xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“ไว้ใจไอ้ตู่มาก” รหัสยะจาก “คลิปถั่งเช่า” ถึงเสียงเร้าของ “ป๋าเปรม”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษกับข้อความที่อยากให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาอ่าน
ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -“ทหารเรายืนอยู่บนเกียรติอันสูงส่ง ที่ประชาชนคนไทยหวังเป็นที่พึ่งขั้นสุดท้ายของเขา”

นั่นคือข้อความที่ติดอยู่บนป้ายแกะสลักซึ่งติดอยู่บริเวณด้านล่างของอนุสาวรีย์ พล.อ.กฤษณ์ สีวะรา อดีตผู้บัญชาการทหารบก ที่ “พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์” ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษชี้ให้ พล.ท.ชาญชัย ภู่ทอง แม่ทัพภาคที่ 2 ดูในวันที่เดินทางไปเปิดอนุสาวรีย์ พล.อ.กฤษณ์ที่ค่ายกฤษณ์สีวะรา จังหวัดทหารบกสกลนคร อำเภอเมืองสกลนคร จังหวัดสกลนคร เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2557 ที่ผ่านมา พร้อมกับพูดเสียงดังฟังชัดว่า “ตรงจุดนี้น่าจะให้ ผบ.ทบ.มาอ่านดูบ้างนะ”

ฉับพลันทันทีที่สิ้นเสียง พล.อ.เปรม กองทัพบกก็ร้อนไปทั้งกองทัพ โดยเฉพาะตัว “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ผู้บัญชาการทหารบกคนปัจจุบัน

สิ่งที่สังคมสงสัยก็คือ ทำไม พล.อ.เปรมถึงอยากให้ พล.อ.ประยุทธ์มาอ่านข้อความนี้

แน่นอน นี่ย่อมไม่ใช่คำพูดลอยๆ ที่เชื่อว่า พล.อ.เปรมมิได้ต้องการเพียงแค่ “พูดหูซ้ายทะลุหูขวา” ของ พล.อ.ประยุทธ์เท่านั้น หากแต่แฝงไว้ซึ่งความหมายที่ไม่ธรรมดาในขณะที่สถานการณ์การเมืองกำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม

และความหมายที่ว่านั้นย่อมเกี่ยวเนื่องมาจากคำว่า “ไว้ใจไอ้ตู่มาก” จาก “คลิปถั่งเช่า” อันสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั้งกองทัพ

กระนั้นก็ดี ความน่าสนใจของเรื่องนี้ยังมิได้หมดอยู่เพียงแค่นั้น หากแต่ยังเชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของ “คนเสื้อแดง” เมื่อมีการเปลี่ยนตัวประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) จาก “นางธิดา ถาวรเศรษฐ์” มาเป็น “นายจตุพร พรหมพันธุ์” โดยมี “นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” รั้งตำแหน่งเลขาธิการ

เป็น “ตู่” จตุพรคนที่นักโทษชายหนีคดีทักษิณ ชินวัตร “ไว้ใจมาก” เช่นกัน

ด้วยเหตุดังกล่าว สถานการณ์การเมือง ณ วินาทีนี้จึงมิอาจมองเป็นอื่นได้ว่า ทั้งสองฝ่ายกำลังเดินอยู่บนเส้นทางหัวเลี้ยวหัวต่อ ขึ้นอยู่กับว่า นายใหญ่สามารถไว้วางใจ “ใคร” มากกว่ากัน

**เมื่อนักฆ่าแห่งลุ่มเจ้าพระยา ส่งคำเตือนถึงนายพลผัดกระเพรา

กล่าวสำหรับ “สาร” ที่พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษส่งผ่านออกมาในวันที่เดินทางไปเปิดอนุสาวรีย์ พล.อ.กฤษณ์ สีวะรานั้น ต้องบอกว่าเป็นสารที่มิอาจมองข้ามได้ เนื่องเพราะเป็นครั้งแรกหลังจากรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตรเข้ามาบริหารราชการแผ่นดินที่ พล.อ.เปรมเจตนาสื่อสารไปถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในลักษณะที่ต้องการให้ตกเป็นข่าว

