ผ่าประเด็นร้อน
วันนี้ 9 ธันวาคม 2556 มวลมหาประชาชนทั้งประเทศจะพร้อมใจกันออกมาแสดงพลังเพื่อประกาศเจตนารมณ์ “ขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์-โค่นล้มระบอบทักษิณ-ปฏิรูปประเทศไทย” อย่างพร้อมเพียงกัน มุ่งหน้าสู่หน้าทำเนียบรัฐบาลในเวลานัดหมาย 9.39 น.
ประเมินจากข่าวสารแล้วมวลชนจะมากันมากเป็นประวัติการณ์ และเป็นประวัติศาสตร์การเมืองไทยต้องบันทึกไว้ว่า 9 ธ.ค. 2556 เป็นวันที่มีประชาชนออกมารวมตัวทางการเมืองบนท้องถนนมากที่สุดกว่าครั้งไหนๆ จำนวนกว่าล้านคน
หากเกิดภาพคลื่นมหาประชาชนคนไทยเช่นนั้น แม้ต่อให้ยิ่งลักษณ์ดื้อด้านอย่างหนาตราช้าง ไม่ลาออก-ไม่ยุบสภา ก็ถือว่าหมดความชอบธรรมทางการเมืองแล้วประชาชนไม่เอาแล้ว อยู่ต่อไปก็ไม่สง่างาม ปกครองได้แต่บริหารไม่ได้
ตามกระแสข่าวบอกไว้ล่วงหน้าว่าแม้ 9 ธ.ค.มีคนออกมาล้นหลามขนาดไหน ก็ยากที่ ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ชินวัตร จะยอมแพ้ ถึงขั้นลาออก-ยุบสภา ง่ายๆ คงจะยื้อให้นานที่สุดเว้นแต่ไม่ไหวจริงๆ ก็อาจยอมถอย
จึงจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองขึ้น
ทั้งนี้ ดูได้จากหลังที่สุเทพเทือกสุบรรณแกนนำกลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือ “กปปส.” ประกาศทุบหม้อข้าว เดิมพัน 9 ธ.ค.นี้ “แพ้เป็นแพ้ ชนะเป็นชนะคนไม่ออกมาก็เข้ามอบตัวทันที”
ฝ่ายรัฐบาลต้องเตรียมรับมือขั้นสูงสุดเพื่อป้องกันบริเวณพื้นที่รอบทำเนียบรัฐบาลอย่างเต็มที่แม้ฝ่าย กปปส.จะยืนยันแล้วว่าจะมาแค่หน้าทำเนียบรัฐบาลไม่มีการบุกเข้าทำเนียบรัฐบาลก็ตาม โดยตัวยิ่งลักษณ์เองก็ได้เดินทางเข้าประชุมเพื่อรับฟังสรุปแผนการรับมือของศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติด้วยตัวเองเมื่อวันอาทิตย์ที่ 8 ธ.ค.
