคยรังเกียจเอาไว้ราวกับไข่ในหิน ดังเช่นที่ “ไชยันต์ ไชยพร” อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยบอกไว้ว่า “เมื่อมีการยุบสภา ความชอบธรรมก็กลับมาสู่รัฐบาลยิ่งลักษณ์”

เมื่อทั้งสองฝ่ายต่างไม่ยอมถอยและเปิดเกมรุกเข้าใส่กัน ปัญหาใหญ่ที่สุดจึงมาหยุดอยู่ตรงที่ขณะนี้ประเทศไทยได้มีอำนาจซ้อนอำนาจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

อำนาจแรกนำโดยกำนันสุเทพที่มีมวลมหาประชาชนหนุนหลัง

อำนาจที่สองนำโดยนางสาวยิ่งลักษณ์ที่มีขี้ข้าของระบอบทักษิณหนุนหลังเช่นกัน

แต่ดูเหมือนว่า ปัญหาของกำนันสุเทพจะยุ่งยากและซับซ้อนมากกว่าหลายเท่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งการอธิบายให้สังคมในทุกภาคส่วนเข้าใจว่า การปฏิวัติประชาชนทำได้ตามมาตรา 3 ของรัฐธรรมนูญได้อย่างไร และการคัดสรรผู้ที่จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีชั่วคราวเพื่อการปฏิรูปประเทศตามมาตรา 7 ของรัฐธรรมนูญทำได้อย่างไร

ธีรยุทธ บุญมี อาจารย์ประจำคณะสังคมวิทยาและมนุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และผู้อำนวยการสถาบันสัญญาธรรมศักดิ์เพื่อประชาธิปไตย ได้แสดงความคิดซึ่งสรุปสาระสำคัญได้ว่า “กปปส. ควรตระหนักว่า การประกาศทวงอำนาจสูงสุดคืออำนาจอธิปไตยคืนเป็นของประชาชน ซึ่งโดยนัยยะมี กปปส. เป็นตัวแทนถืออำนาจนั้น เป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่สำคัญมาก ไม่เคยปรากฏมาก่อนในบ้านเรา เพราะมันหมายถึงการยอมให้มีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือครองอำนาจในการจัดการสิทธิเสรีภาพในชีวิต ทรัพย์สิน ของแต่ละคน รวมทั้งทิศทางทั้งหมดของประเทศได้”

“แต่การจะได้มาซึ่งอำนาจอธิปัตย์โดยเฉพาะการยอมรับจากประมุขประเทศ และการสนับสนุนถึงขั้นให้ข้าราชการทหาร ตำรวจ พลเรือน มารายงานตัว ยังต้องอาศัยการยอมรับ ความไว้วางใจในเจตจำนงทางการเมือง อุดมการณ์ทางเศรษฐกิจ การเมือง บุคลิกท่วงทำนองประชาธิปไตย การเคารพซึ่งกันและกัน การอดทนต่อความแตกต่าง บุคคลเข้าร่วมหรือพร้อมจะเข้าร่วมที่มีคุณวุฒิ มีความสามารถด้านต่างๆ มาประกอบ ถ้าจะเปรียบเทียบก็คือ กปปส. และมวลมหาประชาชนเป็นเสมือนฐานราก ยังจำเป็นต้องมีส่วนอื่นๆ คือ เสา ฝา หลังคา รั้ว เพื่อประกอบเป็นโครงสร้างหน้าที่ที่สมบูรณ์”

แน่นอน นั่นไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับกำนันสุเทพ

10 ธันวาคม 2556 กำนันสุเทพประกาศท่าทีซ้ำอีกครั้งผ่านประกาศ กปปส. ฉบับที่ 2/2556 ซึ่งถือว่ามีความสำคัญมากเพราะแสดงให้เห็นชัดเจนว่างานนี้เดิมพันสุดชีวิตและไม่สามารถสะกดคำว่าแพ้ได้เช่นกัน

