xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

เบื้องหลัง “ดีลสวนลุมฯ” เมื่อ “กำนัน” หยุดรอ “มะม่วงหล่น” และคนที่คุณก็รู้ว่า “ใคร”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายสุเทพ เทือกสุบรรณ
ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - “เราทำกันมาทุกอย่างแล้ว เพื่อต่อต้านระบอบทักษิณ แต่มันดื้อด้านเหลือเกิน บรรดาแกนนำ กปปส.ของเรามาประชุมกัน เราต้องขอขอบคุณพี่น้องกรุงเทพฯที่ปรับเปลี่ยนตัวเองอย่างน่าสรรเสริญ ที่พวกเราปิดถนนยาวนานกว่า 4 เดือน แต่พี่น้องก็อดทนเพื่อไล่ระบอบทักษิณ และทำให้ประเทศเราดีขึ้น พวกเรา กปปส.ซาบซึ้งน้ำใจของชาวกรุงเทพฯมากมาย มหาศาล แต่พวกเรา กปปส.ก็มีหัวใจว่า การจราจรของ กทม.เป็นเรื่องใหญ่ พวกเราจึงขออนุญาตคืนพื้นที่การจราจรทุกสามแยก สี่แยก ให้กับชาว กทม.ไม่ว่าจะเป็นแยกอโศก ราชประสงค์ ปทุมวัน ตั้งแต่วันจันทร์(3 มีนาคม 2557)เป็นต้นไป เราจะทำความสะอาดพื้นที่ทั้งหมด เพื่อให้การจราจรสามารถวิ่งได้ทุกเลน แต่ไม่ใช่ว่าเราจะล้มเลิกว่าตั้งใจในการต่อสู้ของเรา แต่ที่เราคืนพื้นที่ดังกล่าว เพราะต้องการให้ชาว กทม.รับรู้น้ำใจของเรา เพื่อให้ชาว กทม.ออกมาต่อสู้กับเราอย่างเต็มใจ”

“เราจะจัดกระบวนทัพการต่อสู้ของเราใหม่ หลีกเลี่ยงการกระทบกับการจราจรมากที่สุด แต่มุ่งไปยังธุรกิจของครอบครัวชินวัตร เรายังออกไปรณรงค์ชักชวนชาวข้าราชการทั้งหลาย พวกเราจะแต่งตั้งตัวเองเป็นผู้ตรวจราชการไปเยี่ยมหน่วยงานราชการทุกวัน เราจะไปตั้งเวทีใหม่ที่สวนลุมพินีเพียงเวทีเดียว เป็นการรวมกำลังอยู่ที่นั่น ส่วนสาเหตุที่เรียกเอาลุมพินีเป็นฐานที่มั่น เพราะในสวนลุมพินีมีอาคาร มีห้องประชุม ที่เราสามารถประชุมขับเคลื่อนได้ทุกวัน โดยไม่ต้องไปเช่าโรงแรมที่ไหน เพราะฉะนั้นคืนวันอาทิตย์ขอเชิญชวนพี่น้องชาว กทม.ไปร่วมเปิดเวทีกับ กปปส.ที่นั่น หลังจากนั้นสัปดาห์หน้าเราจะจัดสัมมนาระดับชาติว่าด้วยการเดินหน้าปฏิรูปประเทศไทย เราจะได้จัดทำพิมพ์เขียวให้เรียบร้อย และที่สำคัญเราจะระดมความคิดให้จัดการกับระบอบทักษิณอย่างสมบูรณ์แบบ”

นั่นคือสิ่งที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหา กษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือ กปปส. กล่าวปราศรัยบนเวทีปทุมวันเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2557 ถึงเหตุและผลที่ประกาศทิ้งฐานที่มั่นเก่า “ราชประสงค์-สีลมและอโศก” พร้อมย้ายไปปักหลักพักค้างยาวที่เวทีแห่งใหม่ภายในสวนลุมพินีโดยถือฤกษ์งามยามดีในวันที่ 3 มีนาคม 2557

แต่ไม่ว่านายสุเทพจะอธิบายอย่างไร ความจริงย่อมเป็นความจริงวันยังค่ำอย่างไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้

ความจริงประการแรกก็คือ ต้องยอมรับความจริงว่า ภารกิจของ กปปส.ภายใต้การนำของนายสุเทพไม่ประสบความสำเร็จดังที่ได้ประกาศไว้กับมวลมหาประชาชน เนื่องจากไม่สามารถโค่นล่มรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตรและระบอบทักษิณให้ราบพณาสูรไปตามที่ประกาศเอาไว้ได้นับตั้งแต่เริ่มชุมนุมจนถึงปฏิบัติการล่าสุดคือการชัตดาวน์กรุงเทพฯ ที่ยืดเยื้อยาวนานถึง 49 วัน แม้ว่าจะทำให้รัฐบาลและระบอบทักษิณง่อยเปลี้ยเสียขาลงไปทุกทีก็ตาม

