ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-“คนที่เขาเอาภาพมาปล่อย เขาต้องการดิสเครดิต หันเหเบี่ยงเบน การก่อกรรมทำเข็ญ แต่กฎแห่งกรรมจะย้อนกลับไปยังเขา มาจนถึงขณะนี้ส่วนใหญ่ที่มีการออกสื่อโดยมีผู้มีอำนาจรัฐ ถามว่า ตอนนี้มีใครเชื่อบ้าง คุณโกหกพกลมเสียจนไม่มีใครเชื่อกันแล้ว ตอนนี้เรากำลังหารือกับทนายที่จะทำการฟ้องร้องว่าภาพโผล่ออกมาได้อย่างไร ทำไมถึงทำกันอย่างนั้น แต่ไม่ได้ฟ้องสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่จะดูว่าภาพออกมาจากตรงไหน ก็ว่ากันตรงนั้นไป และ ผบ.ทร. คงทราบเรื่องนี้แล้ว และท่านได้เคยสั่งการให้กำลังพลไม่เข้าไปเกี่ยวข้องและกลับไปในที่ตั้ง”
“สำหรับคนที่มาก่อเหตุปาระเบิด เป็นคนที่ได้รับการฝึกมาโดยเฉพาะ ในปี 52 และปี 53 ที่มีเรื่องของเสื้อแดง เสื้อแดงชำนาญเรื่องนี้หรือเปล่า เป็นชายชุดดำที่เคยเคลื่อนไหวในปี 53 และมีใครคุมอยู่ เจ้าหน้าที่รัฐอยู่เต็มไปหมด ทำไมทำเรื่องนี้ให้ปรากฏความจริงไม่ได้ ที่ว่าเป็นชายชุดดำปี 53 ก็ดูวิธีการจากการกระทำ ดูความเหี้ยมโหด ดูสิ่งต่างๆ ที่ผ่านมา ในปี 52 และ 53 มีข่าวว่ามีต่างชาติเข้ามาทำ คราวนี้ก็มีข่าวว่า ต่างชาติเข้ามาอีก จากการดูวิธีการขว้างระเบิดต้องมีพื้นฐานพอสมควร อาร์จีดีที่นำมาใช้ก่อเหตุก็คงไปซื้อมาจากชายแดนทางภาคตะวันออก”
นั่นคือคำให้สัมภาษณ์ของ พล.ร.ต.วินัย กล่อมอินทร์ ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรือ (ผบ.นสร.) แห่งกองทัพเรือ อย่างตรงไปตรงมาหลังถูกรัฐบาลและคนเสื้อแดงบิดเบือนข้อเท็จอย่างหน้าด้านว่า หน่วยซีลภายใต้การบังคับบัญชามีส่วนเกี่ยวข้องกับการปาระเบิดม็อบ กปปส.ที่ถนนบรรทัดทองและอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ทั้งๆ ที่ความจริงมิได้เป็นเช่นนั้น
ประเด็นที่น่าสนใจของเรื่องนี้อยู่ตรงที่ว่า พล.ร.ต.วินัยได้กระชากหน้ากาก “มือระเบิดตัวจริง” อย่างไม่เกรงกลัว พร้อมระบุชัดเจนว่ามีการบิดเบือนข้อเท็จจริงโดยพยายามยัดเยียดข้อหาอันร้ายแรงนี้เพื่อให้หน่วยซีลเป็นแพะ
พล.ร.ต.วินัยระบุชัดเจนว่า ผู้มีอำนาจรัฐคือตัวการใหญ่ที่บิดเบือนข้อเท็จจริงผ่านสื่อ
พล.ร.ต.วินัยระบุชัดเจนว่า คนปาระเบิดเป็นคนกลุ่มเดียวกับชายชุดดำที่เคยเคยเคลื่อนไหวในปี 53
พล.ร.ต.วินัยระบุชัดเจนว่า มีการนำกองกำลังต่างชาติเข้ามาเพื่อก่อการครั้งนี้
และ พล.ร.ต.วินัยระบุชัดเจนว่า เจ้าหน้าที่รัฐอยู่เต็มไปหมด ทำไมทำเรื่องนี้ให้ปรากฏความจริงไม่ได้ ซึ่งเจ้าหน้าที่รัฐนั้นที่ว่านั้นจะเป็นใครเสียมิได้นอกจากผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ที่มีวันนี้เพราะพี่ให้