คำสั่งดังกล่าวมีทั้งหมด 4 ข้อด้วยกันคือ

1. ให้มีการดำเนินคดีต่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กับพวกฐานกบฏ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 113 เนื่องจากได้กระทำการล้มล้าง หรือเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ หรือให้ใช้อำนาจดังกล่าวแล้วไม่ได้ อันถือเป็นความผิดอาญารายแรง และจงใจฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย โดยไม่สุจริต ครั้งแล้วครั้งเล่า

2. ให้ผู้บัญชาการตำรวจสั่งให้ตำรวจทุกหน่วยถอนกำลังกลับไปที่ตั้งปรกติ
และปฏิบัติหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยและทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่ตามปรกติ โดยให้ออกคำสั่งภายใน 12 ชั่วโมง นับแต่มีคำสั่งนี้

3. คณะกรรมการ กปปส.เห็นว่า เจ้าหน้าที่ทหารเป็นหน่วยงานที่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนมากที่สุด จึงขอให้ปฏิบัติหน้าที่รักษาสถานที่ราชการเพื่อให้เกิดความเรียบร้อยต่อไป

4. ขอให้มวลมหาประชาชนติดตามพฤติกรรมความเคลื่อนไหวของคนในตระกูลชินวัตร และบุคคลในคณะรัฐมนตรีที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญอย่างใกล้ชิด และให้แสดงออกต่อบุคคลดังกล่าวในแนวทาง สันติ อหิงสา เพื่อให้หยุดกระทำการอันฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ และเจตจำนงของประชาชน

นี่คือการท้าทายอำนาจรัฐบาลยิ่งลักษณ์อย่างถึงที่สุด

แต่คำถามมีอยู่ว่า แล้วใครจะดำเนินคดีกับนางสาวยิ่งลักษณ์กับพวกในข้อหากบฏ....ตำรวจที่มีวันนี้เพราะพี่ให้เช่นนั้นหรือ

และคำถามก็มีอยู่ว่า พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติจะทำตามคำสั่งของนายสุเทพและกปปส.ในการสั่งให้ตำรวจทุกหน่วยถอนกำลังกลับไปที่ตั้งปรกติเช่นนั้นหรือ ซึ่งสุดท้ายกาลเวลาก็พิสูจน์ให้เห็นชัดเจนแล้วว่า มะเขือเทศก็ยังคงเป็นมะเขือเทศวันยังค่ำ

**ประชาธิปัตย์-บิ๊กถั่งเช่า อุปสรรคใหญ่ของการปฏิวัติประชาชน?

อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่ใหญ่ยิ่งเสียกว่าของกำนันสุเทพ ไม่ได้อยู่ที่การจับกุมนางสาวยิ่งลักษณ์และให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติปฏิบัติตามคำสั่ง แต่อยู่ตรงที่ว่า จะทำอย่างไรให้ “หัวหน้าส่วนราชการ” ยอมรับอำนาจของกำนันสุเทพและกปปส.

ทำอย่างไรจะให้ปลัดกระทรวงและข้าราชการระดับสูงเลิกกลัวระบอบทักษิณ พร้อมทั้งหันมาอยู่เคียงข้างมวลมหาประชาชน

โดยเฉพาะปัญหาใหญ่ที่สุดก็คือ “พรรคสีเขียว” ที่ถือเป็นสถาบันที่ต้องยอมรับว่า มีผลต่อความเป็นไปของประเทศนี้อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ และในเวลานี้ก็ต้องยอมรับอีกเช่นกันว่า พรรคสีเขียวแบ่งออกเป็น 2 ฝัก 2 ฝ่ายอย่างชัดเจน เนื่องจากเมื่ออยู่ในอำนาจ ระบอบทักษิณได้แต่งตั้งคนของตนเองเข้ามาในตำแหน่งแห่งหนต่างๆ รวมทั้งหยิบยื่นถุงขนมให้บิ๊กสีเขียวน้อยใหญ่ก็ไม่ใช่น้อย

ยิ่งเมื่อย้อนดูประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาในช่วงระยะเวลาไม่ใกล้ไม่ไกลจากนี้ก็ยิ่งน่าเป็นห่วง เพราะ “คลิปถั่งเช่า” สำแดงให้เห็นว่า บรรดาบิ๊กๆ เกือบทั้งหมดกลายเป็น “แตงโม” ผลไม้สุดโปรดของดาราออสการ์แห่งทำเนียบรัฐบาลจนแทบจะหมดแล้ว

สำหรับปฏิกิริยาจากพี่ใหญ่แห่งพรรคสีเขียวนำโดย “บิ๊กป้อม” ที่เคยกอดคอร่วมรัฐบาลของกำนันสุเทพที่ดูเหมือนจะโดดเด่นและได้รับการกล่าวถึงอย่างมากในขณะนี้ ก็ไม่อาจมั่นใจได้ว่า เลือกยืนอยู่ข้างมวลมหาประชาชนโดยบริสุทธิ์ใจ เพราะพี่ใหญ่แห่งพรรคสีเขียวคนนี้ ตลอดรวมถึงเพื่อนพ้องน้องพี่ดูจะสนุกสนานและพึงพอใจในบทบาท “ตีกิน” ที่ถนัดเสียมากกว่า ดังที่เคยพยายามเป็นกาวใจในการเจรจาระหว่างกำนันสุเทพและนางสาวยิ่งลักษณ์ ณ กรมทราบราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์(ร.1รอ.) ซึ่งมีข้อมูลยืนยันตรงกันว่าเกิดขึ้นมาแล้วถึง 3 ครั้งด้วยกัน

เนื่องจากไม่ว่าใครชนะ พี่ป้อม พี่ป๊อกและน้องตู่ ก็ล้วนแล้วแต่ได้กับได้

ที่สำคัญคือ วันนี้สถานการณ์มิได้เป็นไปตามประกาศข้อที่ 3 ของ กปปส.ฉบับที่ 2/2556 ว่า เจ้าหน้าที่ทหารเป็นหน่วยงานที่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนมากที่สุดอีกต่อไป

กำนันสุเทพจะต้องเลิกเกรงใจบิ๊กป้อม บิ๊กป๊อกอดีตนายทหารนอกราชการแห่งพรรคสีเขียวได้แล้ว

กำนันสุเทพจะต้องเลิกเกรงใจและเลิกใช้ท่าทีที่อ่อนน้อมถ่อมตนต่อพรรคสีเขียวได้แล้ว เพราะวันนี้กำนันสุเทพคือผู้นำมวลมหาประชาชน มิใช่นักการเมืองที่จะต้องงอนง้อขอความช่วยเหลือจากพรรคสีเขียวเพื่อให้พรรคประชาธิปัตย์จัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จเหมือนเมื่อครั้งที่ผ่านมา

นอกจากนี้ บทพิสูจน์ที่ชัดเจนอีกประการหนึ่งว่า พรรคสีเขียวสุขสำราญบานใจกับถั่งเช่าก็คือการที่ กปปส.โดยกำนันสุเทพมีมติขอพบหน่วยงานของรัฐที่ดูแลความมั่นคง คือ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการเหล่าทัพ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ก่อนเวลา 20.00 น.ของวันที่12 ธันวาคมอย่างเปิดเผย ไม่ปิดลับ
เพื่อชี้แจงจุดยืนแนวทางการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศ และเปิดโอกาสให้สอบถามจุดยืน แนวทางเพื่อที่จะตัดสินใจเข้าร่วมหรือไม่