แล้วตามด้วยการออกแถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทยย้ำว่าพร้อมลาออก หรือยุบสภา แต่ยิ่งลักษณ์ก็ไม่ได้บอกว่าจะทำเมื่อไหร่ แถมยื่นข้อเสนอว่าพร้อมเปิดเวทีรับฟังข้อเสนอจากทุกภาคส่วนแต่ทีท่าชัดเจนว่าไม่ตอบรับแนวทางสภาประชาชนหรือนายกฯ พระราชทาน อ้างเพราะไม่มีแนวทางที่ชัดเจนและไม่มีกฎหมายรองรับ
“รัฐบาลมีความพร้อมที่จะยุบสภา หากเป็นความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่แต่หากผู้ชุมนุมและพรรคการเมืองใหญ่ไม่ตอบรับ หรือไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งก็จะเป็นเพียงการยืดเวลาของความขัดแย้งออกไป เช่นเดียวกับเหตุการณ์ความวุ่นวายในปี 2549 ซึ่งมีพรรคการเมืองบอยคอตไม่ลงรับสมัครเลือกตั้งทำให้เกิดภาวะสุญญากาศทางการเมือง อันนำไปสู่ปฏิวัติรัฐประหารในที่สุดอยากเห็นทุกฝ่ายหาทางออกร่วมกันโดยในวันจันทร์นี้รัฐบาลพร้อมรับฟังข้อเสนอของผู้ชุมนุมเพื่อมาหาทางออกร่วมกันวันนี้ไม่มีใครแพ้แต่ประเทศและประชาชนชนะ”
ท่าทีของยิ่งลักษณ์ย่อมเห็นชัดว่าคือการ ถอย แบบรักษาจังหวะ เพื่อยังคงให้ตัวเองคุมความได้เปรียบเหนือมวลชนอย่างน้อย 1-2 ก้าวไว้เสมอเหมือนที่ผ่านมาจึงไม่ระบุให้ชัดว่าจะยุบสภาเมื่อใด อันจะเป็นการผูกมัดตัวเอง
แถมใช้วิธีการเดิมๆคือยังหวังจะดึงสุเทพ-กปปส.-มวลชนเข้าสู่การเจรจาแก้ปัญหาเพื่อซื้อเวลาต่อไปอีกที่สำคัญพยายามขอให้สุเทพ-มวลชนรวมถึงพรรคประชาธิปัตย์ต้องพูดให้ชัดว่าหากยุบสภาฯแล้ว จะไม่บอยคอตการเลือกตั้งเหมือนปี 49 และหากผลเลือกตั้งออกมาแล้วก็ต้องจบ จะมาเรียกร้องอะไรอีกไม่ได้
การถอยแบบคุมจังหวะความได้เปรียบของทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ที่ทำเช่นนี้เสมอเพราะไม่เคยสนใจความจริงที่ว่า ประชาชนเขาไม่เอาระบอบทักษิณกันแล้วเมื่อยิ่งลักษณ์ยังแสดงท่าทีถอยแบบไม่จริงใจและทำเพียงเพื่อประคองอำนาจไปเรื่อยๆไม่ได้คิดเรื่องอนาคตประเทศและการปฏิรูปประเทศ อย่างที่มวลชนต้องการ
ดังนั้น ไม่ควรที่ กปปส.-มวลชนจะต้องไปเจรจารับข้อเสนอดังกล่าว เพราะเห็นชัดว่า ยิ่งลักษณ์ประเมินกำลังมวลมหาประชาชนต่ำเกินไป
เมื่อเป็นเช่นนี้มวลชนที่รู้เท่าทันเหลี่ยมคูการเอาตัวรอดของทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ น่าจะออกมาแสดงพลังกันให้ล้นหลามกว่าการชุมนุมทุกครั้ง
อย่างไรก็ตาม การปิดบัญชีจะทำกันอย่างไร การประกาศให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์เป็นโมฆะโดยมหหาประชาชนจะทำได้ไหมยังเป็นข้อถกเถียงว่าทางนิตินัยจะมีผลได้หรือไม่ แต่ส่วนสำคัญที่สุดที่จะทำให้เรื่องนี้สำเร็จและจบลงได้โดยสันติก็คือ
“กองทัพ” ที่จะต้องขานรับด้วยกับประชาชน
หากแต่ไม่ใช่การทำรัฐประหารอย่างที่หลายคนเข้าใจแต่เป็น “การปฏิวัติโดยประชาชน” เพื่อทำให้สภาประชาชนเกิดภายใต้ความเป็นองค์อธิปัตย์ที่เกิดจากมติมวลมหาประชาชนอันเป็นเรื่องที่แม้แต่นักรัฐศาสตร์หลายสำนักในประเทศไทย ก็ยังตามไม่ทันกับแนวคิดนี้
เพราะที่ผ่านมาประชาธิปไตยของไทย 81 ปี ไม่เคยมีปรากฏการณ์การปฏิวัติโดยประชาชน มีแต่ปฏิวัติโดยทหารจึงทำให้หลายคนมองโมเดลสภาประชาชน-การปฏิรูปประเทศด้วยกรอบความคิดแบบเดิมๆและอ่านไม่ออกว่าการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองโดยใช้พลังมวลชนอย่างเดียวไม่ต้องอาศัยรถถังของกองทัพจะได้ทำอย่างไร
เรื่องนี้จะเกิดขึ้นได้หรือไม่ในวันที่ 9 ธ.ค.หลายคนก็ยอมรับว่ายากเพราะเป็นเรื่องแนวคิดแบบการเมืองในอุดมคติที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทยแต่ก็ใช่ว่าจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากต้องการจะให้เกิด ลำดับแรกประชาชนจะต้องออกมาตามนัดหมายจนล้นหลามชนิดรอบทำเนียบรัฐบาลและจุดนัดหมายสำคัญๆ ที่กลุ่ม กปปส.และกลุ่มเคลื่อนไหวต่างๆ นัดหมายกันจะต้องเนืองแน่นไปด้วยประชาชนจนแทบไม่มีที่ยืนรวมถึงผู้ชุมนุมจะต้องสามารถยึดกลไกอำนาจรัฐบางอย่างไว้ในมือหรือทำให้กลไกอำนาจรัฐล้มเหลวทำงานไม่ได้ทั้งระบบไม่ใช่แค่ยึดสถานที่ราชการเท่านั้น
เมื่อนั้นก็อาจเป็นไปได้ที่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งสำคัญอาจเกิดขึ้นโดยประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจที่แท้จริงหาใช่การเปลี่ยนแปลงโดยกองทัพที่ล้าสมัยไปแล้ว อีกทั้งก็ต้องขึ้นอยู่กับยิ่งลักษณ์ด้วยเพราะหากยืนกรานปฏิเสธเสียงของประชาชนที่ออกมาทวงอำนาจอธิปไตยของตัวเองกลับคืนมาด้วยวาทะเดิมๆ “มาจากการเลือกตั้งของประชาชน” และอ้างข้อเสนอของ กปปส.ทำไม่ได้ขัด รธน.เป็นพวกกบฏเข้าข่ายล้มล้างการปกครองผิด รธน.มาตรา 68 แล้วยื้อไปอีกก็คงทำให้ศึกนี้อาจจบไม่ลงในวันที่ 9 ธ.ค.นี้
ท่าทีล่าสุดของ “กำนันสุเทพ” บนเวทีปราศรัยที่ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ เมื่อค่ำวันเสาร์ที่ 7 ธ.ค. เขายังย้ำว่าทุกอย่างต้องจบในวันที่ 9 ธ.ค.ขอให้ประชาชนลุกฮือขึ้นทั่วประเทศเพื่อเอาอำนาจอธิปไตยที่แท้จริงของประชาชนกลับคืนมา โดยจะทำให้อำนาจของประชาชนเป็นรัฏฐาธิปัตย์เพื่อให้มีสภาประชาชนรัฐบาลของประชาชน ยืนยันว่าแนวคิดเรื่องนี้ทำได้แน่นอน แต่หากประชาชนไม่ออกมาให้มากในวันที่ 9 ธ.ค. ก็พร้อมเดินเข้าคุก
ก็ต้องเชิญชวนประชาชนทั้งหลายให้ออกมาแสดงพลังกันให้มากในวันนี้ 9 ธ.ค.เพราะเหตุการณ์ครั้งนี้ ไม่ใช่เรื่องของสุเทพกับยิ่งลักษณ์ หรือสุเทพกับทักษิณแต่เป็นเรื่องของชาติ เรื่องของอนาคตประเทศ ที่ต้องทำเพื่อวางหลักปักฐานให้ลูกหลานของเราในวันข้างหน้าให้ได้มีการเมืองที่ดีขึ้น
หากเราไม่ออกมากันให้มากก็เท่ากับเราแพ้ให้กับระบอบทักษิณ อันหมายถึงคนไทยจะต้องเป็น “ขี้ข้าทักษิณและตระกูลชินวัตร” ต่อไปอีกนาน