(9 ธ.ค.56)
วันนี้ เป็นวันมหาประชาชัย !
เป็นวันที่ทักษิณต้องจดจำไปจนตาย !
เขาต้องจดจำคนชื่อสนธิ คนชื่อสุเทพ และยิ่งต้องจดจำ “มวลมหาประชาชน” !
ถึงที่สุดแล้ว เขาต้องยอมรับใน “ความจริง” ที่ว่า ในชีวิตนี้ เขาสามารถใช้เงินสร้างอำนาจได้ ซื้อคนได้ หรือกระทั่งเอาชนะสนธิ สุเทพได้ แต่ไม่อาจเอาชนะ สนธิ สุเทพ ที่ต่อสู้ร่วมเป็นร่วมตายอยู่กับ “มวลมหาประชาชน” ได้ !
อีกนัยหนึ่ง คู่ต่อสู้ของเขา ที่เขายิ่งสู้ยิ่งแพ้ จริงๆแล้ว มิใช่สนธิ สุเทพ แต่เป็น “มวลมหาประชาชน”
การต่อสู้ระหว่างเขากับมวลมหาประชาชน จึงไม่ต่างอะไรกับการปะทะกันระหว่าง “ไข่” กับ “ภูผาหิน”
ทุกครั้งที่ทักษิณวิ่งชนมวลมหาประชาชน โดยสำคัญว่าตนเองกำลังสู้กับสนธิ สุเทพ ผลจึงปรากฎครั้งแล้วครั้งเล่าว่า เขาเป็นผู้แพ้ราบคาบ ไม่ต่างอะไรกับไข่กระแทกหินผา !
แก่นแท้ของ “มวลมหาประชาชน”
ณ วันนี้ คำว่า “มวลมหาประชาชน” มีนัยของความเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ และนัยแห่งความเป็น “อำนาจกำหนด” การขับเคลื่อนของประเทศไทย แทนที่อำนาจกลุ่มทุน เป็นสาระหลักในการอธิบายการเมืองยุคใหม่ของประเทศไทย และอยู่ในฐานะเป็น “หัวใจ” ของ “ประชาธิปไตยสมบูรณ์ที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”
มันเป็นสิ่งที่เราๆท่านๆจะต้องทำความเข้าใจอย่างรอบด้าน เพื่อจะได้เข้าถึง “แก่นแท้” ระดับจินตภาพของ “มวลมหาประชาชน” เพื่อนำไปสู่การเสริมสร้างขบวนการประชาชนฯให้เข้มแข็ง สมบูรณ์ ทั้งทางความคิดและการจัดตั้งอย่างถาวร
สิ่งแรกที่เราจะต้องทำความเข้าใจคือกระบวนการเกิดขึ้นและการพัฒนา หรือ“ความเป็นมา”ของมวลมหาประชาชน จากนี้ไปจับจุดที่เป็น “เหตุปัจจัย” ชี้นำกำหนด ที่เป็น”จุดเด่นเฉพาะ” ที่สะท้อนลักษณะหรือคุณสมบัติเฉพาะที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากมวลชนทั่วไป
จุดเด่นเป็นเฉพาะของ “มวลมหาประชาชน” ที่ประกอบกันเข้าเป็น “กองทัพมวลชน” ต่อสู้โรมรันอยู่กับมือตีนของระบอบทักษิณระลอกแล้วระลอกเล่า อยู่ที่ “ความตื่นรู้”
“ความตื่นรู้” ที่ว่านี้ ล้วนมีที่มาจากแหล่งเดียวกัน คือจากการ “จุดเทียนปัญญา” ของแกนนำ ที่ “กล้า”นำเอา “ความจริง” มาพูด เปิดเผยให้เห็นความฉ้อฉลของนักการเมืองชั่ว และระบบการเมืองที่เอื้อให้นักการเมืองประพฤติชั่ว ซึ่งความ “กล้า” เช่นนี้ได้กลายเป็น “คุณสมบัติจำเป็น” ของผู้ที่จะก้าวขึ้นมาเป็นแกนนำทุกรุ่นในเวลาต่อมา
การ “จุดเทียนปัญญา” ได้สร้างความ “ทนไม่ไหว” ขึ้นในหมู่คนไทยโดยรวม และเมื่อใดที่ทักษิณ “เร่งเกม” เพื่อครองอำนาจเบ็ดเสร็จเหนือประเทศไทย ก็จะเกิดปรากฏการณ์ “ลุกฮือ” ของมวลชนทนไม่ไหวอย่างฉับพลันทันที และมีแนวโน้มที่จะขยายตัวใหญ่โตยิ่งขึ้น ตามการต่อสู้ที่ทวีความเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ
ประวัติศาสตร์ไทยยุคใหม่จะต้องจารึกไว้ว่า ในปลายปี 2548 คุณสนธิ ลิ้มทองกุล คือผู้เริ่มต้นกระบวนการ “จุดเทียนปัญญา” นำเอาเรื่องราวด้านมืดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มาเปิดเผยอย่างเป็นระบบผ่านทางรายการ “เมืองไทยรายสัปดาห์” ของสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 และการจัดกิจกรรมการเมือง “เมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร” ในภายหลังจากนั้น
เพียงสองสามเดือนเท่านั้น ก็มีกระแสตอบรับอย่างรุนแรงรวดเร็วกว้างขวางดุจไฟลามทุ่ง มีมวลชนเข้าร่วมนับหมื่นและหลายหมื่นในทุกครั้งของการทำกิจกรรม กระทั่งเกิดเป็น “ปรากฏการณ์สนธิ”ในที่สุด
กล่าวได้ว่า ปรากฏการณ์สนธิได้สร้างเงื่อนไขที่จำเป็นให้แก่การรวมตัวกันเข้าของกลุ่มองค์กรการเมืองภาคประชาชน ครั้งใหญ่ครั้งแรก ในนาม “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” มีตัวแทนกลุ่มองค์กรต่างๆประกอบกันเข้าเป็นแกนนำ ขับเคลื่อนกระบวนการต่อสู้ของมวลมหาชนอย่างเป็นระบบ จนกระทั่งนำไปสู่การล้มคว่ำของรัฐบาลทักษิณในเดือนกันยายน 2549
การชุมนุมใหญ่อย่างยาวนาน 193 วันในปี 2551นำโดยพันธมิตรฯ คือการก้าวกระโดดใหญ่ในความ “ตื่นรู้” ของขบวนการประชาชนฯ เมื่อมีการประกาศเจตนารมณ์ทางการเมืองของมวลมหาประชาชน โดยกำหนดเป้าหมายอย่างชัดเจนเป็นครั้งแรกไว้ที่การเปลี่ยนแปลงและปฏิรูปประเทศไทย โดยประชาชนเป็น “เจ้าภาพ” สร้าง “อำนาจประชาชน” ดำเนินการต่อสู้เอาชนะ “อำนาจกลุ่มทุน” ให้ได้ทีละขั้นๆ เพื่อนำไปสู่การล้มอำนาจกลุ่มทุน และสถาปนาอำนาจประชาชนขึ้นแทนที่ เป็น “อำนาจกำหนดใหม่” เหนือประเทศไทย
ต่อมาในการชุมนุมใหญ่ 158 วัน ในต้นปี 2554 แกนนำพันธมิตรฯ ก็ได้นำเสนอแนวคิด “ไม่เอาการเมืองเปลี่ยนขั้ว” ประกาศแนวทางการเปลี่ยนแปลงและปฏิรูปประเทศไทยที่ชัดเจนยิ่งขึ้น กระทั่งมีการนำเสนอ “หลักการปกครอง 15 ประการ” อย่างเป็นทางการในวันที่ 10 มีนาคม 2555
การประกาศยุติบทบาทของแกนนำพันธมิตรฯในวันที่ 23 สิงหาคม 2556 ได้นำไปสู่การแตกตัวอย่างรวดเร็วของขบวนการประชาชน ฯ และเกิดการหลอมรวมกันเข้าเป็นกลุ่มองค์กรจัดตั้งสำคัญๆ ดำเนินกิจกรรมการเมืองเชิงรุก เช่น กองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ ร่วมกับกองทัพธรรม ปักหลักที่สวนลุมพินี ประสานไปกับการเปิดเวที “ผ่าความจริง” ของพรรคประชาธิปัตย์ สภาประชาชนปฏิรูปประเทศไทยที่ประกอบไปด้วยตัวแทนกลุ่มองค์กรประชาชนทั้ง 77 จังหวัด ประกาศเดินหน้าเคลื่อนไหวทางการเมืองต่อสู้กับระบอบทักษิณคู่ขนานไปกับเวทีสวนลุมฯ