“วันนี้ยังมีข้าราชการที่อาจจะยังไม่ชัดเจน ยังไม่เข้าใจว่าเป้าหมายที่แท้จริงคือการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยเพื่ออนาคตที่ดีกว่า จึงไม่ได้เข้าพบกรรมการ กปปส.อย่างเป็นทางการ จึงเห็นว่า มีความจำเป็นที่คณะกรรมการ กปปส.จะได้ชี้แจงต่อผู้มีอำนาจเพื่อให้ซักถาม สอบถาม ให้ชัดเจน เพื่อประกอบการตัดสินใจได้ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่ารัฐบาลยังคงดึงดันอยู่ ข้าราชการจึงมีความลังเลใจ ส่วนการออกหมายจับในคดีกบฏนั้นตนไม่ได้กังวลใจ เพราะคำสั่งใดๆ ที่รัฐบาลสั่งการใดๆ ย่อมไม่ชอบธรรมตามกฎหมาย”

นี่คือการเปิดเกมรุกในทางยุทธศาสตร์ที่ต้องยกนิ้วให้ในความใจถึง

ทว่า สัญญาณที่ถูกส่งออกมากลับเป็นไปในทางตรงกันข้าม เมื่อ พล.อ. ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เล่นบท “ขอมดำดิน” หายตัวไปโดยไร้สาเหตุ กำนันสุเทพพยายามต่อสายในทุกวิถีทาง ก็ “ไม่มีคำตอบจากหมายเลขที่เรียก” เลยแม้แต่ครั้งเดียว จนต้องประกาศนัดพบออกอากาศทางเวทีการชุมนุม

จริงอยู่ พล.อ.ธนะศักดิ์อาจจะงอนหรือน้อยใจที่กำนันสุเทพไม่เห็นหัว เพราะในการเจรจาระหว่างนางสาวยิ่งลักษณ์และกำนันสุเทพทั้ง 3 ครั้ง ไม่ปรากฏชื่อ พล.อ.ธนะศักดิ์ เข้าร่วมด้วย มีแต่ 2 ทหารแก่แห่งพรรคสีเขียวบิ๊กป้อม บิ๊กป๊อกเท่านั้น แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่นายทหารชั้นผู้ใหญ่จะคิดเล็กคิดน้อย เพราะเรื่องของบ้านเมืองเป็นเรื่องของทุกคนที่จะต้องหันหน้ามาช่วยกันแก้ไขปัญหา ไม่ใช่หนีปัญหา

ขณะที่บรรดาแม่ทัพนายกองทั้งหลายก็อาศัยจังหวะที่ พล.อ.ธนะศักดิ์ไม่มีเสียงตอบรับจากหมายเลขที่กำนันสุเทพเรียกโบ้ยอย่างไม่รอช้าว่า ต้องรอผู้บัญชาการทหารสูงสุดเสียก่อนเพราะเป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรง

ยิ่ง “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ยิ่งไม่ต้องพูดถึง

สายๆ วันที่ 12 ธันวาคม 2556 พล.อ.ประยุทธ์ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวไอ.เอ็น.เอ็น.ไว้ชัดเจนว่า “ยังไม่มีการตอบรับเข้าร่วมหารือกับนายสุเทพและคณะ เพราะเรื่องนี้ต้องมีการพูดคุยกันทุกเหล่าทัพก่อน และยังไม่ได้มีการรายงานเรื่องนี้กับนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมทราบ เนื่องจากตนเองไม่มีอำนาจมากพอในเรื่องดังกล่าว อีกทั้งกองทัพต้องแสดงความเป็นกลาง จึงขออย่านำกองทัพไปอยู่ท่ามกลางความขัดแย้ง และเห็นว่าความยุติธรรมเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการแก้ไขปัญหาที่ดีสุด อย่างไรก็ตาม ปัญหาในประเทศครั้งนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่ ไม่เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา หากคนไทยแก้ไขปัญหาด้วยการตอบโต้กันทั้งสองฝ่ายจะไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหยุด จึงขออย่าลืมว่าทุกคนคือคนไทยด้วยกัน ถึงแม้ว่าจะมีการเกลียดชังคนใดคนหนึ่งก็ตาม”

ทำไมทหารถึงปิดโอกาสในการรับฟังความคิดเห็นของมวลมหาประชาชน?

