ผ่าประเด็นร้อน
การด่วนสรุป ชิงแถลงฟันธงแบบชนิดที่เรียกว่า “ควันระเบิดไม่ทันจาง” ของบรรดา “ขี้ข้า” ระบอบทักษิณ ว่าเป็นฝีมือของผู้ชุมนุมเป็นการสร้างสถานการณ์ “โยนระเบิดใส่กันเอง” เป็นคำพูดที่ออกมาจากคนในรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็น สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่ถูกเชิดให้เป็นผู้อำนวยการศูนย์รักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) ว่าเหตุการรุนแรงทั้งที่ถนนบรรทัดทอง ที่การขว้างระเบิดใส่ผู้ชุมนุมเมื่อวันก่อนจนมีผู้เสียชีวิต 1 ศพ และบาดเจ็บหลายสิบคน รวมทั้งเหตุการณ์ลอบขว้างระเบิดที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เมื่อสามวันก่อนมีผู้บาดเจ็บอีกหลายสิบคน
ฝ่ายตำรวจไม่น่าเชื่อว่าจะ “เลวทรามต่ำช้า” ได้ถึงเพียงนี้ ที่กล่าวหาแบบนี้คงไม่ผิดความหมายนัก เพราะคดีที่ละเอียดอ่อน ต้องมีการสืบสวน สอบสวน ตรวจสอบหาพยานหลักฐานให้แน่ชัดและเป็นวิทยาศาสตร์ มีเหตุและผล แต่กลายเป็นว่าคนที่เป็นผู้นำขององค์กรที่ใช้ “กฎหมายพิเศษ”อย่าง พระราชบัญญัติความมั่นคงภายใน กลับพูดจา “พล่อยๆ” ไม่ต่างจากพวก “กุ๊ยข้างถนน” แบบไม่รับผิดชอบ มีเป้าหมายเพียงแค่ว่าต้องการใส่ร้ายทำลายความชอบธรรมของฝ่ายที่ออกมาชุมนุมต่อต้านรัฐบาลทรราชที่ตัวเองเป็นหนึ่งในขี้ข้ารับใช้ หรือมีเป้าหมายข่มขู่ให้ชาวบ้านหวาดกลัวความรุนแรงไม่กล้ามาชุมนุมเป็น “วิชามาร” ที่มักใช้กันแบบเคยชิน
อย่างไรก็ดี ด้วยบรรยากาศของการ “ตื่นรู้” ของมวลชนที่เกิดขึ้นพร้อมกันมากมายมหาศาลอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ทำให้ความพยายาม “ป้ายสี” ดังกล่าวล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ในทางตรงกันข้ามกลับกลายเป็นว่าพวกเขา “รู้ทันแผนชั่ว” ว่านี่คือการ “สร้างสถานการณ์” แบบ “สองชั้น” มีเป้าหมายสองทางของ “ฝ่ายระบอบทักษิณ” นั่นคือ
1. เพื่อให้เกิดความกลัว ข่มขู่มวลชนโดยเฉพาะคนกรุงเทพฯ ไม่ให้เข้าร่วมการชุมนุม ทำให้จำนวนลดน้อยลง 2. เมื่อทำให้เกิดความรุนแรงแล้ว กลายเป็นว่า “ไม่ใช่การชุมนุมโดยสงบ” เป็นเงื่อนไขให้ “ประกาศภาวะฉุกเฉิน” นั่นคือการออกพระราชกำหนดในสถานการณ์ฉุกเฉินมาบังคับใช้ สามารถดึงทหารมาปราบปรามประชาชนได้ แถวถอนกำลังตำรวจออกมาตั้งแถว “กระหนาบ” อยู่วงนอก แต่ถึงอย่างไรทางฝ่ายกองทัพก็ยังไม่ยอมตกเป็นเครื่องมือ เพราะ “ไม่มีประโยชน์อะไร” อีกทั้งยังเห็นว่าเป็นการ “ชุมนุมโดยสงบ” พร้อมทั้งเตือนให้รัฐบาลและตำรวจเร่งสกัดอาวุธและวัตถุระเบิดที่ถูกระดมเข้ามาก่อความรุนแรงในที่ชุมนุมกลางเมืองหลวง ความหมายก็คือจี้ให้ตำรวจเร่งจัดการกับตัวป่วน ซึ่งก็หมายถึง “ฝ่ายรัฐบาล” นั่นแหละ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ที่สามารถบันทึกภาพคนร้ายขณะลงมือก่อเกตุขว้างระเบิด เห็นใบหน้าอย่างชัดเจน ต่อมามีการเผยแพร่ภาพดังกล่าวในโลกออนไลน์กันอย่างกว้างขวาง มีการเปรียบเทียบใบหน้ากันให้เห็นว่า “เหมือน” กับภาพของ “คนสนิท” ของ “เสธ.แดง-พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล” “ทหารแตงโม” ของ ทักษิณ ชินวัตร สังคมก็รุมประณามอย่างหนัก สร้างความเดือดร้อนให้กับรัฐบาล เพราะนี่เปรียบเสมือน “ใบเสร็จ” ว่าใครสร้างสถานการณ์ก่อความรุนแรง
แม้ว่าล่าสุดคนที่ใบหน้าเหมือนคนสนิท เสธ.แดง จะ “ส่งทนายความ” ออกมาปฏิเสธว่าไม่ใช่ตัวเขา และเตรียมดำเนินคดีกับสื่อที่เผยแพร่ภาพดังกล่าว อย่างไรก็ดี ที่น่าสังเกตก็คือ ทำไมเขาไม่ออกมาแถลงข่าวหรือเข้าพบพนักงานสอบสวนด้วยตัวเอง มีการซุ่มซ่อนตัวอยู่ที่ไหน
หรือแม้แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสถานที่ชุมนุมตามเวทีต่างๆ ก็เกิดเหตุร้ายทำนองเดียวกัน เรียกว่าเป็นรายวัน มีทั้งจับได้บ้างไม่ได้บ้าง และทุกครั้งก็ล้วนเป็นคนในสังกัด “กุ๊ยฝ่ายรัฐบาล” ที่มาลอบกัดอยู่ตลอดเวลา นี่คือการพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า “ฝ่ายรัฐบาลต่างหากที่ใช้ความรุนแรง” เพื่อสร้างสถานการณ์
อย่างไรก็ดี นี่คือ “ความล้มเหลว” ของรัฐบาลระบอบทักษิณ ที่ไม่อาจชี้นำให้มวลชนไขว้เขวไปอีกทางหนึ่งได้ ตรงกันข้ามนอกจากไม่มีความกลัวแล้ว ยังออกมาร่วมชุมนุมมากขึ้น มีแนวร่วมมากขึ้น มีคนจากหลากหลายอาชีพแสดงตัวออกมาต่อต้านมากขึ้น ที่เห็นทรงพลังมากที่สุดอยู่ในตอนนี้ก็คือ บุคลากรในกระทรวงสาธารณสุข ที่รวมพลังกันทั่วประเทศแสดงออกอย่างชัดเจนว่า ไม่เอา “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” และจะต่อต้านจนถึงที่สุด
การออกมาเดินขบวนของ “แพทย์พยาบาล” ทั่วประเทศที่อโศก เมื่อวันจันทร์ที่ 20 มกราคมที่ผ่านมา ถือว่าได้สร้างความสั่นสะเทือนให้กับรัฐบาลอย่างสูง เพราะคนกลุ่มนี้ถือว่าเป็นบุคลากรที่มีความรู้ มีความน่าเชื่อถือจากสังคมมากที่สุด ไม่ได้เป็นเครื่องมือทางการเมือง แต่เคลื่อนไหวด้วยความถูกต้อง ที่สำคัญคนพวกนี้ “จ้างไม่ได้” และการออกมาแบบนี้จะทำให้เป็นตัวอย่างให้ข้าราชการอื่นๆ ออกมาบ้าง
นี่จึงเป็นปรากฏการณ์ที่ชี้ให้เห็นว่า “แผนชั่ว” ในการสร้างสถานการณ์ให้เกิดความกลัว ไม่กล้าเข้าร่วมชุมนุมต่อต้าน ขณะเดียวกันยังเตรียมการสำหรับประกาศภาวะฉุกเฉินใช้ทหารมาปราบปราม แต่เมื่อไม่ได้ผลชาวบ้านรู้ทัน ทหารก็ยังไม่อยากเปลืองตัวได้ไม่คุ้มเสียจึงไม่มีใครเล่นด้วย แม้กระทั่งชาวนาที่เจ็บปวดจากโครงการจำนำข้าวก็ต้อง “วางเฉย” ไม่สนุกเหมือนเก่า ทำให้รัฐบาลทรราชแก๊งนี้ยังต้องใช้บริการของ “ตำรวจ”และแก๊งอันธพาลก่อเหตุต่อไป แต่นั่นมันก็ยิ่งสร้างความเกลียดชัง ยั่งยุให้คนออกมามากขึ้นเรื่อยๆ
สภาพของรัฐบาล และตัวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เวลานี้จึงมีค่าไม่ต่างจากศูนย์เข้าไปทุกทีแล้ว!!