เกาะกระแส
00 แม้ว่าเส้นทางข้างหน้าในการรักษาอำนาจของ ทักษิณ ชินวัตร หรือที่เรียกว่า "ระบอบทักษิณ" ผ่านพิธีกรรม "ประชาธิปไตย" ด้วยการดึงดันให้มีการเลือกตั้งวันที่ 2 ก.พ.ให้ได้ แต่เมื่อประเมินสถานการณ์ตามความเป็นจริง รับรองว่าไม่มีทางเดินไปถึงเป้าหมายดังกล่าวแน่นอน หากวัดจากปฏิกิริยาต่อต้านของ "มวลมหาประชาชน" ที่ยังต่อต้านกันแบบ "คงเส้นคงวา" กันอยู่ในขณะนี้ ขณะเดียวกันเมื่อพิจารณากันในเรื่องกฎเกณฑ์ทาง กม.ทั้งในเรื่องจำนวนส.ส.ต้องถึงร้อยละ 95 ยิ่งไม่มีทางเป็นไปได้เลย โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้ ที่กระแสต่อต้านสูงมาก มีความตื่นตัวของประชาชนสูงมาก และเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ จนบีบให้ข้าราชการต้อง "หยุดทำงาน"ไปโดยปริยาย เพราะบรรดาข้าราชการเหล่านั้น ส่วนใหญ่ก็เป็นคนในท้องถิ่น เป็นลูกหลานของชาวบ้านทำให้เกิดกระแสคล้อยตามไปในทางเดียวกัน
00 ดังนั้น เมื่อสรุปรวมแล้วเส้นทางที่มุ่งไปสู่พิธีกรรมเลือกตั้งที่ระบอบทักษิณ โดย ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ยังกัดฟัน "ด้าน"ไปให้ถึง มันก็ไม่มีทางสำเร็จ แม้ว่าจะใช้เครือข่าย "ตำรวจขี้ข้า" ระดมกำลังเข้ามา "กอดคอ" ร่วมกันหนุนเต็มพิกัดแค่ไหนก็ตาม แต่เมื่อกระแส "ไม่เอา" ของมวลชนพุ่งสูงขึ้นทุกวัน โดยเฉพาะคนเมือง คนทำงานรุ่นใหม่ ต่างหันหลังให้ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และคนในตระกูลนี้ มันก็ไม่มีทาง"ลากตั้ง" ได้สำเร็จ ไม่เชื่อก็คอยดูเถิดว่า แม้แต่การ"เลือกตั้งล่วงหน้า" วันที่ 26 ม.ค. ก็จะเริ่มป่วน ขณะเดียวกันจากการ"ยกระดับขับไล่" มีการประกาศ"ปิดสถานที่ราชการในภาคใต้" และอีกหลายจังหวัดเริ่มดีเดย์ตั้งแต่วันทร์ที่ 20 ม.ค. มันก็เริ่มเครียด และกระแสต้านในภาคใต้ และในเขตเมืองในหลายจังหวัด มันจะยิ่งลดทนพลังของระบอบทักษิณลงเรื่อยๆ
00 ที่น่าจับตาก็คือ ในพื้นที่ภาคเหนือกับภาคอีสาน ในเวลานี้ได้เกิดปรากฏการณ์ต่อต้านรัฐบาล อย่างที่ไม่เคยมีให้เห็นมาก่อนเลย และเชื่อว่านับจากนี้ไป กระแสดังกล่าวจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ อันเนื่องมาจากการโครงการ "จำนำข้าว" ที่กำลังจะมีการเคลื่อนไหวของชาวนากันครั้งใหญ่ และแม้ว่าในที่สุดแล้วรัฐบาลจะสามารถ "กู้เงิน" อีก 1.3 แสนล้านบาทมาโปะได้หมด แต่ถามว่าจากนี่ไปล่ะ จะกล้านำโครงการนี้มาหาเสียงอีกหรือเปล่า ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งลองถามชาวนาสิว่า ยังมั่นใจกล้าเอาข้าวไปจำนำกับรัฐอีกหรือเปล่า
00 นี่แหละถึงได้บอกว่า ในที่สุดแล้วนโยบาย "ประชานิยม" มันกำลังทำลายระบอบทักษิณ ให้หมดหนทางหากิน ประจานถึงความล้มเหลวด้วยตัวของมันเอง เพียงแต่ต้องใช้เวลาเท่านั้นเอง มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับจัหวะและความตื่นรู้ของชาวบ้าน สำหรับประเทศไทยที่รัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ใช้เวลาเพียงแค่สองปีเศษเท่านั้น ก็พังครืนลงมา ประกอบกับได้เห็นสภาพ "ผู้นำโง่" มันก็ยิ่งซ้ำเติม และจะกลายเป็นประเทศแรกที่นายกฯของไทยถูกชาวบ้าน "กล่าวหาว่าโง่" ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เพราะมันเจ็บปวดพอๆ หรืออาจมากกว่าคำว่า "ทรราช" เสียอีก !!
00 เหตุการณ์คนร้ายลอบโยนระเบิดที่ถนนบรรทัดทอง ใส่หัวขบวนของ"กำนัน" สุเทพ เทือกสุบรรณ ที่ทำให้ "ประคอง ชูจันทร์" จากนบพิตำ จ.นครศรีฯ เสียชีวิต รวมทั้งคนอื่นได้รับบาดเจ็บกว่าสามสิบรายได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ทำให้ ยิ่งลักษณ์ กลายเป็นผู้นำ"ทรราชมือเปื้อนเลือด" ได้เต็มขั้น แม้ว่ายังต้องสอบสวนกันตามกระบวนการ แต่นาทีนี้ความรู้สึกไม่ไว้วางใจ ความเกลียดชัง กำลังมุ่งไปสู่ "ตำรวจ" เป็นจุดเดียว
00 หลักฐานชิ้นหนึ่งในตึกร้างหลังจากที่ การ์ดของ กปปส. และทหารเข้าไปตรวจสอบก็คือ "หมวกสีเหลืองอมส้ม" ที่ปักอักษรว่า "หน่วยจู่โจม" ของตำรวจปฏิบัติการพิเศษในจังหวัดชายแดนใต้ จนมีการสืบค้นได้ว่า เคยมีการฝึกทบทวนยุทธวิธีที่นราธิวาส แม้ว่าต่อมาทาง ผบก.นราธิวาสออกมาปฏิเสธแล้วก็ตาม แต่ความหมายก็คือ ถ้าพูดตำรวจที่ปฏิบัติอยู่ในชายแดนใต้ และทำเรื่อง "ฉาวโฉ่" จนเป็นปัญหามาจนถึงบัดนี้ ทุกสายตาก็ต้องมองแบบตั้งคำถามไปที่ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง และ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ที่เคยทำงานที่นั่นมานาน ตั้งแต่ยุค ทักษิณ ชินวัตร ที่ในเวลานั้นเกิดเหตุการณ์"อุ้มฆ่า" จนเป็นชนวนแผ่นดิน "ลุกเป็นไฟ" ถึงวันนี้ อ้อเกือบลืมไป ถ้าจะถามเพราะยังงงไม่หายว่า เวลานี้ใครกันแน่ที่เป็น ผบ.ตร.ระหว่าง คำรณวิทย์ กับ อดุลย์ !!