นี่คือคำถามที่มวลมหาประชาชนไม่เข้าใจว่าทำไมบรรดาแม่ทัพนายกองถึง
พร้อมใจกันเล่นบท “THE LAST ไทยเฉย”

ทั้งๆ ที่นี่คือเวทีที่ดีที่สุดที่ทุกฝ่ายจะร่วมกันหาทางออกให้กับประเทศ ใครคิดอย่างไรก็บอกออกมา ไม่ชอบใจตรงไหนก็ชี้แจงแถลงไขร่วมกันหาทางออก

หรือแม่ทัพนายกองเกรงว่า จะทำให้นายใหญ่และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมอันเป็นที่รักยิ่งจะเข้าใจผิด จึงพร้อมใจกันเล่นบท “THE LAST ไทยเฉย”กันเสียอย่างนั้น

และในที่สุดนายสุเทพและผู้บัญชาการเหล่าทัพก็ไม่ได้เจอกันในวันที่ 12 ธันวาคมตามที่ กปปส.ร้องขอ

แต่โชคยังดีที่สุดท้ายแล้วมี “อะไรบางอย่าง” มาดลใจให้ผู้บัญชาการทหารสูงสุดและผู้บัญชาการเหล่าทัพตอบรับให้กำนันสุเทพและตัวแทน กปปส.เข้าพบในวันที่ 14 ธันวาคม 2556 เวลา 15.00 น.ตามคำเปิดเผยของกำนันสุเทพ จนหลายคนถึงกับบอกว่า “มาช้ายังดีกว่าไม่มา”

ทว่า ก็คงต้องติดตามกันต่อไปว่า การพบปะดังกล่าวจะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อการปฏิวัติประชาชนหรือไม่ หรือจะได้รับคำตอบแบบเดิมๆ ที่คุ้นชินคือ “การเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง”

หรือจะเป็นอย่าง พ.อ.วินธัย สุวารี รองโฆษกกองทัพบก แถลงแก้เกมในช่วงบ่ายๆ เย็นๆ ของวันที่ 12 ธันวาคมว่า “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบกยืนยันว่าจะพยายามทำหน้าที่และรักษาบทบาทของทหารภายใต้สถานการณ์ในขณะนี้ให้ดีที่สุด ด้วยการทุ่มเทใช้สติปัญญาในการแก้ไขปัญหาอย่างเต็มที่ เพื่อให้วิกฤตการณ์ครั้งนี้ยุติลงได้โดยเร็วที่สุด ทุกปัญหาที่ได้มีการกล่าวถึง พวกเราทุกคนทราบดี และตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาได้พยายามแก้ไขปัญหา โดยวิธีที่ถูกที่ควรมาตามลำดับในทุกกรณี สิ่งที่สำคัญในปัจจุบันไม่ใช่เฉพาะเรื่องถูกผิดในทางกฎหมาย หรือรัฐธรรมนูญเพียงอย่างเดียว แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วง คือ การพยายามสร้างความเข้าใจให้กับประชาชนจำนวนมากของแต่ละฝ่าย ซึ่งพร้อมจะเผชิญหน้าเข้าปะทะกันตลอดเวลา สิ่งที่ต้องช่วยกันคิดขณะนี้ไม่ใช่เพียงมุ่งแก้ไขปัญหาในระดับบน หรือระหว่างคู่ขัดแย้งเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เราจำเป็นจะต้องสร้างความเข้าใจให้สังคมครอบคลุมทั้งในประเทศ และต่างประเทศด้วย ซึ่งนับเป็นความแตกต่างสำคัญของสถานการณ์ในอดีตและปัจจุบัน”