พล.อ.ประยุทธ์มิได้ยืนอยู่บนเกียรติอันสูงส่งที่ประชาชนคนไทยหวังเป็นที่พึ่งขั้นสุดท้ายเช่นนั้นหรือ

ถ้าใช่ ย่อมแสดงว่า พล.อ.เปรมกำลังตำหนิการทำหน้าที่ของ พล.อ.ประยุทธ์อย่างตรงไปตรงมา เช่นนั้นหรือ เพราะไม่เช่นนั้น พล.อ.เปรมคงไม่อยากให้ พล.อ.ประยุทธ์มาอ่านข้อความดังกล่าว

ทั้งนี้ ในครั้งแรกที่ตกเป็นข่าว พล.อ.ประยุทธ์พยายามบิดเบือนข้อเท็จจริงว่า คนที่ พล.อ.เปรมต้องการให้มาอ่านมิใช่ตนเอง โดยใช้ให้ลูกน้องออกมาให้ข่าวบิดเบือนไปจากข้อเท็จจริง

ทั้งตัว พล.ท.ชาญชัยเองที่ออกรับแทน พล.อ.ประยุทธ์หน้าตาเฉยว่า “เป็นความเข้าใจผิดของคนที่ไปสื่อสาร เพราะเรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นขณะที่พล.อ.เปรมเดินไปตรวจอนุสาวรีย์ พล.อ.กฤษณ์ สีวะรา และท่านเห็นข้อความดังกล่าวมีช่องว่างที่ดูไม่สวยงาม ท่านจึงบอกว่าน่าจะให้ ผบ.มาดูตรงนี้หน่อย ซึ่ง ผบ.ในที่นี้ ท่านหมายถึง ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกสกลนคร ไม่ใช่ ผู้บัญชาการทหารบก”

ทั้ง พ.อ.วินธัย สุวารี รองโฆษกกองทัพบกที่แถเอาใจเจ้านายสุดลิ่มทิ่มประตูว่า คงไม่ได้เฉพาะเจาะจงต้องเป็นเรื่องใดเรื่องหนึ่งเท่านั้น โดยเฉพาะสังคมทหารมักมีคำสอนคำเตือนสติอยู่มากมายจากทั้งผู้อยู่ หรือผู้ล่วงลับไปแล้ว แต่ทั้งหมดก็เพื่อขวัญกำลังใจ ความกล้าหาญ เสียสละ ที่จะปฏิบัติงานให้กับสังคม ประชาชนทุกคน และประเทศชาติ

แต่สุดท้ายก็จำนนด้วยหลักฐานเมื่อปรากฏทั้งภาพและเสียงของ พล.อ.เปรมชัดแจ้งว่า คนที่ พล.อ.เปรมต้องการให้มาอ่านคือ ผบ.ทบ. ซึ่งนั่นได้ทำได้ พล.อ.ประยุทธ์ดิ้นพลาดๆ ราวกับไส้เดือนถูกขี้เถ้า และแก้ตัวเป็นพัลวันว่ามิได้มีสัญญาณใดๆ จาก พล.อ.เปรมส่งถึงตนเอง