อีกทั้ง การอุบัติขึ้นของ “เครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย” ที่ปักหมุดจุดเริ่มต้นที่แยกอุรุพงษ์ ถนนพระรามที่ 6 ใจกลางกรุงเทพฯ ได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ที่นักศึกษาเป็นผู้นำการต่อสู้ มีนัยสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาขยายตัวของขบวนการประชาชนฯ
และเมื่อรัฐบาลยิ่งลักษณ์ โดยสภาผู้แทนฯ เร่งผ่านกฎหมาย “พ.ร.บ.นิรโทษกรรม” แบบรวบรัด เกินกว่าที่ใครจะรับได้ ทำให้เกิดการ “ระเบิดใหญ่” อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในหมู่มวลชนผู้ “ทนไม่ไหว”ในทุกแขนงอาชีพ อันเป็นเหตุสำคัญยิ่ง ของการประกาศตัวเข้าต่อสู้ร่วมกับมวลมหาประชาชนของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ซึ่งนำไปสู่การรวมตัวครั้งยิ่งใหญ่ของ “มวลมหาประชาชน” เรือนแสนเรือนล้านขึ้นในใจกลางกรุงเทพฯ ในวันที่ 11 และ 24 พฤศจิกายน 2556 ตามลำดับ และนำมาซึ่งการก่อตั้ง “คณะกรรมการประชาชนเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ทำหน้าที่เป็นองค์กรนำการเคลื่อนไหวต่อสู้เผด็จศึกระบอบทักษิณ
ในที่สุดก็นำมาซึ่งการ “เผด็จศึก” ด้วยพลังอำนาจของ “มวลมหาประชาชน” แบบเบ็ดเสร็จในวันที่ 9 ธันวาคม 2556 อันเป็นวัน “ประกาศชัย” ของ “อำนาจประชาชน” เหนือ “อำนาจทักษิณ” อย่างถาวร
ความยิ่งใหญ่ของมวลมหาประชาชน อยู่ที่ความ “ตื่นรู้”
เห็นได้ชัดว่า ความยิ่งใหญ่ของ “มวลมหาประชาชน” ได้กลายเป็นรากฐานการเปลี่ยนแปลงและปฏิรูปประเทศไทยโดยตรง ทั้งเป็นความภาคภูมิใจของคนไทยทั้งชาติ และเป็นที่สนใจอย่างยิ่งของคนทั้งโลก !
โดยภาพรวม การเปลี่ยนแปลงประเทศไทยครั้งสำคัญนี้ ทำสำเร็จได้ด้วยพลังอำนาจของประชาชน นาม “มวลมหาประชาชน” ที่ประกอบกันเข้าเป็น “กองทัพมวลชนตื่นรู้” ดำเนินการต่อสู้ด้วยสันติวิธี ภายใต้การนำของแกนนำที่กล้าหาญ โดยมี “คนไทยทุกฝ่าย” เข้าร่วม
มันเป็นความสำเร็จที่มีลักษณะ “เฉพาะ” ของตนเองอย่างชัดเจน กระทั่งนักสังเกตการณ์ทั่วโลกรู้สึกทึ่งและอดไม่ได้ที่จะต้องตั้งปุจฉาว่า “คนไทยทำได้อย่างไร ?”
เฉพาะหน้านี้ ผู้เขียนในฐานะที่เป็นผู้นำเสนอทฤษฎี “สงครามมวลชน” มาตั้งแต่ต้น ขอวิสัชนาเชิงสรุปไปพลางๆก่อนว่า ความสำเร็จที่เกิดขึ้น มาจากพลานุภาพอันยิ่งใหญ่ของ “มวลมหาประชาชน” ที่เป็น“มวลชนตื่นรู้” และรวมตัวกันเข้าเป็น “กองทัพมวลชนตื่นรู้” เคลื่อนไหวต่อสู้อย่างยืดเยื้อยาวนาน ระลอกแล้วระลอกเล่า ภายใต้การนำอันอาจหาญและถูกต้องของแกนนำรุ่นต่างๆ ถั่งโถมโจมตีอย่างไม่หยุดยั้ง จนกระทั่งระบอบทักษิณพังพินาศลง !
