บลจ.เอ็มเอฟซีตั้งเป้า AUM ปีนี้โตอีก 8% มีทรัพย์สินแตะ 3.6 แสนล้านบาท พร้อมลั่นยึดเบอร์ 1 กองสำรองเลี้ยงชีพหลังส่วนต่างจี้อยู่เพียง 500 ล้านบาทเท่านั้น พร้อมเล็งเปิดสาขาใหม่อีก หวังขยายตลาดภูธรเพิ่ม ระบุหุ้นไทยผันผวนช่วงการเมือง แต่ไม่หลุด 1,200 จุด เหตุราคาถูกต่างชาติจ้องช้อน
นางสาวประภา ปูรณโชติ กรรมการผู้จัดการ บลจ.เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทตั้งเป้าการเติบโตของมูลค่าทรัพยสินสุทธิภายใต้การจัดการ (AUM) อยู่ที่ 8% หรือมีทรัพย์สินอยู่ในระดับ 360,000 ล้านบาท จากเดิมในปี 2556 มีมูลค่าอยู่ที่ 333,906 ล้านบาท โดยยังคงประมาณรายได้ในระดับ 1,000 ล้านบาท ต่อจากปีที่ผ่านมาที่มีรายได้อยู่ที่ 1,172 ล้านบาท และนับเป็นปีที่บริษัทมีรายได้สูงสุดตั้งแต่จัดตั้งบริษัทขึ้นมา
ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในปี 2556 บริษัทมีการเติบโตในส่วนของกองทุนรวมอยู่ที่ 13.30% มีทรัพย์สินอยู่ที่ 44,426 ล้านบาท กองทุนอสังหาริมทรัพย์อยู่ที่ 23,517 ล้านบาท เติบโตขึ้น 7.04% กองทุนสำรองเลี้ยงชีพอยู่ที่ 102,152 ล้านบาท เติบโตขึ้น 30.59% กองทุนส่วนบุคคลอยู่ที่ 34,346 ล้านบาท เติบโตขึ้น 10.29%
“ในกองทุนรวมบริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ประมาณ 6% และเปิดขายไปทั้งหมด 22 กองทุน ส่วนกองทุนอสังหาฯ เราก็มีการเปิดขายไปเพียง 2 กองเท่านั้น แต่ถือเป็นสินทรัพย์ที่มีคุณภาพดีมาก แต่ที่น่าจะมีผลงานดีมากคงเป็นกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ซึ่งเราตามอันดับที่ 1 อยู่ประมาณ 500 ล้านบาท แต่เชื่อว่าจะสามารถแซงและขึ้นไปเป็นอันดับที่ 1 แทนได้ ซึ่งหลังจากนี้คงจะต้องหันมาเจาะในส่วนของเอกชนรายใหญ่ๆ มากขึ้นหลังจบดีลของสถาบันขนาดใหญ่ไปแล้ว โดยเรามั่นใว่าผลงานของเราอยู่อันดับต้นๆ ของอุตสาหกรรมทำให้ลูกค้าน่าจะหันมาสนใจเรา”
นางสาวประภากล่าวอีกว่า สำหรับกลยุทธ์ในปีนี้บริษัทจะให้ความสำคัญในการขยายฐานลูกค้าในต่างจังหวัด การนำเทคโนโลยีมาพัฒนาการให้บริการแก่ลูกค้า และการพัฒนารูปแบบของกองทุนให้เหมาะสมกับสภาวการณ์การลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยการออกกองทุนในปีนี้บริษัทคาดว่าจะมีกองทุนรวมที่จะทยอยออกอีกประมาณ 24 กองทุน และกองทุนประเภทเทอมฟันด์ และทาร์เกตฟันด์ ส่วนกองทุนประเภทอื่นจะต้องพิจารณาตามสถานการณ์
ขณะที่การขยายสาขาไปในต่างจังหวัดบริษัทคาดว่าจะมีการเปิดสาขาเพิ่มอีกประมาณ 5 สาขา แต่จะต้องพิจารณาก่อนว่าสาขาที่เคยเปิดไปก่อนหน้านี้ประสบความสำเร็จมากน้อยแค่ไหน นอกจากนี้ยังต้องดูว่ารายได้และความเข้าใจการลงทุนเป็นอย่างไร โดยล่าสุดสาขาที่บริษัททำการเปิดได้แก่ที่จังหวัดขอนแก่น ซึ่งเป็นจังหวัดใหญ่และมีศักยภาพที่ดี
“ต้องรอดูกันก่อนเพราะเราไม่มีเซลลิ่งเอเยนต์ในต่างจังหวัด และสินค้าที่ขายก็จะมีความเสี่ยงมากขึ้นกว่ากองบอนด์จึงต้องมีความพร้อม และดูว่าเขาพร้อมไหม รายได้ของเขาเป็นอย่างไร ส่วนจังหวัดที่คาดว่าจะเปิดเพิ่มก็มีที่ เชียงใหม่ พิษณุโลก พัทยา หาดใหญ่
หุ้นไทยถูก-ไม่หลุด 1,200 จุด
นางสาวประภากล่าวอีกว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในปีนี้บริษัทเคยประเมินเอาไว้ที่ระดับ1,458- 1,568 จุด ภายใต้การเติบโตของจีดีพีที่ระดับ 4.6% แต่ถือเป็นการประเมินในช่วงเดือนสิงหาคมก่อนการเกิดการชุมนุมทางการเมือง โดยภายหลังเกิดการชุมนุมทางการเมืองและการชัตดาวน์กรุงเทพฯ บริษัทคาดว่าการเติบโตของจีดีพีจะปรับลดลงมาอยู่ที่ 4.2% อย่างไรก็ตาม ในช่วงต้นปีที่ผ่านมาบริษัทได้มีการประเมินใหม่และคาดว่าอัตราการเติบโตของจีดีพีจะอยู่ที่เพียง 3% ซึ่งจะส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยมาอยู่ในกรอบไม่เกิน 1,428 จุด
“การประเมินหุ้นในตอนนี้ต้องดูมากขึ้น ซึ่งการเมืองไทยส่งผลกระทบต่อการลงทุน นอกจากนี้การบริโภคภายในประเทศยังมีแนวโน้มลดลงจากปีที่ผ่านมา ซึ่งดูได้จากหนี้ภาคครัวเรือนที่เพิ่มขึ้น โดยการคาดการณ์ข้างต้นประเมินเอาไว้แค่ว่าเหตุการณ์การเมืองจะยุติลงก่อนช่วงกลางปี และในช่วงครึ่งหลังของปีการลงทุนจะกลับมาเป็นปกติ” นางสาวประภากล่าว
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าหุ้นไทยไม่น่าจะปรับลดลงต่ำกว่า 1,200 จุด เนื่องจากเป็นระดับที่หุ้นไทยจะมีราคาถูกมากในระดับ P/E ที่ 11 เท่า และน่าจะส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติที่เคยออกไปหันกลับมาลงทุนในหุ้นไทยมากขึ้นได้