ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -นับว่าเป็นกรณีที่น่าศึกษาอย่างยิ่ง สำหรับเส้นทางของ 2 ข้าราชการไทย ซึ่งต่างก็เป็นใหญ่ในหน่วยงานด้านความมั่นคง แต่ดูแล้วเส้นทางการทำงานของข้าราชการสองคนนี้จะต่างกันสุดขั้วชนิดฟ้ากับเหว คนหนึ่งนั้นเป็นข้าราชการตงฉิน ยอมหักไม่ยอมงอ ไม่ยอมทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้องเพื่อรับใช้ฝ่ายการเมือง ส่วนอีกคนหนึ่งยอมกลายร่างจากข้าราชการน้ำดี หันไปรับใช้ฝ่ายการเมืองแบบสุดลิ่มทิ่มประตู ไม่รู้ถูกรู้ผิด
แน่นอนว่า คนแรกที่กล่าวถึงคือ 'นายถวิล เปลี่ยนศรี' ที่ถูกเด้งฟ้าผ่าจากตำแหน่ง 'เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ' ไปนั่งตบยุ่งในฐานะที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำ จากคำสั่งของ 'ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร' นายกรัฐมนตรี เมื่อเดือน ก.ย.2554 เพียงเพื่อสนองความต้องการของฝ่ายการเมืองที่ต้องการเคลียร์เก้าอี้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่ 'พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี' นั่งประจำการอยู่ให้ว่างลง เพื่อให้เครือญาติของนายกฯ คือ 'พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์' พี่ชายของ 'คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร' อดีตศรีภรรยาของ 'นช.ทักษิณ ชินวัตร' ได้ขึ้นมาเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ก่อนเกษียณ เพื่อเป็นเกียรติเป็นศรีแก่วงศ์ตระกูล และยังสามารถยึดศูนย์กลางอำนาจของข้าราชการตำรวจทั่วประเทศให้อยู่ในระบอบทักษิณได้อย่างเบ็ดเสร็จ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องหาตำแหน่งที่มีเกียรติและศักดิ์ศรีเท่าเทียมกันให้ 'พล.ต.อ.วิเชียร' ไปนั่งแทน หวยจึงมาออกที่เก้าอี้เลขาธิการสภาความมั่นคงของ 'นายถวิล เปลี่ยนศรี' ทำให้เขาถูกคำสั่งย้ายแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย นับเป็นการย้ายข้ามห้วยแบบมั่วซั่วสุดประมาณจนต้องจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ข้าราชการไทย
แต่ข้าราชการตงฉินอย่าง 'ถวิล เปลี่ยนศรี' ก็หาได้ยอมจำนนต่อคำสั่งที่มิชอบ เขาได้ยื่นเรื่องต่อศาลปกครอง ฟ้อง นายกฯยิ่งลักษณ์ ว่ามีคำสั่งโยกย้ายโดยไม่เป็นธรรม เป็นการใช้ดุลพินิจที่มิชอบ และขอให้ศาลพิจารณาเพิกถอนคำสั่งโยกย้ายดังกล่าว ต่อมาในวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 ศาลปกครองกลางได้มีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งของสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ให้นายถวิลไปปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้นายถวิล กลับไปดำรงตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติตามเดิม แต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์กลับเล่นแง่ด้วยการยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด และในที่สุด เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2557ที่ผ่านมา ศาลปกครองสูงสุดก็มีคำพิพากษายืนตามคำสั่งของศาลปกครองกลาง ให้คืนตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ แก่นายถวิล ภายใน 45 วัน ซึ่งหมายความว่าอย่างช้าที่สุดนายถวิลจะต้องได้กลับมาดำรงตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ภายในวันที่ 21 เมษายน2557 อีกทั้งยังได้เป็นเลขาธิการศูนย์รักษาความสงบ (ศรส.)โดยตำแหน่งอีกตำแหน่งหนึ่งด้วย
คำสั่งของศาลครั้งนี้ได้สร้างบรรทัดฐานแก่สังคมว่าฝ่ายการเมืองจะใช้อำนาจบาตรใหญ่โยกย้ายข้าราชการตามอำเภอใจไม่ได้ !!
นอกจากนั้นอีกปัญหาหนึ่งซึ่งรัฐบาลยิ่งลักษณ์จะต้องเจอหลังจากนี้ก็คือ หากต้องคืนตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติให้นายถวิล ก็หมายความว่าจะต้องให้นายถวิลทำหน้าที่แทน 'พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร' เลขาธิการสภาความมั่นคง คนปัจจุบัน ทั้งหมดโดยเฉพาะการเข้าไปนั่งเป็นกรรมการศูนย์รักษาความสงบ (ศรส.) ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าหน่วยงานนี้มีหน้าที่ทำทุกอย่างเพื่อสร้างความมั่นคงให้แก่รัฐบาลยิ่งลักษณ์เท่านั้น แต่ถ้าให้นายถวิลมานั่งใน ศรส.มีหรือที่ข้าราชการน้ำดีอย่างเขาจะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้และยอมทำตามคำสั่งที่มิชอบของรัฐบาล งานนี้มีหวังพังกันทั้ง ศรส.แน่ !!