ซึ่งทั้งหมดนั้น ดำเนินไปตามกฎเกณฑ์ของ “สงครามมวลชน”
ทำไมต้องเป็น “สงครามมวลชน” ?
“สงครามมวลชน” เป็นลักษณะเฉพาะของการต่อสู้ที่ประชาชนไทยเป็น “เจ้าภาพ” พัฒนาขึ้นมาในท่ามกลางการเคลื่อนไหวต่อสู้ที่เป็นจริง จนเป็นระบบวิธีการต่อสู้ที่ครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งในด้านรูปแบบ เนื้อหา วิธีการ ยุทธศาสตร์และยุทธวิธี หลักๆก็คือ “จุดเทียนปัญญา” สร้างการ “ตื่นรู้” ให้แก่มวลชน โดย ใช้ความ “ตื่นรู้” เป็น “อาวุธทางปัญญา” ดำเนินการต่อสู้ด้วยสันติวิธี ภาย ในกรอบกำหนดของกฎหมายรัฐธรรมนูญ
ทั้งนี้ ความตื่นรู้ซึ่งเป็นอาวุธทางปัญญา เมื่อบวกเข้ากับจำนวนมวลชน ก็จะเกิดเป็นขนาดมวลชนตื่นรู้ ที่เรียกกันว่า “กองทัพมวลชนตื่นรู้”
ขนาดของ “กองทัพมวลชนตื่นรู้” คือ “อาวุธหลัก”ที่จะเอาชนะข้าศึกได้ในการทำสงครามมวลชน การทำให้ขนาดกองทัพมวลชนตื่นรู้ใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ จึงเป็นภารกิจพื้นฐานของการทำ “สงครามมวลชน”
ดังเช่น การรวมพลครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในวันที่ 9 ธันวาคมครั้งนี้ ทำได้สำเร็จ ก็เพราะ เราได้สร้าง “กองทัพมวลชนตื่นรู้” ขนาดยักษ์ขึ้นมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 11 พฤศจิกายน ระลอกแล้วระลอกเล่า จนกลายเป็นคลื่นสึนามิถั่งโถมโจมตีรัฐบาลยิ่งลักษณ์จนอ่อนเปลี้ยเพลียแรง และพ่ายแพ้อย่างราบคาบไปในที่สุด
ที่สำคัญคือ “สงครามมวลชน” เป็นรูปแบบการต่อสู้ที่สอดคล้องกับลักษณะเฉพาะของการต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศไทย ซึ่งเป็นการต่อสู้กันระหว่างฝ่าย “ดี” กับฝ่าย “ชั่ว” ระหว่างฝ่ายที่ถือเอาผลประโยชน์ของชาติประชาชนเป็นที่ตั้ง กับฝ่ายที่ถือเอาผลประโยชน์เฉพาะตัวเป็นที่ตั้ง หากมิใช่เป็นการต่อสู้ระหว่างชนชั้น หรือต่อสู้กับผู้รุกรานต่างชาติแต่ประการใด
ดังนั้น การแยกผิดแยกถูก การทำความจริงให้ปรากฏแก่สาธารณชนว่าฝ่ายใด “ดี” ฝ่ายใด “ชั่ว” จึงเป็นเนื้อหาหลักของการทำ “สงครามมวลชน” และไม่มีความจำเป็นอันใด ที่จะต้องใช้การต่อสู้ด้วยอาวุธหรือวิธีการรุนแรงที่เป็นการทำลายและผิดกฎหมาย นี่คือ “กฎเกณฑ์”ที่เราจะต้องยึดถือปฏิบัติ
การทำ “สงครามมวลชน” ตามกรอบกำหนดของ “กฎเกณฑ์” ที่เราค้นพบ ทำให้เราสามารถรุกรบได้อย่างเป็นฝ่ายกระทำ และได้รับการยอมรับในสังคมไทยและสังคมโลกอย่างกว้างขวาง ช่วยสร้างความ “ชอบธรรม”ในการขับเคลื่อนการต่อสู้ในทุกมิติได้เป็นอย่างดี
สรุปคือ “สงครามมวลชน” เป็นสงครามที่มีธรรมะในตัว มีพลังยิ่งใหญ่ในตัว เป็นรูปแบบวิธีการแก้ไขปัญหาที่สอดคล้องกับสภาพเป็นจริงของประเทศไทยมากที่สุด ได้ผลดีที่สุด เกิดผลสำเร็จสูงสุด !
