รายงานการเมือง
การต่อสู้ของกลุ่มประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) ภายใต้การนำของ “กำนันสุเทพ เทือกสุบรรณ” เดินทางมาสู่โค้งสุดท้ายแล้ว เมื่อประกาศ “เผด็จศึก” ให้จบภายในวันจันทร์ที่ “9 ธ.ค.” ภายหลังต่อสู้ยืดเยื้อมายาวนานกว่าหนึ่งเดือนเป็นการประกาศกร้าวสู้แบบถวายหัวที่ต้องรู้ผลแพ้-ชนะ ในวันเดียว โดยไม่มีการหามุกใหม่ๆ เพื่อลากเกมยาวอีกต่อไป เหมือนกับครั้งก่อนๆ
ปฏิบัติการระดมพลตีขนาบรอบรั้ว “ทำเนียบรัฐบาล” หนนี้ จึงดูมีความหมายกว่าครั้งก่อนๆ ที่ผ่านมา เพราะหาก “มวลมหาประชาชน” ออกมาเพียงหยิบมือ นั่นเท่ากับว่า “กำนันเทือก” และพวกกำลังถูกบีบให้เดินเข้าซังเตทางอ้อม และจะเริ่มนับหนึ่งกับการเป็นฝ่ายถูกรุกไล่จาก “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” บ้างที่สำคัญ ยิ่งจะทำให้ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” มีความชอบธรรมที่จะบริหารประเทศต่อ!!
แต่หาก “กำนันเทือก” สามารถปลุกพลังประชาชนให้ออกมาได้มากหรือมากกว่าปรากฏการณ์ “มวลมหาประชาชน” ที่ถนนราชดำเนิน เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ปฏิบัติการ “ทวงคืนอำนาจ” จาก “รัฐบาลทรราช” ก็มีสิทธิ์ที่จะถึงฝั่งฝันในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งถือเป็นการกำหนดชะตาครั้งสำคัญของ“ประเทศไทย” รวมถึง “กำนันเทือก” ด้วยว่า หลังจากนี้จะดีจะร้ายลงเอยอย่างไร
ดังนั้น นับตั้งแต่บัดนี้จนถึงเวลา 09.39 น.ของเช้าวันจันทร์ ทุกๆ นาที ทุกๆ ปฏิบัติการ ไม่ว่าจะเป็นทั้งของฝ่าย “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” และ “กำนันเทือก” จึงมีความหมายทั้งสิ้นแน่นอนในเบื้องต้น “รัฐบาลยิ่งลักษณ์”ประเมินว่า หลังจากการพักรบในช่วง 2 วันที่ผ่านมา ทำให้กองกำลังของ “กปปส.” ไม่แข็งแกร่งและทรงพลังเหมือนเดิม ด้วยเพราะบรรยากาศความปลื้มปิติของประชาชนหลังวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคมที่ผ่านมา ทำให้ตอนนี้ไม่เอื้ออำนวยให้แบบเดิมได้อีก
ไม่ว่าจะเป็นสังคมโดยรวมที่อยากเห็นการเจรจาระหว่างทั้งสองฝ่ายเกิดขึ้นมากกว่าห้ำหั่นกัน หรือการที่ “กำนันเทือก” ประกาศเผด็จศึกบ่อยๆ ทำให้มวลชนที่จะตัดสินใจเข้าร่วมลังเลและโดยเฉพาะ เป้าหมายที่ “กปปส.” กำลังจะไปถึงอย่าง “สภาประชาชน” หรือ “นายกฯ ม.7” ที่องคาพยพของรัฐบาลนำไปขยายผลดิสเครดิตม็อบเล่นนั้น ฝ่ายกุมอำนาจมองว่า ประชาชนยังเข้าไม่ถึง และยังเชื่อว่าทางออกของปัญหาคือ การ “เลือกตั้ง” มากกว่า “ลากตั้ง” ทำให้ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” คาดการณ์ว่า “กปปส.”เริ่มอ่อนแอลงแล้ว
กระนั้นแม้จะมีการประเมินผู้ชุมนุมต่ำ แต่แน่นอนถ้าเลือกได้ก็ย่อมไม่อยากให้ถึงวันที่ 9 ธ.ค. เพราะหากสิ่งที่มองไว้ไม่เป็นอย่างที่คิด คนที่จะเพลี่ยงพล้ำเสียเองก็คือ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์”
การที่ประชาชนจำนวนมหาศาลออกมากองกันอยู่ตรงปากประตูทำเนียบรัฐบาลเป็นระดับล้านๆ คน เพื่อทวงคืนอำนาจ มีแต่ “ทรราชไร้ยางอาย” เท่านั้นที่ยังดันทุรังบริหารประเทศต่อไปได้
อย่างไรก็ต้องมีได้เสีย ดังนั้นการตัดไฟตั้งแต่ต้นลมจึงเป็นวิธีที่เหมาะเจาะที่สุด!!
