มีการกล่าวกันว่า ไปเที่ยวเมืองตรัง หากยังไม่ได้ลองรับประทาน “ขนมเปี๊ยะ ซอย 9” ถือว่ายังไปไม่ถึง เพราะถือเป็นอีกผลิตภัณฑ์ขึ้นชื่อที่เกิดขึ้นจากการผสมผสานสูตร ขนมเปี๊ยะ ต้นตำรับจากฮ่องกง และตกทอดมาจนถึงรุ่นปัจจุบัน ทำให้กลายเป็นที่รู้จักของลูกค้าทั้งในจังหวัด รวมทั้งต่างจังหวัด และต่างประเทศ อย่างเช่น มาเลเซีย และสิงคโปร์ ภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว
ย้อนหลังไปเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว “เอมอร เอี่ยมศรี” ได้เริ่มจากการเป็นลูกจ้างทำขนม กระทั่งเปิดร้าน และคิดค้นสูตรขึ้นมาเอง จนเป็นที่ยอมรับของลูกค้าจำนวนมาก ปัจจุบันมีทั้งหมด 7 ไส้ คือ ไส้เผือกหอมไข่เค็ม ไส้ทุเรียนไข่เค็ม ไส้ถั่วแดงไข่เค็ม ไส้พุทราจีนไข่เค็ม ไส้ชาเขียวไข่เค็ม ไส้เม็ดบัว และไส้งาดำ โดยขนมที่ผลิตจะมีออเดอร์มาจากจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ขอนแก่น กทม. อยุธยา เพชรบูรณ์ ชลบุรี หาดใหญ่ สงขลา นครศรีธรรมราช และภูเก็ต
ปัจจุบัน ตลาด “ขนมเปี๊ยะ ซอย 9” มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะมีคู่แข่งมาก แต่ความนิยมในการบริโภคก็ไม่ได้ลดลงแต่อย่างใด ซึ่งส่วนหนึ่งอาจมาจากรสชาติที่อร่อยกลมกล่อม และมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ไม่เหมือนใคร จึงเป็นจุดขายที่ทำให้เธอ และครอบครัวสามารถยืนหยัดอยู่ได้จนทุกวันนี้
อย่างไรก็ตาม หากจะขยายกิจการเพิ่มนอกเหนือจากนี้ “เอมอร เอี่ยมศรี” บอกว่า คงทำไม่ไหวแล้ว เพราะแต่ละวันแรงงานที่มีอยู่ 10 กว่าคนนั้น มีกำลังสามารถผลิต ขนมเปี๊ยะ ได้เพียงแค่วันละ 500-1,000 ลูกเท่านั้น เนื่องจากแต่ละลูกที่ได้มาจะต้องผ่านขั้นตอน และกรรมวิธีที่ยุ่งยากสลับซับซ้อน ไม่เหมือนกับการทำขนมชนิดอื่น ทั้งนี้ ก็เพื่อให้มีคุณภาพดีที่สุด
ในขณะที่ความต้องการของลูกค้ามีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนไม่เพียงพอต่อความต้องการ ซึ่งบางครั้งก็มีเสียงบ่นอยู่บ้าง แต่เธอก็ไม่รู้จะแก้ปัญหาอย่างไร ครั้นจะให้ขยายตลาดเพิ่มก็คงจะไม่ได้ เพราะกลัวว่าขนมที่ผลิตออกมามากเกินไปจะทำให้คุณภาพลดลง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงได้ ดังนั้น ลูกค้าที่จะสั่งซื้อในปริมาณมากก็ต้องทำใจ เพราะตนต้องเฉลี่ยให้แก่รายอื่นๆ ด้วย เพื่อให้เกิดความทั่วถึงกัน
สำหรับการผลิต “ขนมเปี๊ยะ ซอย 9” นั้น เริ่มต้นด้วยการนำแป้งสาลีมาผสมกับน้ำสะอาด แล้วรีดเป็นแผ่นด้วยไม้ หรือเครื่องจักร ก่อนที่จะนำมาม้วนเป็นเส้นยาวๆ แล้วตัดเป็นก้อนขนาดเท่ากับขนม จากนั้น เปิดเป็นแผ่นเพื่อใส่ไส้ และไข่เค็ม ก่อนนำไปชุบงาแล้วปั้นเป็นก้อนกลมๆ จากนั้น นำไปทอดในกระทะด้วยน้ำมันพืชด้วยความร้อนสูง นานประมาณ 5-10 นาที เพื่อให้เปลือกนอกขนมกรอบอร่อย แต่ภายในยังมีไส้อ่อนนิ่ม น่ารับประทาน ซึ่งถือเป็นกรรมวิธีที่แปลกไปจากขนมเปี๊ยะที่อื่นซึ่งจะนิยมใช้การอบ
จากนั้นจะนำไปบรรจุใส่กล่องที่มีสีสันสวยงาม เพื่อส่งไปยังลูกค้าที่สั่งซื้อมาจากทั่วประเทศด้วยทางเครื่องบิน เพื่อให้ทันอกทันใจต่อการบริโภค และการเก็บรักษาขนมเปี๊ยะ ซึ่งหากอยู่ในอุณหภูมิธรรมชาติ จะเก็บได้แค่ 3 วัน แต่หากนำไปไว้ในตู้เย็น จะเก็บได้นานถึง 2 สัปดาห์ ดังนั้น เพื่อให้ลูกค้าสามารถรับประทานขนมขึ้นชื่อชนิดนี้ได้อย่างสะดวกมากยิ่งขึ้น “เอมอร เอี่ยมศรี” จึงได้ไปเปิดสาขาเพิ่มที่กรุงเทพฯ เพื่อผลิต และจำหน่ายขนมรสชาติต้นตำรับด้วยตัวเอง ผู้สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร.0-7522-2734, 08-9474-6892
ภาพ/เรื่อง - เมธี เมืองแก้ว