วันนี้ เป็นวันมหาประชาชัย !
เป็นวันที่ทักษิณต้องจดจำไปจนตาย !
เขาต้องจดจำคนชื่อสนธิ คนชื่อสุเทพ และยิ่งต้องจดจำ “มวลมหาประชาชน” !
ถึงที่สุดแล้ว เขาต้องยอมรับใน “ความจริง” ที่ว่า ในชีวิตนี้ เขาสามารถใช้เงินสร้างอำนาจได้ ซื้อคนได้ หรือกระทั่งเอาชนะสนธิ สุเทพได้ แต่ไม่อาจเอาชนะ สนธิ สุเทพ ที่ต่อสู้ร่วมเป็นร่วมตายอยู่กับ “มวลมหาประชาชน” ได้ !
อีกนัยหนึ่ง คู่ต่อสู้ของเขา ที่เขายิ่งสู้ยิ่งแพ้ จริงๆแล้ว มิใช่สนธิ สุเทพ แต่เป็น “มวลมหาประชาชน”
การต่อสู้ระหว่างเขากับมวลมหาประชาชน จึงไม่ต่างอะไรกับการปะทะกันระหว่าง “ไข่” กับ “ภูผาหิน”
ทุกครั้งที่ทักษิณวิ่งชนมวลมหาประชาชน โดยสำคัญว่าตนเองกำลังสู้กับสนธิ สุเทพ ผลจึงปรากฎครั้งแล้วครั้งเล่าว่า เขาเป็นผู้แพ้ราบคาบ ไม่ต่างอะไรกับไข่กระแทกหินผา !
แก่นแท้ของ “มวลมหาประชาชน”
ณ วันนี้ คำว่า “มวลมหาประชาชน” มีนัยของความเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ และนัยแห่งความเป็น “อำนาจกำหนด” การขับเคลื่อนของประเทศไทย แทนที่อำนาจกลุ่มทุน เป็นสาระหลักในการอธิบายการเมืองยุคใหม่ของประเทศไทย และอยู่ในฐานะเป็น “หัวใจ” ของ “ประชาธิปไตยสมบูรณ์ที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”
มันเป็นสิ่งที่เราๆท่านๆจะต้องทำความเข้าใจอย่างรอบด้าน เพื่อจะได้เข้าถึง “แก่นแท้” ระดับจินตภาพของ “มวลมหาประชาชน” เพื่อนำไปสู่การเสริมสร้างขบวนการประชาชนฯให้เข้มแข็ง สมบูรณ์ ทั้งทางความคิดและการจัดตั้งอย่างถาวร
สิ่งแรกที่เราจะต้องทำความเข้าใจคือกระบวนการเกิดขึ้นและการพัฒนา หรือ“ความเป็นมา”ของมวลมหาประชาชน จากนี้ไปจับจุดที่เป็น “เหตุปัจจัย” ชี้นำกำหนด ที่เป็น”จุดเด่นเฉพาะ” ที่สะท้อนลักษณะหรือคุณสมบัติเฉพาะที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากมวลชนทั่วไป
จุดเด่นเป็นเฉพาะของ “มวลมหาประชาชน” ที่ประกอบกันเข้าเป็น “กองทัพมวลชน” ต่อสู้โรมรันอยู่กับมือตีนของระบอบทักษิณระลอกแล้วระลอกเล่า อยู่ที่ “ความตื่นรู้”
“ความตื่นรู้” ที่ว่านี้ ล้วนมีที่มาจากแหล่งเดียวกัน คือจากการ “จุดเทียนปัญญา” ของแกนนำ ที่ “กล้า”นำเอา “ความจริง” มาพูด เปิดเผยให้เห็นความฉ้อฉลของนักการเมืองชั่ว และระบบการเมืองที่เอื้อให้นักการเมืองประพฤติชั่ว ซึ่งความ “กล้า” เช่นนี้ได้กลายเป็น “คุณสมบัติจำเป็น” ของผู้ที่จะก้าวขึ้นมาเป็นแกนนำทุกรุ่นในเวลาต่อมา
การ “จุดเทียนปัญญา” ได้สร้างความ “ทนไม่ไหว” ขึ้นในหมู่คนไทยโดยรวม และเมื่อใดที่ทักษิณ “เร่งเกม” เพื่อครองอำนาจเบ็ดเสร็จเหนือประเทศไทย ก็จะเกิดปรากฏการณ์ “ลุกฮือ” ของมวลชนทนไม่ไหวอย่างฉับพลันทันที และมีแนวโน้มที่จะขยายตัวใหญ่โตยิ่งขึ้น ตามการต่อสู้ที่ทวีความเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ
ประวัติศาสตร์ไทยยุคใหม่จะต้องจารึกไว้ว่า ในปลายปี 2548 คุณสนธิ ลิ้มทองกุล คือผู้เริ่มต้นกระบวนการ “จุดเทียนปัญญา” นำเอาเรื่องราวด้านมืดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มาเปิดเผยอย่างเป็นระบบผ่านทางรายการ “เมืองไทยรายสัปดาห์” ของสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 และการจัดกิจกรรมการเมือง “เมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร” ในภายหลังจากนั้น
เพียงสองสามเดือนเท่านั้น ก็มีกระแสตอบรับอย่างรุนแรงรวดเร็วกว้างขวางดุจไฟลามทุ่ง มีมวลชนเข้าร่วมนับหมื่นและหลายหมื่นในทุกครั้งของการทำกิจกรรม กระทั่งเกิดเป็น “ปรากฏการณ์สนธิ”ในที่สุด
กล่าวได้ว่า ปรากฏการณ์สนธิได้สร้างเงื่อนไขที่จำเป็นให้แก่การรวมตัวกันเข้าของกลุ่มองค์กรการเมืองภาคประชาชน ครั้งใหญ่ครั้งแรก ในนาม “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” มีตัวแทนกลุ่มองค์กรต่างๆประกอบกันเข้าเป็นแกนนำ ขับเคลื่อนกระบวนการต่อสู้ของมวลมหาชนอย่างเป็นระบบ จนกระทั่งนำไปสู่การล้มคว่ำของรัฐบาลทักษิณในเดือนกันยายน 2549
การชุมนุมใหญ่อย่างยาวนาน 193 วันในปี 2551นำโดยพันธมิตรฯ คือการก้าวกระโดดใหญ่ในความ “ตื่นรู้” ของขบวนการประชาชนฯ เมื่อมีการประกาศเจตนารมณ์ทางการเมืองของมวลมหาประชาชน โดยกำหนดเป้าหมายอย่างชัดเจนเป็นครั้งแรกไว้ที่การเปลี่ยนแปลงและปฏิรูปประเทศไทย โดยประชาชนเป็น “เจ้าภาพ” สร้าง “อำนาจประชาชน” ดำเนินการต่อสู้เอาชนะ “อำนาจกลุ่มทุน” ให้ได้ทีละขั้นๆ เพื่อนำไปสู่การล้มอำนาจกลุ่มทุน และสถาปนาอำนาจประชาชนขึ้นแทนที่ เป็น “อำนาจกำหนดใหม่” เหนือประเทศไทย
ต่อมาในการชุมนุมใหญ่ 158 วัน ในต้นปี 2554 แกนนำพันธมิตรฯ ก็ได้นำเสนอแนวคิด “ไม่เอาการเมืองเปลี่ยนขั้ว” ประกาศแนวทางการเปลี่ยนแปลงและปฏิรูปประเทศไทยที่ชัดเจนยิ่งขึ้น กระทั่งมีการนำเสนอ “หลักการปกครอง 15 ประการ” อย่างเป็นทางการในวันที่ 10 มีนาคม 2555
การประกาศยุติบทบาทของแกนนำพันธมิตรฯในวันที่ 23 สิงหาคม 2556 ได้นำไปสู่การแตกตัวอย่างรวดเร็วของขบวนการประชาชน ฯ และเกิดการหลอมรวมกันเข้าเป็นกลุ่มองค์กรจัดตั้งสำคัญๆ ดำเนินกิจกรรมการเมืองเชิงรุก เช่น กองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ ร่วมกับกองทัพธรรม ปักหลักที่สวนลุมพินี ประสานไปกับการเปิดเวที “ผ่าความจริง” ของพรรคประชาธิปัตย์ สภาประชาชนปฏิรูปประเทศไทยที่ประกอบไปด้วยตัวแทนกลุ่มองค์กรประชาชนทั้ง 77 จังหวัด ประกาศเดินหน้าเคลื่อนไหวทางการเมืองต่อสู้กับระบอบทักษิณคู่ขนานไปกับเวทีสวนลุมฯ
อีกทั้ง การอุบัติขึ้นของ “เครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย” ที่ปักหมุดจุดเริ่มต้นที่แยกอุรุพงษ์ ถนนพระรามที่ 6 ใจกลางกรุงเทพฯ ได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ที่นักศึกษาเป็นผู้นำการต่อสู้ มีนัยสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาขยายตัวของขบวนการประชาชนฯ
และเมื่อรัฐบาลยิ่งลักษณ์ โดยสภาผู้แทนฯ เร่งผ่านกฎหมาย “พ.ร.บ.นิรโทษกรรม” แบบรวบรัด เกินกว่าที่ใครจะรับได้ ทำให้เกิดการ “ระเบิดใหญ่” อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในหมู่มวลชนผู้ “ทนไม่ไหว”ในทุกแขนงอาชีพ อันเป็นเหตุสำคัญยิ่ง ของการประกาศตัวเข้าต่อสู้ร่วมกับมวลมหาประชาชนของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ซึ่งนำไปสู่การรวมตัวครั้งยิ่งใหญ่ของ “มวลมหาประชาชน” เรือนแสนเรือนล้านขึ้นในใจกลางกรุงเทพฯ ในวันที่ 11 และ 24 พฤศจิกายน 2556 ตามลำดับ และนำมาซึ่งการก่อตั้ง “คณะกรรมการประชาชนเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ทำหน้าที่เป็นองค์กรนำการเคลื่อนไหวต่อสู้เผด็จศึกระบอบทักษิณ
ในที่สุดก็นำมาซึ่งการ “เผด็จศึก” ด้วยพลังอำนาจของ “มวลมหาประชาชน” แบบเบ็ดเสร็จในวันที่ 9 ธันวาคม 2556 อันเป็นวัน “ประกาศชัย” ของ “อำนาจประชาชน” เหนือ “อำนาจทักษิณ” อย่างถาวร
ความยิ่งใหญ่ของมวลมหาประชาชน อยู่ที่ความ “ตื่นรู้”
เห็นได้ชัดว่า ความยิ่งใหญ่ของ “มวลมหาประชาชน” ได้กลายเป็นรากฐานการเปลี่ยนแปลงและปฏิรูปประเทศไทยโดยตรง ทั้งเป็นความภาคภูมิใจของคนไทยทั้งชาติ และเป็นที่สนใจอย่างยิ่งของคนทั้งโลก !
โดยภาพรวม การเปลี่ยนแปลงประเทศไทยครั้งสำคัญนี้ ทำสำเร็จได้ด้วยพลังอำนาจของประชาชน นาม “มวลมหาประชาชน” ที่ประกอบกันเข้าเป็น “กองทัพมวลชนตื่นรู้” ดำเนินการต่อสู้ด้วยสันติวิธี ภายใต้การนำของแกนนำที่กล้าหาญ โดยมี “คนไทยทุกฝ่าย” เข้าร่วม
มันเป็นความสำเร็จที่มีลักษณะ “เฉพาะ” ของตนเองอย่างชัดเจน กระทั่งนักสังเกตการณ์ทั่วโลกรู้สึกทึ่งและอดไม่ได้ที่จะต้องตั้งปุจฉาว่า “คนไทยทำได้อย่างไร ?”
เฉพาะหน้านี้ ผู้เขียนในฐานะที่เป็นผู้นำเสนอทฤษฎี “สงครามมวลชน” มาตั้งแต่ต้น ขอวิสัชนาเชิงสรุปไปพลางๆก่อนว่า ความสำเร็จที่เกิดขึ้น มาจากพลานุภาพอันยิ่งใหญ่ของ “มวลมหาประชาชน” ที่เป็น“มวลชนตื่นรู้” และรวมตัวกันเข้าเป็น “กองทัพมวลชนตื่นรู้” เคลื่อนไหวต่อสู้อย่างยืดเยื้อยาวนาน ระลอกแล้วระลอกเล่า ภายใต้การนำอันอาจหาญและถูกต้องของแกนนำรุ่นต่างๆ ถั่งโถมโจมตีอย่างไม่หยุดยั้ง จนกระทั่งระบอบทักษิณพังพินาศลง !
ซึ่งทั้งหมดนั้น ดำเนินไปตามกฎเกณฑ์ของ “สงครามมวลชน”
ทำไมต้องเป็น “สงครามมวลชน” ?
“สงครามมวลชน” เป็นลักษณะเฉพาะของการต่อสู้ที่ประชาชนไทยเป็น “เจ้าภาพ” พัฒนาขึ้นมาในท่ามกลางการเคลื่อนไหวต่อสู้ที่เป็นจริง จนเป็นระบบวิธีการต่อสู้ที่ครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งในด้านรูปแบบ เนื้อหา วิธีการ ยุทธศาสตร์และยุทธวิธี หลักๆก็คือ “จุดเทียนปัญญา” สร้างการ “ตื่นรู้” ให้แก่มวลชน โดย ใช้ความ “ตื่นรู้” เป็น “อาวุธทางปัญญา” ดำเนินการต่อสู้ด้วยสันติวิธี ภาย ในกรอบกำหนดของกฎหมายรัฐธรรมนูญ
ทั้งนี้ ความตื่นรู้ซึ่งเป็นอาวุธทางปัญญา เมื่อบวกเข้ากับจำนวนมวลชน ก็จะเกิดเป็นขนาดมวลชนตื่นรู้ ที่เรียกกันว่า “กองทัพมวลชนตื่นรู้”
ขนาดของ “กองทัพมวลชนตื่นรู้” คือ “อาวุธหลัก”ที่จะเอาชนะข้าศึกได้ในการทำสงครามมวลชน การทำให้ขนาดกองทัพมวลชนตื่นรู้ใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ จึงเป็นภารกิจพื้นฐานของการทำ “สงครามมวลชน”
ดังเช่น การรวมพลครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในวันที่ 9 ธันวาคมครั้งนี้ ทำได้สำเร็จ ก็เพราะ เราได้สร้าง “กองทัพมวลชนตื่นรู้” ขนาดยักษ์ขึ้นมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 11 พฤศจิกายน ระลอกแล้วระลอกเล่า จนกลายเป็นคลื่นสึนามิถั่งโถมโจมตีรัฐบาลยิ่งลักษณ์จนอ่อนเปลี้ยเพลียแรง และพ่ายแพ้อย่างราบคาบไปในที่สุด
ที่สำคัญคือ “สงครามมวลชน” เป็นรูปแบบการต่อสู้ที่สอดคล้องกับลักษณะเฉพาะของการต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศไทย ซึ่งเป็นการต่อสู้กันระหว่างฝ่าย “ดี” กับฝ่าย “ชั่ว” ระหว่างฝ่ายที่ถือเอาผลประโยชน์ของชาติประชาชนเป็นที่ตั้ง กับฝ่ายที่ถือเอาผลประโยชน์เฉพาะตัวเป็นที่ตั้ง หากมิใช่เป็นการต่อสู้ระหว่างชนชั้น หรือต่อสู้กับผู้รุกรานต่างชาติแต่ประการใด
ดังนั้น การแยกผิดแยกถูก การทำความจริงให้ปรากฏแก่สาธารณชนว่าฝ่ายใด “ดี” ฝ่ายใด “ชั่ว” จึงเป็นเนื้อหาหลักของการทำ “สงครามมวลชน” และไม่มีความจำเป็นอันใด ที่จะต้องใช้การต่อสู้ด้วยอาวุธหรือวิธีการรุนแรงที่เป็นการทำลายและผิดกฎหมาย นี่คือ “กฎเกณฑ์”ที่เราจะต้องยึดถือปฏิบัติ
การทำ “สงครามมวลชน” ตามกรอบกำหนดของ “กฎเกณฑ์” ที่เราค้นพบ ทำให้เราสามารถรุกรบได้อย่างเป็นฝ่ายกระทำ และได้รับการยอมรับในสังคมไทยและสังคมโลกอย่างกว้างขวาง ช่วยสร้างความ “ชอบธรรม”ในการขับเคลื่อนการต่อสู้ในทุกมิติได้เป็นอย่างดี
สรุปคือ “สงครามมวลชน” เป็นสงครามที่มีธรรมะในตัว มีพลังยิ่งใหญ่ในตัว เป็นรูปแบบวิธีการแก้ไขปัญหาที่สอดคล้องกับสภาพเป็นจริงของประเทศไทยมากที่สุด ได้ผลดีที่สุด เกิดผลสำเร็จสูงสุด !