ปฏิกิริยาของ พล.ร.ต.วินัยถือเป็นปฏิกิริยาแรกที่ออกมาจากปากของ “ทหาร” และที่สำคัญคือเป็นสุดยอดของทหารที่ได้รับการยอมรับจากทุกเหล่าทัพ เพราะกว่าที่พวกเขาจะได้ประทับเครื่องหมายนักทำลายใต้น้ำจู่โจมหรือ “ฉลามเงินคู่เกลียวคลื่น” มิใช่เรื่องง่าย ต้องผ่านการฝึกที่หฤโหดยาวนาน 7-8 เดือน
และที่ต้องขีดเส้นใต้เอาไว้ก็คือ พล.ร.ต.วินัยมิใช่เป็นแค่ผู้บัญชาการหน่วยซีลที่มารับตำแหน่งเพราะบุญพาวาสนาส่ง หากแต่คือ “มนุษย์กบ” เพียงหนึ่งเดียวของไทยที่ผ่านหลังสูตรUNDER DEMO/SEAL INDOC,UNWTR DEMOL/SEAL TRNG จากสหรัฐอเมริกา
เมื่อ พล.ร.ต.วินัยเปิดหน้าท้าชนอย่างไม่เกรงกลัวเช่นนี้ถือว่ามีนัยสำคัญชนิดที่ไม่อาจกระพริบตาได้เลยทีเดียว เพราะนี่คือเสียงจากทหารเรือ ทหารที่ได้ชื่อว่าเก็บเนื้อเก็บตัวเงียบเชียบ และถ้าจะว่าไปแล้วก็เป็นทหารที่ผู้บังคับบัญชาสูงสุดในช่วงหลายปีที่ผ่านมามีสายสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับระบอบทักษิณยิ่ง
ไปที่เรื่องอื่นๆ กันบ้าง เริ่มจากนายมงคลนิมิตร เอื้อเชิดกุล (ที่ 4 จากซ้าย) กรรมการและผู้จัดการฝ่ายกิจกรรมองค์กรและรัฐกิจสัมพันธ์ บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) มอบเงินจำนวน 1,800,000 บาท (หนึ่งล้านแปดแสนบาทถ้วน) แก่ นายสาคร ชนะไพฑูรย์ (ที่ 2 จากซ้าย) รักษาการผู้อำนวยการ องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ เพื่อสนับสนุนการเสริมสร้างความรู้ทางวิทยาศาสตร์ผ่านสื่อที่ทันสมัยสำหรับนักเรียนและประชาชนทั่วไป และเป็นหนึ่งในกิจกรรมเนื่องในโอกาสครบรอบ 120 ปีของเอสโซ่ในประเทศไทย
ตามต่อด้วยกลุ่มธนาคารทิสโก้ นำโดย อรนุช อภิศักดิ์ศิริกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มทิสโก้, สุทัศน์ เรืองมานะมงคล กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) ร่วมมอบโล่รางวัลและทุนการศึกษารวมมูลค่ากว่า2 แสนบาท ให้แก่ทีมนักเรียนผู้ชนะกิจกรรมต่อยอดการเรียนรู้ ในโครงการให้ความรู้ด้านการเงินแก่เยาวชนระดับมัธยมปลาย“TISCO Fun-nancial Champion” โดยแข่งขันนำเสนอผลงานการเผยแพร่ความรู้ในการวางแผนการเงินแก่ผู้อื่น โดยผู้ชนะคือทีมจากโรงเรียนเทพศิรินทร์เชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ การแข่งขันจัดขึ้น ณ อาคารทิสโก้ทาวเวอร์ เมื่อเร็ว ๆ นี้
และปิดท้ายกับ ดร.อเล็กซานเดอร์ เพาฟเลอร์ อาจารย์สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจ ศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (Sasin) ร่วมกับคณาจารย์และนักศึกษา MBA จาก Chonnam National University ประเทศเกาหลี เดินทางไปทัศนศึกษาและเยี่ยมชมกิจกรรม ณ โรงงานของบริษัท ไทยซัมซุงอีเลคโทรนิคจำกัด ที่อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี มีนายคิซู ลี กรรมการผู้จัดการ บริษัทซัมซุงอีเลคโทรนิคจำกัด ให้การต้อนรับ
พบกันใหม่สัปดาห์หน้าครับ...