เมื่อเป็นเช่นนั้นในห้วงระยะเวลา 2 วันก่อนจะถึง “ฤกษ์เผด็จศึก” ของ “กำนันเทือก” และแนวร่วม กปปส.จึงน่าจับตาอย่างใกล้ชิดว่า “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” ในฐานะผู้คุมกลไกบริหาร มีทั้งกำลังตำรวจ และเจ้าหน้าที่สารพัดจะงัด “วิชามาร” อะไรออกมาสกัดไม่ให้ประชาชนถึงเส้นชัย
โดยเฉพาะตอนนี้เริ่มมีปฏิกิริยาความไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นอยู่เนืองๆ ด้วยการที่ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) ระดมผู้ชายที่มีอายุระหว่าง 20-30 ปี ที่ผ่านหลักสูตรนักศึกษาวิชาทหาร หรือและผ่านการเกณฑ์ทหารกว่า 100,000 คนออกมา ซึ่งมีการตั้งข้อสังเกตว่า จะเอามาต่อต้านผู้ชุมนุมเพราะก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน “การ์ด” ของ กปปส.ที่เวทีกระทรวงการคลัง และเวทีอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ก็เพิ่งจะโดนพิษระเบิดปิงปองและลูกกระสุนจริงเล่นงาน จากแกงค์เด็กแว้นที่ค่อนข้างแน่ใจได้ว่า รับงานให้มาป่วนผู้ชุมนุม
จึงปักใจเชื่อกันได้ว่า “วิชามาร” สารพัดรูปแบบจะก่อกำเหนิดขึ้นตั้งแต่วินาทีที่ “กำนันเทือก” ประกาศลั่นเมื่อคืนวันที่ 6 ธ.ค.แล้วเผลอๆ สิ่งที่คิดว่า รัฐบาลและศอ.รส. ไม่กล้าทำอย่างการบุกเข้าจับกุม “กำนันเทือก” เพื่อลดทอนพลังมวลมหาประชาชนในวันที่ 9 ธ.ค. ก็อาจจะเกิดขึ้นก็เป็นได้ต้องอย่าลืมว่า วันนี้รัฐบาลมีกลไกหลายอย่างอยู่ในกำมือที่พร้อมจะประหัตประหารฝ่ายตรงข้ามได้ทุกรูปแบบ รวมทั้งการที่ “กำนันเทือก” โดนข้อหากบฎ ที่อาจทำให้มีการสบช่องแอบไปรวบตัวออกมาเพื่อดับฝันก่อนวันที่ 9 ธ.ค.
จึงอย่ามองว่า เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด เพราะเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ โดยเฉพาะกับรัฐบาลชุดนี้ช่วงเวลานับถอยหลังการสู่การตะเพิด “รัฐบาลทรราช” จึงน่าระทึกไม่น้อยกว่าวันดังกล่าวเลย เพราะมีผลต่ออย่างยิ่งต่อหมากในกระดานการเมืองเที่ยวนี้
ชะตาของ “กำนันเทือก” ระหว่างนี้ก็น่าติดตามพอๆ กับวันแห่งประวัติศาสตร์ 9 ธ.ค เหมือนกัน.