“ผมไม่เห็นมีปัญหาอะไร ไม่ได้ชักกระตุกตามที่สื่อมวลชนเขียนและไม่ได้รู้สึกอะไรเลย เพราะเป็นเรื่องภายในที่มีการจัดตั้งอนุสาวรีย์ พล.อ.กฤษณ์ ที่ได้ทำคุณประโยชน์ ผมได้จัดให้ พล.อ.วิชิต ศรีประเสริฐ หัวหน้าคณะฝ่ายเสนาธิการประจำผู้บังคับบัญชาเป็นตัวแทนไป เพราะติดภารกิจ โดยมี พล.ท.ชาญชัย ภู่ทอง แม่ทัพภาคที่ 2 ต้อนรับ ทั้งนี้ พล.อ.เปรมได้เข้าไปดูพื้นที่และอนุสาวรีย์ฯ พร้อมกับกล่าวว่า คำพูดนี้ก็ไพเราะดีนะ ขณะเดียวกัน อนุสาวรีย์ฯ ยังไม่มีความเรียบร้อย พล.อ.เปรมคงจะพูดว่า ว่างๆ ก็ให้ผบ.ทบ.มาดู และมาเยี่ยมบ้างซึ่งผมก็ไปอยู่แล้ว ทั้งหมดก็แค่นั้น ไม่มีอะไรที่น่าตื่นเต้น ผมไม่รับสัญญาณใครทั้งนั้น ผมคิดว่า พล.อ.เปรมเป็นผู้ใหญ่ของบ้านเมือง เป็นบุคคลที่มีเกียรติในแผ่นดินนี้ เพราะฉะนั้นท่านคงไม่ทำอะไรอย่างที่ทุกคนคิด และไม่จำเป็นที่ท่านจะฝากใครมา มีอะไรท่านสามารถพูดกับผมได้อยู่แล้ว คนในกองทัพทั้งกองทัพให้ความเคารพท่าน และคิดว่าท่านไม่ได้คิดแบบนั้น แต่ทุกคนกลับไปคิดว่าท่านไม่อยู่ซ้ายก็ต้องอยู่ขวา บ้านเมืองแตกแยกเพราะแบบนี้ ทำไมไม่มองให้คนช่วยกันแก้ไขปัญหา ถ้ามันอยู่ซ้ายหรือขวาก็ดึงกลับมาตรงกลาง ทำไมไม่ทำแบบนี้ แล้วเมื่อไหร่มันจะจบ” พล.อ.ประยุทธ์แจกแจง

แปลไทยเป็นไทยก็คือ พล.อ.ประยุทธ์ไม่คิดว่า พล.อ.เปรมส่งสัญญาณอะไร ซึ่งมิอาจตีความเป็นอื่นได้ว่า เสียงของ พล.อ.เปรมผ่านเข้าหูซ้ายและทะลุออกหูขวาของ พล.อ.ประยุทธ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ขณะเดียวกัน พล.อ.ประยุทธ์ยังชี้นำและตีความเสร็จสรรพอีกต่างหากว่า ความเป็นกลางอย่างที่ตนเองพร่ำบ่น 3 เวลาหลังอาหารและก่อนนอนคือสิ่งที่ถูกต้อง เนื่องจากสามารถทำให้ปัญหาความขัดแจ้งที่เกิดขึ้นจบลงได้ มิใช่จะต้องเลือกข้างเหมือนที่บรรดากองเชียร์ชูรักแร้สนับสนุน

ทว่า ความจริงย่อมเป็นความจริงที่มิได้บิดเบือนได้ เพราะเมื่อมีบทสรุปชัดแจ้งว่า พล.อ.เปรมต้องการให้ พล.อ.ประยุทธ์อ่านข้อความดังกล่าว นั่นย่อมมิได้หมายความอย่างที่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวอ้าง

เป็นไปได้หรือไม่ว่า เป็นเวลานานพอสมควรแล้วที่ พล.อ.เปรมไม่สามารถฝาก “ข้อความบางประการ” ไปถึงตัว พล.อ.ประยุทธ์โดยตรงได้ เพราะถ้าได้ พล.อ.เปรมต้องไม่เลือกใช้วิธีที่เห็น

เป็นไปได้หรือไม่ว่า พล.อ.เปรมเฝ้าจับตาพฤติกรรมของ พล.อ.ประยุทธ์มานานนับตั้งแต่คลิปถั่งเช่าปรากฏ และสุดท้ายก็อดรนทนไม่ไหวที่จะต้องแสดงสัญลักษณ์บางประการเพื่อกระตุ้น พล.อ.ประยุทธ์

คำถามก็คือ ทำไม พล.อ.เปรมถึงจำต้องแสดงหรือกระทำสิ่งที่เป็นสัญลักษณ์เช่นนี้

แน่นอน เมื่อถอดรหัสคำพูดของ พล.อ.เปรม เรื่องนี้ย่อมมีที่มาที่ไปและเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า น่าจะมีความเกี่ยวพันกับเหตุการณ์สำคัญ 2 เหตุการณ์

เหตุการณ์แรกคือ ปรากฏการณ์สะท้านกองทัพกรณี “คลิปถั่งเช่า” ที่ลอกคราบตัวตนของผู้นำเหล่าทัพที่สยบยอมอยู่ภายใต้อำนาจของ “นักโทษชายหนีคดี” โดยเฉพาะประโยคเด็ด “ไว้ใจไอ้ตู่มาก” ซึ่งแม้จะมิได้ระบุชื่อเสียงเรียงนามว่า “ไอ้ตู่” ที่เอ่ยถึงนั้นเป็นใคร แต่ก็เป็นที่รับรู้กันว่า “ไอ้ตู่” คนที่นายใหญ่ไว้ใจมากนั้นคือใคร

เหตุการณ์ที่สองคือ ปฏิกิริยาของ พล.อ.ประยุทธ์ในช่วงที่มีการชุมนุมของมวลมหาประชาชนซึ่งมีความเกี่ยวโยงกับกรณีคลิปถั่งเช่า โดยเป็นที่ชัดแจ้งว่า บทบาทที่ พล.อ.ประยุทธ์แสดงออกก็คือ เลือกที่จะเหยียบเรือสองแคมเพื่อรอเกษียณอายุราชการ

โดยแคมแรกคือทำทีประหนึ่งยืนอยู่ข้างมวลมหาประชาชน

ขณะที่แคมที่สองก็เลือกที่จะทำงานอย่างมีความสุขกับระบอบทักษิณและรัฐบาลน้องสาวคนสวยของเขา

ทั้งๆ เป็นที่ประจักษ์ว่า กลุ่มคนเสื้อแดงมีเป้าหมายสูงสุดการแบ่งแยกประเทศ ซึ่งปรากฏหลักฐานชัดเจนกรณี “สปป.อีสานล้านนา” แต่ พล.อ.ประยุทธ์ก็ทำเพียงแค่การส่งนายทหารพระธรรมนูญไปแจ้งความดำเนินคดีกับตำรวจที่ พล.อ.ประยุทธ์รู้อยู่เต็มอกว่า “มีวันนี้เพราะพี่ให้” และจนป่านนี้ตำรวจก็ยังไม่ได้ดำเนินการให้คดีมีความคืบหน้าของคดีแต่ประการใด

นี่กระมังจึงเป็นเหตุให้ พล.อ.เปรมปรารถนาให้ พล.อ.ประยุทธ์มาอ่านข้อความ “ทหารเรายืนอยู่บนเกียรติอันสูงส่ง ที่ประชาชนคนไทยหวังเป็นที่พึ่งขั้นสุดท้ายของเขา”

** “ตุ๊ดตู่” ประธาน นปช. ความตั้งใจของนายใหญ่

อย่างไรก็ดี นอกจาก พล.อ.เปรมจะตั้งใจเตือนสติ พล.อ.ประยุทธ์แล้ว ดูเหมือนว่า นักโทษชายหนีคดีทักษิณ ชินวัตรก็ปรับยุทธศาสตร์และยุทธวิธีที่มีต่อ พล.อ.ประยุทธ์ไม่แพ้กัน เนื่องจากไม่แน่ใจว่า ความเคลื่อนไหวของ พล.อ.เปรมจะทำให้สามารถไว้วางใจได้ต่อไปอีกหรือไม่

ยุทธศาสตร์ที่ว่านั้นมีเป้าหมายสูงสุดคือสะกด พล.อ.ประยุทธ์ให้ยังคงเลือกเล่นบทบาทเหมือนเดิมคือท่องคาถา “เป็นกลาง” เอาไว้จนกว่าจะเกษียณอายุราชการ

ทั้งนี้ ยุทธศาสตร์แรกที่ถูกปล่อยออกมาก็คือ การส่ง โกตี๋” นายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ แกนนำคนเสื้อแดงฮาร์ดคอร์แห่งจังหวัดปทุมธานี ผู้มีสายสัมพันธ์อันแนบแน่นกับตำรวจมีวันนี้เพราะมีให้ ออกมาเปิดศึกท้ารบกับ พล.อ.ประยุทธ์โดยตรง ซึ่งก็ต้องถือว่าได้ผลในระดับหนึ่ง เนื่องเพราะสามารถทำให้ พล.อ.ประยุทธ์“ลดตัว” ไปต่อล้อต่อเถียงด้วย

ซ้ำร้ายหลังจากหลบหนีออกนอกประเทศไปพักใหญ่ โกตี๋ก็ลอยนวล กลับมาทำสงครามจิตวิทยา โดยที่ พล.อ.ประยุทธ์ไม่สามารถทำอะไรได้ ทั้งการขึ้นป้ายแบ่งแยกดินแดน ทั้งการประกาศจะจัดตั้งกองกำลังสะสมอาวุธไว้ต่อสู้กับกองทัพ โดยใช้ชื่อยุทธการว่า ช้างสารกับมดแดง รวมถึงการข่มขู่ศาลและองค์กรอิสระว่า เมื่อใดที่ตัดสินที่ไม่ถูกใจ วันนั้นเสียงปืนแตกจะดังทั่วกรุงเทพฯ

“ตอนนี้ไม่ได้มีแต่กลุ่มผม แดงอิสระ แดงสยามก็เตรียมพร้อมไว้ ถ้าเมื่อไหร่ที่มันประกาศถอดถอนนายกฯ หรือไม่ให้นายกฯทำงานต่อ วันนั้นเสียงปืนแตกดังทั่ว กทม. วันนี้พวกเรามองไว้บรรดาสถาบันการเงินต่างๆ ที่เป็นของพวกมัน ไม่ว่าจะเป็นแบงก์กรุงเทพ กรุงศรีฯ ทหารไทย หรืออะไร ไทยพาณิชย์ เราจะไปยืมเงินมาใช้ เราจะไปยืมเสบียงจากร้านสะดวกซื้อ และยืมน้ำมันจากปั๊ม ต่างๆ เมื่อเหตุการณ์สงบค่อยนำของที่ยืมไปมาใช้คืน”

นั่นหมายความว่า โกตี๋มิได้เกรงกลัว พล.อ.ประยุทธ์แต่ประการใด เพราะจนป่านนี้ โกตี๋ก็ยังลอยนวล

นี่ไม่นับรวมถึง “ตั้ง อาชีวะ” ที่พูดหมิ่นสถาบันบนเวทีคนเสื้อแดง ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย

ตามต่อด้วยการให้ “แรมโบ้อีสาน-นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์” รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ดำเนินการจัดตั้งกองกำลังที่มีชื่อว่าอาสาสมัครพิทักษ์ประชาธิปไตยแห่งชาติ หรือ อพปช. โดยสมาชิก อพปช.ทุกคนจะได้รับการฝึกฝนทางยุทธวิธีประมาณ 1 เดือน และที่เด็ดที่สุดกลุ่ม อพปช.ยังได้เชิญ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีตรองผู้อำนวยการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน มาเป็นที่ปรึกษาอีกต่างหาก

กรณีของโกตี๋และแรมโบ้อีสานชัดเจนว่า เป็นหมากที่นายใหญ่คนเสื้อแดงใช้เพื่อสะกด พล.อ.ประยุทธ์โดยตรง

และสุดท้ายเมื่อ พล.อ.เปรมส่งสัญญาณถึง พล.อ.ประยุทธ์ เจ้ามูลเมืองก็ส่งดาวข่ม “ตัวใหญ่” มาประลองกำลังเพื่อข่มขู่มิได้ พล.อ.ประยุทธ์กระทำการใดๆ เพื่อรักษาเกียรติอันสูงส่งที่ประชาชนคนไทยหวังเป็นที่พึ่งขั้นสุดท้าย นั่นคือการปรับเปลี่ยนตัวประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) จาก “นางธิดา ถาวรเศรษฐ์” มาเป็น “นายจตุพร พรหมพันธุ์” โดยมี “นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” รั้งตำแหน่งเลขาธิการ

เป็น “ตู่” จตุพร และ “เต้น” ณัฐวุฒิคนที่นักโทษชายหนีคดีทักษิณ ชินวัตร “ไว้ใจมาก” และรู้ดีว่า สถานการณ์เช่นไรจึงจะเหมาะสมที่จะใช้งาน โดยเฉพาะในยามที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์หมดสภาพ และคนเสื้อแดงมิได้ยิ่งใหญ่หรือน่ากลัวเหมือนที่ผ่านมา

การส่งดาวข่มอย่าง “ตู่คางคก” มารั้งตำแหน่งหัวหน้าคนเสื้อแดง จึงมิอาจตีความเป็นอื่นได้ว่าคือการประกาศสงครามซึ่งๆ หน้าว่า ถ้าเล่นบทแรงก็พร้อมจะแรงตอบ