ตอนนี้นายกจึงได้แต่ดึงเชง ไม่ยอมคืนตำแหน่งให้นายถวิลง่ายๆ และกำลังคิดคำนวณว่าอาจจะต้องเปลี่ยนโครงสร้าง ศรส.ใหม่ เพื่อกันไม่ให้นายถวิลในฐานะเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติเข้ามานั่งเป็นกรรมการในหน่วยงานนี้
ส่วนข้าราชการในหน่วยงานด้านความมั่นคงอีกคนหนึ่งนั้นคือ 'นายธาริต เพ็งดิษฐ์' อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ซึ่งถูกแซวว่าแอบขโมยนามสกุลของนายถวิลมาใช้ แต่เปลี่ยนจาก ศ. เป็น ส. จึงกลายเป็น 'ธาริต เปลี่ยนสี' เนื่องจากนายธาริต อธิบดีดีเอสไอ ที่เคยใช้ความรู้ความสามารถอย่างเต็มที่เพื่อดูแลความมั่นของชาติ ช่วยให้ประเทศไทยรอดพ้นจากวิกฤตการก่อการร้ายของ 'ชายชุดดำ' ที่เข่นฆ่าทั้งคนเสื้อแดงและเจ้าหน้าที่ทหาร อีกทั้งยังปฏิบัติการเผาบ้านเผาเมือง ในการชุมนุมที่ราชประสงค์ เมื่อปี 2553 ที่ผ่านมา แต่วันนี้เขาได้กลายร่างมาเป็นข้ารับใช้ระบอบทักษิณ ซึ่งเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการก่อการร้ายของ 'ชายชุดดำ' เมื่อปี 53 โดยยอมทำงานรับใช้แบบถวายหัว ชนิดไม่สนใจผิดชอบชั่วดี
วันนี้แม้นายธาริตจะยังคงนั่งในเก้าอี้อธิบดีดีเอสไออย่างสบายใจเฉิบ แต่ก็ไม่อาจหนีบ่วงกรรมที่เคยก่อ เพราะเขากำลังถูกแฉลากไส้เรื่องที่มาของ 'ฟิออร์เร ปาร์ค' ( Fiore Park Home stay ) โฮมสเตย์สุดหรูที่ปากช่อง จ.นครราชสีมา ซึ่งกลายเป็นประเด็นอื้อฉาวตามหน้าสื่อ โดยนอกนอกจากจะมีข้อครหาในเรื่องที่มาของเงินจำนวนมาหาศาลที่นำมาใช้สร้างโฮมสเตย์ดังกล่าวแล้ว จากการตรวจสอบยังพบว่าโฮมสเตย์ซึ่งตั้งอยู่บนเนื้อที่รวมมากกว่า 6-7 ไร่นั้น ได้มีการงอกขยายของที่ดินเพิ่มขึ้นจากโฉนดจริงที่นายธาริตซื้อไว้ถึง 3 เท่าตัว ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีการบุกรุกพื้นที่ป่าในการสร้างโฮมสเตย์ดังกล่าว ในลักษณะฮุบภูเขาเอามาทำรีสอร์ตอีกด้วย
ข่าวฉาวเกี่ยวกับที่ดินของนายธาริตยังไม่หมด เพราะก่อนหน้านี้ ศูนย์ข้อมูลและข่าวสืบสวนเพื่อสิทธิพลเมือง (ทีซีไอเจ) รายงานเมื่อวันที่ 10 ก.ค. 2555 ระบุว่า สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ได้ตรวจสอบปัญหาบุกรุกออกเอกสารสิทธิ์ที่ดินโดยมิชอบ ในนิคมสร้างตนเองลำตะคอง ต.หมูสี อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ซึ่งพบว่าจากข้อมูลการถือครองที่ดิน และรายชื่อของผู้สมัครเป็นสมาชิกสหกรณ์ในช่วงปี 2537-2539 นั้นมีรายชื่อ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ และนางวรรษมล เพ็งดิษฐ์ ภรรยาทั้งๆ ที่โดยคุณสมบัติผู้ถือครองที่ดินต้องเป็นเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อนลำตะคอง และราษฎรที่ไม่มีที่ดินเพียงพอแก่การทำกิน
แต่จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีคำตอบใดๆ จากปากนายธาริต อย่างไรก็ดี แน่นอนว่าบัดนี้นายธาริตได้กลายเป็นตำนานอันอมตะนิรันดร์กาลของ “ข้าราชการตัวอย่าง” ในระบอบทักษิณไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว