xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

กลยุทธ์ปราบ“ปูอำมหิต” ถีบลงจากเก้าอี้ก่อนรุกปฏิรูปฯ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

แกนนำเสื้อแดง ปราศรัยที่ราชมังคลากีฬาสถาน , นักศึกษารามถูกยิงตาย หรือบาดเจ็บ
ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-หลังสงครามแห่งเสียงปืน แก๊สน้ำตา และสารพิษ หยุดพักลงชั่วคราว อันเนื่องจากพระบารมีขององค์พ่อหลวงที่ทรงครองหัวใจชาวไทยทั้งแผ่นดิน ทำให้รัฐบาลไม่กล้าที่จะใช้ความรุนแรงกับประชาชน ที่พกเอาหัวใจถึงๆ แห่งความรักชาติไปพร้อมกับรองเท้าผ้าใบ เดินอารยะ หรือที่เรียกว่า “ทฤษฎีส้นตีนแห่งชาติ”ของ ดร.สามสี ไตรรงค์ สุวรรณคีรี ไปบุกสถานที่ราชการได้ทุกที่ โดยไม่พรั่นพรึงต่อภยันตราย ที่รัฐบาลพร้อมประเคนให้

ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ฝ่ายประชาชนควรจะได้ทบทวนสถานการณ์ทั้งหมด เพื่อกำหนดยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนที่ทรงพลังนำไปสู่การปฏิรูปประเทศได้อย่างมั่นคง

พัฒนาการทางการเมืองที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่การลุกขึ้นแสดงตนของประชาชนเรือนล้าน ในวันที่ 24 พ.ย.ที่ผ่านมา มาจนถึงการเดินอารยะรุกไล่ไปถึงการยึดสถานที่ราชการ จนเกิดคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือ กปปส. มี กำนันสุเทพ เทือกสุบรรณ นั่งเลขาธิการนั้น มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายที่ต้องคำนึงถึง เพื่อให้ทุกก้าวที่เดินต่อต้องไปพร้อมกับความรับผิดชอบต่อทุกสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน

ภายในสองสัปดาห์ของการเคลื่อนไหวอย่างเข้มข้น สถานการณ์ที่สร้างความสะเทือนใจให้กับประชาชนมากที่สุด คือ เหตุการณ์หน้ามหาวิทยาลัยรามคำแหงที่ ผศ.วุฒิศักดิ์ ลาภเจริญทรัพย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง ประณามตำรวจที่ไม่ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ปล่อยให้นักศึกษาถูกล้อมกรอบอยู่ภายในมหาวิทยาลัย พร้อมกับห่ากระสุนจากมัจจุราชสไนเปอร์ ที่สาดซัดเข้าใส่ในช่วงค่ำของ วันที่ 30 พ.ย. จนถึงย่ำรุ่ง ของวันที่ 1 ธ.ค.56 เป็นเหตุให้มีนักศึกษาเสียชีวิต 3 ราย บาดเจ็บ 60 คน

ที่เลวร้ายกว่านั้นคือ นอกจากรัฐบาลจะอำมหิตไม่ดูดำดูดีใดๆ กับความสูญเสียดังกล่าวแล้ว รัฐมนตรีในรัฐบาลนี้ยังเป็นผู้จุดชนวนให้เกิดความรุนแรง พร้อมกับคำสั่งฆ่าผ่านเวทีของคนเสื้อแดงที่ราชมังคลาฯ ด้วย

ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.พาณิชย์ และแกนนำคนเสื้อแดง ปราศรัยในตอนหนึ่งของคืนวันที่ 30 พ.ย. ก่อนจะมีการลั่นไกใส่ นศ.ราม ว่า "เราไม่มีทางเลือกพี่น้องครับ ก็ต้องรวบรวมเอาชายฉกรรจ์ผู้หาญกล้า เป็นอาสาสมัคร ในการเผชิญเหตุที่บริเวณหน้าประตูของราชมังคลากีฬาสถาน ทุก ๆ จุดขณะนี้ แล้วคนเสื้อแดงเนี่ย รักสงบ รักสันติ ไม่เกะกะระรานใคร แต่บทจะสู้ ไม่กลัวใครและไม่กลัวตายก็แล้วกัน พี่น้องเราออกไปทุกด่านขณะนี้ ล่าถอดออกจากด่านไปแล้วพี่น้องครับ

ผมอยากจะบอกชายฉกรรจ์กลุ่มนั้นว่า ถอยกลับไปเถอะ มาทางไหนก็ไปทางนั้น อย่าได้มีเวรมีกรรมซึ่งกันและกันเลย ตอนมาคุณเดินมา ผมยังดีใจที่ตอนกลับคุณวิ่งกลับไป ผมไม่อยากให้คุณนอนกลับ ผมยืนยันได้ "

เป็นการปลุกเร้าให้ฝ่ายตัวเองใช้ความรุนแรงกับฝ่ายตรงกันข้ามที่ชัดเจนไม่แตกต่างจากวาทะของ จตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำเสื้อแดงที่ออกมาสั่งการให้ เลิศ ไม้เก่า จัดการกับน้องรามคำแหง

“พี่เลิศ ไม้เก่า ฝากไปดูแลด้วย พี่น้องที่รักทั้งหลาย แต่พี่น้องที่ชุมนุม ณ ที่นี้อย่าไหวหวั่นอะไรทั้งสิ้น เพราะพี่น้องที่อยู่รอบนอกในขณะนี้มากกว่าข้างใน เต็มไปหมดไม่มีแม้แต่ที่เดิน ด้วยความสัตย์จริง ผมไม่ได้กลัวเขาจะบุกมา แต่กลัวเขาบุกมาแล้วหาเรื่องตายเอง ช่วยไม่ได้จริง ๆ”

ขณะที่จาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ ก็ร่วมขึ้นเวทีปลุกเร้าคนเสื้อแดง เพื่อรักษาอำนาจให้กับรัฐบาล โดยไม่แยแสต่อความปลอดภัยของนักศึกษารามคำแหง ที่อยู่ในขั้นวิกฤต จากการคุกคามของคนเสื้อแดง และการสาดกระสุนซึ่งทั้งสังคมล้วนเชื่อว่าเป็นฝีมือของ “สีกากีขี้ข้า” ที่รับใช้รัฐตำรวจของรัฐบาลยิ่งลักษณ์อยู่ในขณะนี้

โศกนาฏกรรมจากการนองเลือดที่หน้ารามคำแหง จึงเป็นเรื่องที่ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้

เช่นเดียวกับการปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจกับประชาชนที่พยายามจะทำลายกำแพงแห่งเสรีภาพ ที่รัฐบาลใช้กฎหมายมาปิดกั้นการแสดงออกของประชาชนที่บริเวณทำเนียบรัฐบาล และกองบัญชาการตำรวจนครบาล ซึ่งไม่เพียงแต่มีการยิงแก๊สน้ำตาใส่ประชาชนจนหมดคลังภายในสองวันเท่านั้น แต่ยังมีการใช้กระสุนยางพ่วงกระสุนจริง จนมีผู้ได้รับบาดเจ็บถึง 98 ราย โดยในจำนวนนั้นมีนักข่าวแนวหน้า และช่างภาพเดลินิวส์รวมอยู่ด้วย

แต่รัฐบาลกลับไม่แสดงความรับผิดชอบใดๆ ต่อการปราบปรามประชาชนโดยไม่เป็นไปตามหลักสากลในการใช้กำลัง ตรงกันข้าม ยิ่งลักษณ์ ยังแสดงออกอย่างชัดแจ้ง สนับสนุนให้ตำรวจใช้ความรุนแรงกับประชาชน ด้วยการตบรางวัลให้กับตำรวจใน 5 จุด รอบทำเนียบรัฐบาล และกองบัญชาการตำรวจนครบาล

ด้วยการมอบเงินสดๆ จำนวน 5 ล้านบาทผ่าน คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง มาฟาดหัวสีกากีขี้ข้าหลังม่านหมอกแห่งแก๊สน้ำตา กระสุนยางและกระสุนจริง ที่ระดมยิงใส่ประชาชน โดยยิ่งลักษณ์ไม่เคยแสดงความเสียใจต่อการตายของนักศึกษารามคำแหง และการเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่แม้แต่ครั้งเดียว

ที่สำคัญคือ ไม่มีความชัดเจนถึงที่มาที่ไปของเงินสด 5 ล้านบาท ว่าเป็นเงินส่วนตัวของนางสาวยิ่งลักษณ์ หรือเป็นเงินแผ่นดินจากภาษีของประชาชนที่ถูกนางสาวยิ่งลักษณ์ แอบอ้างไปใช้ประโยชน์ในการทำร้ายประชาชนที่เป็นเจ้าของเงินดังกล่าว

สิ่งที่เกิดขึ้นสะท้อนถึงความอำมหิตผิดมนุษย์ของ ยิ่งลักษณ์ และคนในตระกูลชินวัตร ที่ไม่เห็นคุณค่าชีวิตของคนไทย คิดถึงแต่การรักษาไว้ซึ่งอำนาจ เพื่อนำไปใช้ในการกอบโกยแสวงหาผลประโยชน์ให้กับครอบครัว และพวกพ้องเท่านั้น

หลังวันที่ 5 ธันวาคม เป็นต้นไป จึงเป็นศึกหนักที่ สุเทพ และแกนนำ กปปส. ต้องประเมินสถานการณ์ให้ดีว่า ยุทธศาสตร์เดินหน้าฆ่ามัน ที่เอาประชาชนมือเปล่าไปให้ตำรวจยิงแก๊สน้ำตาใส่นั้น ยังควรจะดำเนินการต่อไป หรือว่าจะปรับยุทธศาสตร์ใหม่ เพื่อลดความเสี่ยงของประชาชน แต่ทิ่มแทงให้รัฐบาลซวนเซจนยืนไม่ได้ให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดเสียก่อน ไม่ใช่มุ่งแต่ก้าวกระโดดไปถึงการล้มระบอบทักษิณ ที่จะนำไปสู่การปฏิรูปประเทศเพียงอย่างเดียว

เพราะก้าวแรกยังไม่สำเร็จ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ยังคงอยู่ในอำนาจ และพร้อมที่จะทำทุกวิถีทางเพื่อต่อลมหายใจสุดท้ายให้กับอำนาจอธรรมของตัวเอง ในขณะที่มีความสูญเสียเกิดขึ้นกับประชาชนแล้ว จะดูแลครอบครัวผู้เสียชีวิต คนที่ได้รับบาดเจ็บ และผู้ที่ถูกจับกุมไปแล้วอย่างไร

เรื่องนี้แกนนำ กปปส. จะละเลยไม่ได้ อย่าหลงลืมหรือทอดทิ้งให้เพื่อนผู้รักชาติต้องเผชิญชะตากรรมอันโหดร้ายอย่างเดียวดายอยู่ข้างหลังโดยเด็ดขาด

ศึกนี้ยังรบอีกนาน จะใช้แค่ยุทธวิธีเดียวกับการยึดสถานที่ราชการเหมือนที่ทำอยู่ในขณะนี้ไม่ได้ แต่ต้องรู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาว แบบอยู่นิ่ง ๆ ก็รุกได้ ด้วยการประจานความเลวระยำของรัฐบาล เพื่อตอกย้ำให้ยิ่งลักษณ์ผู้ไร้ยางอายต้องพ้นจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรีก่อนเป็นอันดับแรก หากยังทำตรงนี้ไม่สำเร็จ ก็อย่าหวังที่จะก้าวไปถึงการปฏิรูปประเทศ

ที่สำคัญระหว่างทางต่อจากนี้ อย่าได้คิดเอาชีวิตประชาชนไปเสี่ยงกับรัฐบาลทรราชโดยไม่จำเป็นอย่างเด็ดขาด เพราะสุดท้ายนอกจากจะปฏิรูปประเทศไม่สำเร็จแล้ว ยังจะกลายเป็นการสร้างความขัดแย้งไม่รู้จบ จนเข้าทางฝ่ายทรราช ที่อาจจะพลิกแผนเข้าครอบครองประเทศอย่างเบ็ดเสร็จแทน



กำลังโหลดความคิดเห็น