ลุงอ้วน
managerweekend@yahoo.com
คอลัมน์// หนังสือน่าอ่าน
ตั๋วจำนำ 29 ใบ
การต่อสู้ชีวิตเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ ทุกคนต่างเกิดมาเพื่อดิ้นรนยืนด้วยลำแข้งของตัวเองให้ได้ แล้วยังต้องประคองผู้อื่นเพื่อให้เขาได้รู้สึกว่าเราเป็นที่พึ่งพิงได้ยามที่ต้องเผชิญกับความยากลำบาก
ทุกสิ่งบนโลกใบนี้จึงเต็มไปด้วย “บททดสอบ” มากมาย แต่มันช่างคุ้มค่าที่อดทนรอคอยด้วยใจที่ตั้งมั่น และที่สำคัญต้องไม่ลืมบุญคุณผู้ที่มีพระคุณ หรือว่าจะเป็นความศรัทธาในการคิดดีทำดี แม้ว่าจะเจออุปสรรคใดๆ เข้ามาในชีวิต คลื่นลมนั้นก็สงบลงได้ในตอนท้าย
ตั๋วจำนำ 29 ใบ...หนังสือเล่มนี้ทำให้เราซาบซึ้งปรัชญาชีวิตดังที่กล่าวไว้ข้างต้น
ข้อคิดจากเบื้องหลังของตั๋วจำนำทั้ง 29 ใบล้วนเต็มไปด้วย “รอยบาก” ของชีวิต แต่แล้วก็กลับสวยงามในตอนหลังเหมือนดอกไม้ที่ผลิบานตามกาลเวลาที่เหมาะสม ซึ่งความสวยงามของชีวิตผู้คนที่อดทนต่อสู้นี้เอง ทำให้เกิดความรู้สึกประทับใจตลอดเวลาที่พลิกหน้าอ่านไปแต่ละเรื่องราว ได้เห็นชีวิตที่เต็มไปด้วยความดิ้นรนที่ไม่สิ้นหวังของผู้คนบนหน้ากระดาษ
และแม้ว่าสิ่งของที่แต่ละคนจะเอามาจำนำไว้ ไม่ว่าจะเป็นเงินมรดกที่อาม่าให้ไว้ที่หมดยุคสมัยจะได้ใช้แล้ว ปิ่นปักผมแม่สามีที่ผ่านร้อนผ่านหนาวกับบทบาทลูกสะใภ้ทรหด หรือว่าจะเป็นสมุดจดบันทึกของเด็กติดยาเสพติดที่ไม่เหลืออะไรในชีวิตอีกแล้ว นาฬิกาเรือนเก่าซอมซ่อที่มีความผูกพันกับคนแก่คนหนึ่งที่มีอาชีพขายขนมเปี๊ยะ ปากกาปาร์กเกอร์รุ่นเก่าของบุคคลที่เคยเป็นอาจารย์อันเคารพรักแก่ลูกศิษย์ ชายที่รวยล้นฟ้าที่ขอยืมเงินซื้อตั๋วเครื่องบินเพื่อกลับประเทศเมืองเกิดของตัวเอง ฯลฯ
หลายๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่บอกเล่าผ่านสิ่งของเหล่านั้น แทบจะเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อ หรือไม่น่าจะมีความเป็นไปได้ แต่มันก็เกิดขึ้นไปแล้ว อะไรก็ตามที่ยังมาไม่ถึง
ก็ใช่ว่าจะไม่มีอยู่จริง!
เหมือนดังเรื่องราวดีๆ เรื่องหนึ่งที่ผู้เขียนได้ให้คำคมเตือนสติตอนท้ายไว้ว่า
“บางครั้งการกระทำที่เราไม่ได้ตั้งใจอาจช่วยหล่อเลี้ยงชีวิตผู้อื่นให้ดำเนินต่อไปได้ ดังนั้น เราควรให้ความสำคัญแก่ทุกคนที่ได้พบเจอและวาสนาที่มีต่อกัน เพราะคุณไม่มีวันรู้หรอกว่า การกระทำของคุณจะส่งผลต่อชีวิตผู้อื่นอย่างไรบ้าง”
ทุกครั้งที่อ่านแต่ล่ะเรื่องจบ ก็จะได้ข้อคิดดีๆ เสมอ
นับว่าเป็นหนังสือที่คุ้มค่าแก่การซื้อหามาอ่านจริงๆ
แสงเพ็ง