การวางระเบิดศาลทั้งๆ ที่มีทหารตั้งบังเกอร์อยู่ ใช่เป็นคำตอบของเรื่องดังกล่าวหรือไม่ ไม่มีใครทราบได้ แต่ที่แน่ๆ คือ งานนี้คือเกมวัดใจที่มีนัยสำคัญยิ่ง

ขณะเดียวกันก็เป็นการสะกดมิให้ พล.อ.ประยุทธ์ออกนอกแถว เนื่องจากถือเป็นปราการด่านสุดท้ายที่จะทำให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ดำรงอยู่ได้ต่อไป

กระนั้นก็ดี ถ้าจะว่าไปแล้ว “ตู่-เต้น” อาจเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาให้มีการทำรัฐประหารเสียด้วยซ้ำไป เพราะวันนี้ ระบอบทักษิณเหลือทางเลือกและทางรอดไม่มากนัก ยิ่งถ้าเป็นการรัฐประหารที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการ SET ZERO คือเคลียร์ทั้งสองฝ่ายด้วยแล้ว ระบอบทักษิณก็ยิ่งชอบเพราะสามารถใช้ปลุกระดมมวลชนให้กลับคืนสู่ความยิ่งใหญ่ได้อีกครั้ง ขณะที่คดีความต่างๆ ที่ดำเนินอยู่ก็จำต้องหยุดชะงักไป

และผลงานชิ้นโบแดงของ “ประธานตู่” ก็คือการสาวไส้ พล.อ.ประยุทธ์แบบไม่ไว้หน้าเช่นกันหลังถูกด่าว่าไม่มีเกียรติ....

“นอกจาก พล.อ.ประยุทธ์ จะตาไม่ดีแล้ว ยังหูไม่ดีอีก ฟังไม่ได้ศัพท์ จับไปกระเดียด คนที่เป็นผู้บังคับบัญชาทหารบก ควรจะเป็นคนที่สุขุม รอบคอบ ไม่ใช่นำกองกำลังทหารไปหนุนกับเครือข่ายอำมาตย์ ซึ่งการกระทำเช่นนี้หรือที่มีเกียรติของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และจะไม่สู้กับทหารเพราะมีอาวุธ โดย นปช.จะสู้ด้วยสันติวิธี และอีกไม่นาน พล.อ.ประยุทธ์ ก็จะเป็นประชาชนทั่วไป ไม่มีอาวุธต่อสู้อย่างทหาร ซึ่งหาก พล.อ.ประยุทธ์จะก่อรัฐประหาร นายจตุพร จะไม่มีวันยอมเด็ดขาด จะสู้ด้วยมือเปล่า นอกจากนี้ ศอฉ.ที่ พล.อ.ประยุทธ์ไปร่วมด้วย แล้วอ้างผังล้มเจ้ามาใส่ร้ายคนเสื้อแดง เป็นการนำสถาบันพระมหากษัตริย์มาปกป้องตนเองและทำร้ายผู้อื่น ไม่ซื่อสัตย์ การพูดดูถูกของ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นการพูดที่ไม่มีความเป็นลูกผู้ชาย”

เรียกว่าแทงข้างหลังทะลุถึงหัวใจชายชาติทหารอย่าง พล.อ.ประยุทธ์แทบกระอักเลือด

ถามว่า ทำไมคนอย่างนายจตุพรหรือโกตี๋ถึงไม่กลัว พล.อ.ประยุทธ์ซึ่งเป็นถึงผู้บัญชาการทหารบก

คำตอบก็คือ เพราะทั้งนายจตุพรและโกตี๋รู้ดีว่า พล.อ.ประยุทธ์มีแต่ “ขนมจีน” และชำนิชำนาญเพียงแค่การคำรามจนเสียงแหบเสียงแห้งเท่านั้น

ถึงตรงนี้ คงต้องวัดกันเป็นรายชั่วโมงว่า สุดท้ายจะเกิดอะไรขึ้น และ ใครจะเป็นที่ไว้วางใจของนายใหญ่มากกว่ากัน

เป็นเกมการเมืองที่มิอาจกระพริบตาได้แม้แต่วินาทีเดียว


พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
กำลังโหลดความคิดเห็น