ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-หากนับจากวันที่ 15 พฤศจิกายน 2556 ที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข(กปปส.)ได้ประกาศยกระดับการชุมนุม จากการต่อต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม เป็นการขับไล่ระบอบทักษิณ มาจนถึงวันนี้ก็ครบ 3 เดือนเต็มพอดี
แต่ กปปส.ตลอดจนมวลมหาประชาชนเรือนล้านที่ออกมาร่วมชุมนุม ในการล้มล้าง-ถอนรากถอนโคนระบอบทักษิณ ก็ยังไปไม่ถึงเป้าหมายเสียที
เพียงแต่ทำให้รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร สะดุดหกล้มไปบ้าง จากการที่ต้องตัดสินใจยุบสภา ทำให้มีสถานะเป็นแค่รัฐบาลรักษาการ ไม่มีอำนาจเต็มไม้เต็มมือ และเมื่อจัดการเลือกตั้งใหม่ 2 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ก็มีปมปัญหาเกิดขึ้นมากมาย จนไม่สามารถประกาศผลการเลือกตั้ง ส.ส.ได้แม้แต่เขตเดียว และยังไม่อาจคาดเดาได้ว่า ผลของการเลือกตั้งพิสดารครั้งนี้จะลงเอยอย่างไร จะได้ ส.ส.ครบร้อยละ 95 เปิดประชุมสภาครั้งแรกได้เมื่อใด หรือจะกลายเป็นการเลือกตั้งที่โมฆะ
อย่างไรก็ตาม น.ส.ยิ่งลักษณ์ก็ยังคงอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีรักษาการ รวมทั้งรัฐมนตรี “ขี้ข้า”ทั้งหลาย ก็ยังอยู่รักษาการกันครบทุกตำแหน่ง
ถ้ามองให้ถึงที่สุด เวลานี้ เท่ากับว่าเครือข่ายระบอบทักษิณยังคงกุมอำนาจรัฐไว้ในมืออย่างเบ็ดเสร็จ และสามารถใช้วิธีการทางกฎหมายตอบโต้เล่นงานฝ่าย กปปส.และมวลมหาประชาชนได้ตลอด
นั่นเพราะเครือข่ายผลประโยชน์ที่วางเอาไว้ตามกระทรวงทบวงกรมต่างๆ ยังคงทำงานให้ระบอบทักษิณอย่างมั่นคง ไม่ได้ยี่หระต่อพลังของมวลมหาประชาชนที่ออกมาแสดงเจตนารมณ์ตามท้องถนนนับล้านๆ คน แม้แต่น้อย
“กำนันสุเทพ”ป่าวประกาศหลายต่อหลายครั้ง ให้ข้าราชการหยุดรับใช้ระบอบทักษิณ และออกมาเดินเคียงข้างประชาชน รวมทั้งให้มวลชนออกไปปฏิบัติการ“ชัตดาวน์” ปิดหน่วยงานราชการหลายแห่ง เพื่อไม่ให้รับใช้ระบอบทักษิณอีกต่อไป
แต่ก็ปฏิบัติการชัตดาวน์ก็สามารถทำได้กับหน่วยราชการเพียงบางหน่วย และมีข้าราชการระดับสูงเพียงบางส่วนที่กล้าออกมาประกาศจุดยืนว่าอยู่เคียงข้างกับประชาชน อาทิ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน และมีข้าราชการระดับรองๆ ลงมาจากกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงกาคลัง กรมชลประทาน
นอกนั้นก็มีอดีตข้าราชการ ซึ่งนับว่ามีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักพอสมควร อาทิ นายพงศ์โพยม วาศภูติ อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย นายศิวะ แสงมณี อดีตรองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายปราโมทย์ ไม้กลัด อดีตอธิบดีกรมชลประทาน นายเกริกไกร จีระแพทย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และอดีตปลัดกระทรวงพาณิชย์ นายจเร จุฑารัตนกุล อดีตปลัดกระทรวงพาณิชย์ นางอรนุช โอสถานนนท์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ และอดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ นายมนู เลี่ยวไพโรจน์ อดีตปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม หน่วยราชการที่เป็นตัวชี้ขาดชัยชนะก็คือ กองทัพ ยังไม่ได้แสดงท่าทีใดๆ ที่เป็นการบ่งชี้ว่าอยู่ข้างเดียวกับ กปปส.และมวลมหาประชาชน แม้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบกเคยได้ลั่นวาจาว่า หากมีประชาชนบาดเจ็บล้มตาย รัฐบาลต้องรับผิดชอบ แต่จนบัดนี้ มีประชาชนเสียชีวิตระหว่างการชุมนุมแล้ว 11 คน และมีผู้บาดเจ็บอีก 600 กว่าคน แต่ พล.อ.ประยุทธ์ก็ยังนิ่งเฉย ไม่แสดงปฏิกิริยาใดๆ ที่จะกดดันให้รัฐบาลแสดงความรับผิดชอบต่อการบาดเจ็บล้มตายของประชาชน
มิหนำซ้ำ วันเลือกตั้งทั่วไป 2 กุมภาฯ ที่ผ่านมา “ลุงกำนัน”และมวลมหาประชาชนประกาศบอยคอตการเลือกตั้ง เพื่อไม่ให้รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์นำไปอ้างเอาความชอบธรรม แต่กลับปรากฏภาพผู้นำเหล่าทัพออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งกันอย่างพร้อมหน้า
นี่คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้ชัยชนะของมวลมหาประชาชนยังมาไม่ถึงเสียที
อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวมวลชนของ กปปส.ตลอด 3 เดือนที่ผ่านมา ไม่ได้มีความผิดพลาดแต่ประการใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนัดหมายให้มวลมหาประชาชนออกมาชุมนุมแสดงพลังครั้งใหญ่ในกรุงเทพมหานคร 3 ครั้ง ในช่วงปลายปีที่ผ่านมา คือวันที่ 23 พฤศจิกายน,วันที่ 9 และ 22 ธันวาคม สามารถระดมประชาชนออกมาสู่ท้องถนนได้จำนวนนับล้านคนตามเป้าหมาย จนทำลายสถิติการชุมนุมทางการเมืองของประเทศไทยทั้ง 3 ครั้ง รวมถึงการประกาศ “ชัตดาวน์กรุงเทพฯ”ตั้งแต่วันที่ 13 มกราฯ ก็สามารถทำได้ตามเป้าหมาย
นั่นแสดงว่า กปปส.ประสบความสำเร็จในการจุดประเด็นการต่อต้านระบอบทักษิณและการปฏิรูปประเทศให้เป็นกระแสขึ้นมาได้ในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน
เพียงแต่ยังไม่มากพอที่จะทำให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ลาออกตามที่มวลมหาประชาชนเรียกร้องได้ เพราะยังมีตำรวจและกองทัพเป็นแขนขา รวมทั้งข้าราชการระดับสูงยังยอมก้มหัวรับใช้ระบอบทักษิณต่อไป
อีกทั้งฝ่าย นช.ทักษิณได้ประเมินแล้วว่า ฝ่ายมวลมหาประชาชนไม่ใช้ความรุนแรงมาต่อสู้อย่างแน่นอน จึงรับมือด้วยการยื้อเวลาออกไปเรื่อยๆ เพื่อรอให้มวลมหาประชาชนค่อยๆ อ่อนแรงลงไปเอง
ในระหว่างนี้ ก็หาทางใช้เครื่องมือทางกฎหมายเอาผิดแกนนำ ตัดกำลังฝ่ายประชาชนไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นการตั้งข้อหากบฏ ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ขัดขวางการเลือกตั้ง บุกรุกสถานที่ราชการ กักขังหน่วงเหนี่ยว ขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงาน เป็นต้น
ถึงเวลานี้ ฝ่าย นช.ทักษิณจึงค่อนข้างมั่นใจว่าจะยังกุมอำนาจไว้อีกนาน ถึงจะมีอุบัติเหตุหากคณะกรรมการปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)ชี้มูลความผิดของ น.ส.ยิ่งลักษณ์กรณีทุจริตจำนำข้าว แต่ประธานวุฒิสภาผู้รับสนองพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายกรัฐมนตรีรักษาการก็ยังเป็นคนของระบอบทักษิณ
นี่เป็นโจทย์ใหญ่ที่แกนนำ กปปส.ต้องนำไปทบทวนและปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์การต่อสู้ใหม่ เพื่อนำชัยชนะมาสู่มวลมหาประชาชนโดยเร็ว
การรอ“มะม่วงหล่น”คือคำตัดสินขององค์กรอิสระเพียงอย่างเดียว ไม่น่าจะใช่แนวทางที่ถูกต้อง เพราะทำให้มวลมหาประชาชนต้องรอต่อไปโดยไร้จุดหมาย และไม่อาจคาดการณ์ได้ว่าองค์กรอิสระจะมีคำตัดสินออกมาอย่างไร ดังกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญไม่รับคำร้องของทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ที่ยื่นร้องให้การเลือกตั้งวันที่ 2 กุมภาฯ เป็นโมฆะ เพราะขัดมาตรา 68 เป็นต้น
กุญแจสู่ชัยชนะน่าจะยังอยู่ที่การทำให้กลไกข้าราชการหยุดรับใช้ระบอบทักษิณโดยสิ้นเชิง แต่การส่งมวลชนไปปิดหน่วยราชการให้ครบทุกหน่วยนั้น ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปได้ และยังทำให้ กปปส.ถูกฝ่ายระบอบทักษิณใช้กฎหมายเล่นงานย้อนกลับ นี่จึงเป็นยุทธวิธีที่ต้องมีการทบทวน
วิธีที่จะให้ระบบราชการหยุดรับใช้ระบอบทักษิณจะต้องทำให้ข้าราชการหยุดด้วยความสมัครใจ
นั่นคือ กปปส.จะต้องโน้มน้าวให้ข้าราชการส่วนใหญ่เกิดความกล้าหาญทางจริยธรรมที่จะประกาศตัวหยุดรับใช้ระบอบทักษิณ ด้วยการทำให้เห็นว่า การต่อสู้ของ กปปส.จะนำสิ่งที่ดีกว่ามาสู่พวกเขาได้อย่างไร
งานเร่งด่วนของ กปปส.หลังจากนี้ จึงไม่ใช่การจัดงานอีเวนต์เพิ่มความเท่ห์เก๋ไก๋ไปวันๆ แต่จะต้องรีบทำพิมพ์เขียวการปฏิรูปประเทศไทยที่มีความชัดเจนออกมาโดยเร็ว
พิมพ์เชียวการปฏิรูปที่แสดงให้เห็นว่าจะทำให้ประเทศไทยดีขึ้นกว่าเดิมอย่างไรเท่านั้น ที่จะดึงคนส่วนใหญ่ รวมถึงข้าราชการทุกระดับกล้าประกาศตัวหยุดเป็นทาสระบอบทักษิณและออกมาอยู่เคียงข้างมวลมหาประชาชนได้
วาทกรรมที่ว่า “ล้มระบอบทักษิณก่อนแล้วค่อยทำเรื่องปฏิรูปทีหลัง”นั้น ทิ้งลงถังขยะไปได้เลย เพราะถ้ายังไม่ชัดเจนเรื่องการปฏิรูปก็ไม่มีทางที่จะล้มระบอบทักษิณได้