ดังนั้น ยิ่งนานวันไป มวลชนที่เข้าร่วมชุมนุมจึงลดน้อยถอยลงไปเป็นลำดับ โดยเฉพาะมวลชนประเภทที่ยืนระยะยาวและปักหลักพักค้างคืน ไม่ใช่มวลชนเย็นไปเช้ากลับ ขณะที่การแยกเวทีออกไปเป็น 3 เวทีปฏิเสธไม่ได้ว่า เป็นภาระทางด้านค่าใช้จ่ายที่หนักหนาสาหัสเอาการ ไหนจะเรื่องความปลอดภัยของผู้ชุมนุมที่เมื่อมีจำนวนน้อยลงก็ย่อมเปิดโอกาสให้ศัตรูฝ่ายตรงข้ามเล่นงานได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลอบกัดด้วยอาวุธสงครามและลูกระเบิด

และด้วยเหตุดังกล่าวนายสุเทพจึงจำเป็นที่จะต้องปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์และยุทธวิธีใหม่

ความจริงประการที่สองก็คือ ผลพวงของการที่นายสุเทพไม่สามารถปิดเกมอย่างที่ประกาศเอาไว้ ได้ส่งผลทำให้ “ภาคธุรกิจ” ซึ่งเคยให้การสนับสนุนลุงกำนัน เป็นท่อน้ำเลี้ยงในทุกๆ ระดับและในทุกๆ พื้นที่ที่นายสุเทพตั้งเวทีทั้งที่ราชประสงค์ สีลมและอโศกเริ่มรับไม่ได้กับความสูญเสียที่เกิดขึ้น พวกเขามองไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ พวกเขาเริ่มเห็นแล้วว่า ชัยชนะที่เคยวาดฝันเอาไว้จะมาถึงเมื่อไหร่ และมีแนวโน้มว่าจะไม่ใช่ระยะเวลาอันใกล้เสียด้วยซ้ำไป

ที่สำคัญคือพวกเขาได้รับรู้แล้วว่า นายสุเทพไม่ได้มี “หมัดเด็ด” ที่จะ “น็อก” รัฐบาลยิ่งลักษณ์และระบอบทักษิณอะไรเลยนอกเสียจากการยกขบวนไปปิดสถานที่ราชการต่างๆ ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ไม่ประสบความสำเร็จ และการเดินไปเดินมาตามถนนหนทางต่างๆ ซึ่งก็มิได้สร้างความกดดันอันใดให้เกิดกับรัฐบาลยิ่งลักษณ์และระบอบทักษิณเลยแม้แต่น้อย แถมตัวนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรเองก็มิได้ตกเป็นเป้านิ่งให้นายสุเทพเคลื่อนขบวนไปกดดัน แผนการไล่ล่านายกฯ นกแก้วจึงไม่ประสบความสำเร็จและเป็นเพียงแค่ “อีเว้นท์ทางการตลาด” เพื่อสร้างกิจกรรมให้มวลมหาประชาชนเท่านั้น

ขณะเดียวกันเมื่อวิเคราะห์ถึงยุทธศาสตร์และยุทธวิธีในการเคลื่อนขบวนตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบันก็เห็นประจักษ์แจ้งด้วยสายตาตัวเองแล้วว่า เป็นการชุมนุมเพื่อรอให้ “มะม่วงหล่น” ด้วยฝีมือของศาลและองค์กรอิสระต่างๆ มากกว่าหล่นลงด้วยการปฏิวัติประชาชน จึงไม่มีประโยชน์อะไรที่จะยอมเสียสละผลประโยชน์ทางธุรกิจให้กับนายสุเทพมากไปกว่านี้แล้ว เพราะไม่เช่นนั้นกว่าที่มะม่วงจะหล่น ท่อน้ำเลี้ยงของกำนันสุเทพจะหล่นไปเสียก่อนเอง

ทั้งนี้ การตั้งข้อสังเกตดังกล่าวมิใช่เรื่องโคมลอย เพราะถ้าหากย้อนกลับไปในการนัดชุมนุมใหญ่ของนายสุเทพทุกครั้งจะเห็นได้ชัดเจนว่า นายสุเทพมิได้ทำอะไรมากไปกว่าการเดินไปเดินมา ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงแล้ว ด้วยพลังของมวลมหาประชาชนที่พร้อมใจกันออกมาทั่วประเทศหลายล้านคนน่าจะทำให้นายสุเทพล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์ได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด

ดังนั้น พวกเขาจึงส่งผ่านแรงกดดันดังกล่าวกลับไปที่นายสุเทพ และในที่สุดนายสุเทพจึงต้องตัดสินใจดังที่เห็นและเป็นอยู่ในขณะนี้

นี่คือความจริงที่นายสุเทพปฏิเสธไม่ได้และบทสรุปของเรื่องราวทั้งหมดจึงมาหยุดอยู่ที่สวนลุมพินีเพื่อรอมะม่วงหล่น เพื่อรอให้องค์กรอิสระอย่างศาลรัฐธรรมนูญ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ฯลฯ มีคำวินิจฉัย มีคำพิพากษาในคดีความต่างๆ มากมายสารพัดคดี ซึ่งแน่นอนว่า ไม่ใช่ระยะเวลาอันใกล้ภายใน 1-2 เดือนนี้

มวลมหาประชาชนจำต้องเข้าใจในยุทธศาสตร์และยุทธวิธีของนายสุเทพที่เปลี่ยนไปในครั้งนี้ และที่สำคัญคือ ต้องเข้าใจด้วยว่า นายสุเทพได้ทำหน้าที่เลขาธิการ กปปส.ได้สูงสุดตามศักยภาพของตนเองแล้ว ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้

กระนั้นก็ดี การที่นายสุเทพนำทัพ กปปส.มาปักหลักรวมกันอยู่ที่เวทีสวนลุมพินียังมีเรื่องที่ต้องแสวงหาคำตอบด้วยว่า ไม่ได้มีเหตุผลเพียงแค่ 2 ประการดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น หากแต่ยังมีเรื่องลับๆ ล่อๆ อันเป็นที่โจษจันกันอย่างสนุกปากอยู่ไม่น้อย นั่นก็คือเรื่องลับๆ ล่อๆ อันเป็นส่วนหนึ่งของ “เงื่อนไขในการเจรจา” ระหว่างฝ่ายความมั่นคงกับแกนนำ กปปส. ในเรื่องการรักษาความปลอดภัยให้กับผู้ชุมนุม ซึ่งขณะนี้เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า ทหารได้เพิ่มกำลังในกรุงเทพมหานครในแทบจะทุกถนนหนทาง จากเดิม 88 จุด เพิ่มเป็นอีกเท่าตัว เฉกเช่นเดียวกับตำรวจที่เข้ามาส่วนหนึ่งในการเจรจาต้าอ่วยในปฏิบัติการร่วมครั้งนี้

ขณะเดียวกันก็สอดรับกับแผนสลับฉากออกมาเล่นบทพระเอกระหว่างนายสุเทพกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบกที่ฉวยจังหวะในเรื่องการจัดตั้ง “สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนล้านนา” (สปป.ล้านนา) กระโดดออกมายืนแถวหน้าประจันกับกองกำลังติดอาวุธของคนเสื้อแดงโดยตรง รวมทั้งกระแสข่าวเรื่องความสำเร็จในการเจรจาต้าอ่วยระหว่างขั้วอำนาจต่างๆ ที่แว่วว่าดำเนินไปด้วยดี และมีเสียงลือเสียงเล่าอ้างบอกว่า การปักหลักอยู่ที่สวนลุมพินีคือส่วนหนึ่งของเงื่อนไขในการเจรจา แต่ยังไม่เป็นที่ชัดแจ้งว่าจะประสบความสำเร็จหรือไม่ เพราะงานนี้พ่อกำนันของมวลมหาประชาชนอาจจะถูกบิ๊กถั่งเช่าเล่นละคร “รักแท้ในคืนหลอกลวง” เหมือนเช่นหลายๆ ครั้งที่ผ่านมาก็เป็นได้

เพราะมีความเป็นไปได้สูงว่า เหตุการณ์ทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการยุบรวมเวทีไปชุมนุมอยู่ที่สวนลุมพินี การเปิดเกมจัดตั้ง สปป.อีสานล้านนา และการออกมาโชว์แมนของ พล.อ.ประยุทธ์ ล้วนแล้วแต่เป็นคนละเรื่องเดียวกัน แต่มีเป้าหมายสูงสุดอยู่ที่ “การเจรจา”

ดังนั้น จึงไม่ต้องถามอีกต่อไปว่า เมื่อไหร่จะชนะ เพราะเป็นที่ประจักษ์แจ้งแล้วว่า พลังของมวลมหาประชาชนภายใต้การนำของนายสุเทพที่ชุมนุมกันอยู่ตอนนี้ไม่สามารถไปกดดันรัฐบาลในทางใดได้ นอกจากให้กำลังใจองค์กรอิสระและศาลสถิตยุติธรรม และถึงแม้นายสุเทพจะเป่านกหวีดเรียกชุมนุมใหญ่อีกครั้ง ก็เชื่อว่าน่าจะไม่เกิดผลอะไรต่อการเปลี่ยนแปลง เพราะเรียกมาหลายครั้งและพิสูจน์มาหลายครั้งแล้วว่า ไม่สามารถไปกดดันอะไรได้