และสุดท้ายหวังว่ากองทัพจะไม่เป็นไทยเฉยอย่างที่มวลมหาประชาชนนึกกังวล

แต่ที่น่าปริวิตกไม่แพ้กันก็คือท่าทีของพรรคประชาธิปัตย์

เพราะแม้ล่าสุดนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และลูกพรรคจะตัดสินใจลาออกจาก ส.ส.ทั้งหมดเพื่อออกมาต่อสู้พร้อมกับกำนันสุเทพบนท้องถนน ทว่า พินิจพิเคราะห์แล้ว น่าจะเป็นการลาออกเพราะความจำใจมากกว่าเต็มใจ

นอกจากนี้ เมื่อรัฐบาลยิ่งลักษณ์ประกาศยุบสภา พรรคประชาธิปัตย์ของนายอภิสิทธิ์ก็แบะท่าว่า ความพอใจของพวกเขาหยุดอยู่ที่การยุบสภา พวกเขาพร้อมที่จะลงสมัครรับเลือกตั้ง พร้อมทั้งเดินหน้ารื้อโครงสร้างพรรครับศึกเลือกตั้งเต็มสูบ

ท่าทีดังกล่าวของพรรคประชาธิปัตย์เป็นผลมาจากการที่พวกเขาเชื่อว่า การที่มวลมหาประชาชนที่หลั่งไหลกันออกมาบนท้องถนนมากมายมหาศาลจะทำให้พวกเขาชนะศึกเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง

ถ้าสุดท้ายเป็นเช่นนั้นจริงก็ย่อมหมายความว่า ความพยายามของกำนันสุเทพในการปฏิวัติประชาชนเพื่อปฏิรูปประเทศไทยพังพินาศไปในชั่วพริบตา โดยมีพรรคประชาธิปัตย์เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา

ยิ่งเมื่อนานวันไป กปปส.และกำนันสุเทพก็จะยิ่งอ้อนล้า มวลชนที่ตรากตรำสู้ศึกด้วยหัวใจที่แน่วแน่ก็ย่อมตกอยู่ในสภาพที่ไม่แตกต่างกัน

สุดท้าย ถามว่าความพยายามทั้งหลายทั้งปวงของกำนันสุเทพจะประสบความสำเร็จ หรือว่ายากไหม ตอบได้ทันทีว่ายาก

ยิ่งเจอบทดรามาบีบน้ำตาพร้อมสะบัดบ๊อบของนางสาวยิ่งลักษณ์ด้วยแล้ว ยิ่งต้องบอกว่า ลึกล้ำเหนือคำบรรยาย

ยิ่งถ้าเหล่านายพลถั่งเช่ายังคงชอบเดินตามก้นคนสวยเหมือนที่ผ่านมาโดยไม่เปลี่ยนใจ งานนี้สุดท้ายอาจจะได้เพียงแค่การยุบสภาเป็นรางวัลปลอบใจมวลมหาประชาชนเท่านั้น

รู้แล้วหรือยังว่า ทำไมนักโทษชายหนีคดีทักษิณ ชินวัตรจึงตัดสินใจให้น้องสาวนั่งถ่างขานั่งเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมอีกตำแหน่งหนึ่ง

วันนี้ ประชาภิวัฒน์กำลังเจอฤทธิ์ถั่งเช่าเข้าไปจนกำนันสุเทพแน่นอกไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีทางออก และทางออกนั้นก็คือ กำนันสุเทพเลิกสนใจนายพลถั่งเช่าได้แล้ว เห็นพวกเขาเป็นเพียงแค่องค์กรเล็กๆ ที่ไม่มีความสลักสำคัญอะไร และเดินหน้าใช้มวลมหาประชาชนเป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็กในการปฏิรูปประเทศเพียงอย่างเดียว

จงศรัทธาในพลังประชาชน.....และความสำเร็จจะบังเกิดขึ้น


สุเทพ เทือกสุบรรณ
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร
พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง
พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย
พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว
กำลังโหลดความคิดเห็น