ผ่าประเด็นร้อน
จะเป็นเพราะหาใครไม่ได้ถึงต้องไปคว้าตัว “เฉลิม อยู่บำรุง” กลับมามีบทบาทในการ “สั่งการ” ใช้กฎหมายพิเศษก็ว่าไปอย่าง แต่ถ้ามีเป้าหมายแบบ “ชั่วช้าอำมหิต” มีเจตนาเพื่อสร้างความ “ฉิบหาย” ในบ้านเมือง แล้วการตั้งเขามาทำหน้าที่ “พิเศษ” รับรองว่าถูกที่ถูกคนแล้ว
หลังจากที่รัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หุ่นเชิดของ ทักษิณ ชินวัตร กำลังดิ้นรนอย่างหนัก ล่าสุดได้ประกาศใช้ พ.ร.ก.บริหารราชการแผ่นดินในสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยเริ่มบังคับตั้งแต่วันที่ 23 มกราคมเป็นต้นไปเป็นเวลา 60 วัน เป็นพื้นที่เดิมที่ประกาศพื้นที่ควบคุมตามพระราชบัญญัติความมั่นคงฯนั่นแหละ แต่ที่ดูแล้วสนุกสนานก็คือคราวนี้มีการแต่งตั้งให้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นผู้อำนวยการศูนย์รักษาความสงบ (ศอส.) ปฏิบัติหน้าที่คู่ไปกับผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ขณะเดียวกันได้ลดบทบาทของ สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่เคยเป็นผู้อำนวยศูนย์รักษาความสงบ (ศอ.รส.) คราวนี้เป็นเพียงผู้กำกับดูแล ศอส.เท่านั้น ซึ่งก่อนหน้านี้ สุรพงษ์ ก็มานั่งแทนตำแหน่งของ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก หลังจากที่มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติความมั่นคงไปแล้วระยะหนึ่ง
เอาเป็นว่าการประกาศใช้ พระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินคราวนี้ มีการเรียกใช้บริการของ เฉลิม อยู่บำรุง กับตำรวจเป็นหลัก เพราะในคณะกรรมการที่ทำหน้าที่บริหารสถานการณ์กลับไม่มีระดับผู้นำเหล่าทัพเป็นกรรมการ มีเพียงตัวแทนเป็น “ไม้ประดับ” เท่านั้น ซึ่งถือว่าผิดสังเกตมาตั้งแต่ต้นแล้วว่าในการประชุมฝ่ายความมั่นคงของรัฐบาลก่อนหน้านั้น ที่มี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมกลับไม่มีผู้บัญชาการเหล่าทัพคนสำคัญ เช่น ผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และผู้บัญชาการทหารเรือ พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย เข้าร่วม โดยเฉพาะผู้บัญชาการทหารเรือไม่ได้ส่งตัวแทนเข้าร่วมประชุมเลย
ปรากฏการณ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้นถือว่าน่าจับตามอง เพราะนี่คือร่องรอย “ความผิดปกติ” ที่เห็นได้ชัดเจน โดยก่อนหน้านี้มีรายงานออกมาตรงกันว่าฝ่ายกองทัพไม่เห็นด้วยกับการประกาศใช้พระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน เพราะสถานการณ์ที่เป็นอยู่มัน “ไม่ได้ฉุกเฉิน” ยังเป็นการชุมนุมโดยสงบ และที่ผ่านมาศาลรัฐธรรมนูญก็วินิจฉัยชี้ออกมาแล้วว่า “เป็นการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ”
ในทางตรงกันข้าม มีแต่ฝ่ายรัฐบาลและพวกอันธพาลเสื้อแดงที่มาในหลายรูปแบบ รวมไปถึงชายชุดดำติดอาวุธเข้ามาก่อกวน ทั้งลอบยิง ลอบขว้างระเบิด จนมีคนเสียชีวิตและบาดเจ็บหลายสิบคนแล้ว
เป็นการสร้างสถานการณ์โดยฝ่ายรัฐบาลที่ใช้ตำรวจเป็นเครื่องมือ ซึ่งทุกคนก็มองออก และยิ่งตอกย้ำให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นไปอีก เมื่อผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรือ (หน่วยซีล) ของกองทัพเรือ พล.ร.ต.วินัย กล่อมอินทร์ ได้ระบุอย่างชัดเจนในทำนองว่า “ชายชุดดำ” ที่เข้ามาก่อเหตุนั้นเป็นคนกลุ่มเดียวกับที่เคยก่อเหตุเมื่อปี 53 ซึ่งถ้าขยายความก็คือก่อเหตุคู่ขนานไปกับการชุมนุมของคนเสื้อแดงในช่วงการก่อจลาจลเผาบ้านเผาเมืองนั่นแหละ
นอกจากนี้ยังมีข้อมูลที่น่าตกใจก็คือ ยังมีกองกำลังต่างชาติจากชายแดนด้านตะวันออกขึ้นรถตู้นับสิบคันเข้ามาก่อเหตุในกรุงเทพมหานคร ซึ่งความหมายจะเป็นอื่นไม่ได้ต้องเป็น “เขมร” เท่านั้น และยังชี้ให้เห็นว่า “ปฏิบัติการอุบาทว์” ดังกล่าวนี้ได้รับการสนับสนุนจากฝ่ายตำรวจอย่างดี
ในการให้สัมภาษณ์ของผู้บัญชาการหน่วยรบพิเศษของกองทัพเรือดังกล่าว ที่ออกมาในลักษณ์ที่ชัดเจนและแข็งกร้าวที่สุดว่าหากเป็นคำสั่งที่มิชอบ พวกเขาก็จะไม่ยอมรับคำสั่งอย่างเด็ดขาด เพราะเขาเป็นทหารของพระเจ้าอยู่หัว แน่นอนว่าท่าทีแบบนี้ การออกมาแบบนี้ของทหารย่อมต้องได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากผู้บัญชาการทหารเรือ และก็ชัดเจนเมื่อผู้บัญชาการทหารเรือ พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย ไม่เข้าร่วมประชุมฝ่ายความมั่นคง รวมทั้งไม่ยอมส่งตัวแทนเข้าร่วมประชุมอีกด้วย ก่อนที่รัฐบาลจะมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติบริหารราชการแผ่นดินในสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่ใช้กำลังตำรวจเป็นหน่วยงานหลักในเวลาต่อมา
ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากท่าทีของฝ่ายทหาร ที่ “ไม่เอาด้วย” ต่อการปราบปรามประชาชน เพราะไม่เกิดประโยชน์ และไม่ใช่เป็นการรักษาความสงบ ตรงกันข้าม มองว่านี่คือเจตนาสร้างสถานการณ์ให้เกิดความรุนแรง หรือมีเจตนา “เข่นฆ่า” ประชาชน รวมไปถึงบรรดาแกนนำฝ่ายต่อต้านรัฐบาล โดยเฉพาะ “กำนันสุเทพ เทือกสุบรรณ” เพราะเมื่อพิจารณาจากตัวบุคคลที่ “อาสา” เข้ามาทำงานนี้ไม่ว่าจะเป็น ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง และทีมตำรวจ ล้วนแล้วแต่ใช่เลย คนพวกนี้ “อยู่ที่ไหน ฉิบหายที่นั่น”
ขณะเดียวกันมีความหมายอีกอย่างหนึ่งก็คือ เข้าแก๊งไหน หัวหน้าตายหมด!!