และที่ต้องขีดเส้นใต้สองเส้นเอาไว้ก็คือ ในวันที่พ่อกำนันสุเทพประกาศยุบเวทีได้ส่งสัญญาณเอาไว้ชัดเจนว่าการขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์และระบอบทักษิณจะไม่จบลงง่ายๆ

“ตั้งใจว่าถ้าให้จบได้ในเดือนมีนาคมนี้ก็ต้องจบให้ได้ เพราะจะเริ่มต้นนับ 1 กันใหม่ในเดือนเมษายน คาดว่าวันที่ 1-3 มีนาคมจะมีความชัดเจนและวันที่ 13-15 มีนาคมจะเห็นสัญญาณการปิดเกมได้”

ส่วนการปฏิรูปที่ถือเป็นเรือธงในการขับเคลื่อนของ กปปส.นั้น ดูเหมือนว่า ยังไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ ไม่ว่าจะเป็นพิมพ์เขียวในการปฏิรูป หรือการปฏิรูปที่สำคัญที่ประชาชนต้องการมากที่สุดคือการปฏิรูปพลังงานก็เงียบหายไปในสายลมหลังมีรายงานข่าวแจ้งว่า กลุ่มทุนพลังงานได้เข้ามาแทรกแซงทิศทางในการปฏิรูปพลังงานไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

5 มีนาคม 2557 นายสุเทพประกาศบนเวทีที่สวนลุมพินีว่าจะเดินหน้าปฏิรูปประเทศ 5 ด้าน ประกอบด้วย1.ปฏิรูปกระบวนการทางการเมือง 2.ปฏิรูปปัญหาการทุจริต คอร์รัปชัน ให้ประชาชนตรวจสอบรัฐบาลได้ 3.ปฏิรูปการกระจายอำนาจการปกครอง 4.ปฏิรูปความเหลื่อมล้ำในสังคม และ 5.ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมโดยจะให้นักวิชาการที่ศึกษาเรื่องต่างๆ มานำเสนอผลงานศึกษาที่ห้องประชุมตั้งแต่วันจันทร์ที่ 10 มีนาคม 2557 เป็นต้นไป เพื่อให้องค์กรอื่นๆ รับฟัง และแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม ส่วนประชาชนสนใจเรื่องไหนให้มาลงทะเบียนแล้วไปนั่งฟังพร้อมเสนอความเห็นได้ ไม่เกิน 7-8 วัน

ทั้งนี้ นายสุเทพกล่าวทิ้งท้ายเอาไว้ชัดเจนว่า “พี่น้องอย่าไปโมโหโกรธาเพราะมองว่าปฏิรูปประเทศมีหลายเรื่องที่ต้องทำ แต่ที่เอา 5 เรื่องนี้ เป็นเรื่องที่เราไม่ทะเลาะกัน ส่วนเรื่องอื่นๆ เมื่อรัฐบาลประชาชนเข้ามาแล้วคนอื่นสามารถระดมความเห็นเพิ่มเติมได้ บ้านเมืองต้องเปลี่ยนแปลง ประชาชนอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขทั้งแผ่นดิน”

แปลไทยเป็นไทยได้ว่า เรื่องสำคัญๆ ที่ควรเป็นอันดับแรกๆ คือ การปฏิรูปพลังงานถูกโยนทิ้งไปอย่างไม่ใยดี โดยนายสุเทพอ้างว่าจะทำให้ทะเลาะกัน เช่นเดียวกับการปฏิรูปกองทัพ ซึ่งเป็นที่แน่ชัดแล้วว่า การเมืองเข้ามาแทรกแซงจนเกิดปรากฏการณ์ “คลิปถั่งเช่า” ก็มิได้เป็นส่วนหนึ่งในการปฏิรูป ด้วยเหตุผลเพียงเพราะความสัมพันธ์ส่วนตัวอันดีของนายสุเทพและบิ๊กถั่งเช่าจนไม่อยากแตะต้อง

อดทน อดทนและอดทน

รอ รอและรอต่อไป

คือคำตอบสุดท้ายของม็อบ กปปส.ภายใต้การนำทัพของอดีตกำนันตำบลท่าสะท้อนที่ชื่อ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” จนกว่าวันแห่งชัยชนะจะมาถึง


การชุมนุมของกปปส.ที่เวทีใหม่สวนลุมพินี
กำลังโหลดความคิดเห็น