การต่อสู้ของกลุ่มประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) ภายใต้การนำของ “กำนันสุเทพ เทือกสุบรรณ” เดินทางมาสู่โค้งสุดท้ายแล้ว เมื่อประกาศ “เผด็จศึก” ให้จบภายในวันจันทร์ที่ “9 ธ.ค.” ภายหลังต่อสู้ยืดเยื้อมายาวนานกว่าหนึ่งเดือนเป็นการประกาศกร้าวสู้แบบถวายหัวที่ต้องรู้ผลแพ้-ชนะ ในวันเดียว โดยไม่มีการหามุกใหม่ๆ เพื่อลากเกมยาวอีกต่อไป เหมือนกับครั้งก่อนๆ
ปฏิบัติการระดมพลตีขนาบรอบรั้ว “ทำเนียบรัฐบาล” หนนี้ จึงดูมีความหมายกว่าครั้งก่อนๆ ที่ผ่านมา เพราะหาก “มวลมหาประชาชน” ออกมาเพียงหยิบมือ นั่นเท่ากับว่า “กำนันเทือก” และพวกกำลังถูกบีบให้เดินเข้าซังเตทางอ้อม และจะเริ่มนับหนึ่งกับการเป็นฝ่ายถูกรุกไล่จาก “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” บ้างที่สำคัญ ยิ่งจะทำให้ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” มีความชอบธรรมที่จะบริหารประเทศต่อ!!
แต่หาก “กำนันเทือก” สามารถปลุกพลังประชาชนให้ออกมาได้มากหรือมากกว่าปรากฏการณ์ “มวลมหาประชาชน” ที่ถนนราชดำเนิน เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ปฏิบัติการ “ทวงคืนอำนาจ” จาก “รัฐบาลทรราช” ก็มีสิทธิ์ที่จะถึงฝั่งฝันในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งถือเป็นการกำหนดชะตาครั้งสำคัญของ“ประเทศไทย” รวมถึง “กำนันเทือก” ด้วยว่า หลังจากนี้จะดีจะร้ายลงเอยอย่างไร
ดังนั้น นับตั้งแต่บัดนี้จนถึงเวลา 09.39 น.ของเช้าวันจันทร์ ทุกๆ นาที ทุกๆ ปฏิบัติการ ไม่ว่าจะเป็นทั้งของฝ่าย “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” และ “กำนันเทือก” จึงมีความหมายทั้งสิ้นแน่นอนในเบื้องต้น “รัฐบาลยิ่งลักษณ์”ประเมินว่า หลังจากการพักรบในช่วง 2 วันที่ผ่านมา ทำให้กองกำลังของ “กปปส.” ไม่แข็งแกร่งและทรงพลังเหมือนเดิม ด้วยเพราะบรรยากาศความปลื้มปิติของประชาชนหลังวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคมที่ผ่านมา ทำให้ตอนนี้ไม่เอื้ออำนวยให้แบบเดิมได้อีก
ไม่ว่าจะเป็นสังคมโดยรวมที่อยากเห็นการเจรจาระหว่างทั้งสองฝ่ายเกิดขึ้นมากกว่าห้ำหั่นกัน หรือการที่ “กำนันเทือก” ประกาศเผด็จศึกบ่อยๆ ทำให้มวลชนที่จะตัดสินใจเข้าร่วมลังเลและโดยเฉพาะ เป้าหมายที่ “กปปส.” กำลังจะไปถึงอย่าง “สภาประชาชน” หรือ “นายกฯ ม.7” ที่องคาพยพของรัฐบาลนำไปขยายผลดิสเครดิตม็อบเล่นนั้น ฝ่ายกุมอำนาจมองว่า ประชาชนยังเข้าไม่ถึง และยังเชื่อว่าทางออกของปัญหาคือ การ “เลือกตั้ง” มากกว่า “ลากตั้ง” ทำให้ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” คาดการณ์ว่า “กปปส.”เริ่มอ่อนแอลงแล้ว
กระนั้นแม้จะมีการประเมินผู้ชุมนุมต่ำ แต่แน่นอนถ้าเลือกได้ก็ย่อมไม่อยากให้ถึงวันที่ 9 ธ.ค. เพราะหากสิ่งที่มองไว้ไม่เป็นอย่างที่คิด คนที่จะเพลี่ยงพล้ำเสียเองก็คือ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์”
การที่ประชาชนจำนวนมหาศาลออกมากองกันอยู่ตรงปากประตูทำเนียบรัฐบาลเป็นระดับล้านๆ คน เพื่อทวงคืนอำนาจ มีแต่ “ทรราชไร้ยางอาย” เท่านั้นที่ยังดันทุรังบริหารประเทศต่อไปได้
อย่างไรก็ต้องมีได้เสีย ดังนั้นการตัดไฟตั้งแต่ต้นลมจึงเป็นวิธีที่เหมาะเจาะที่สุด!!
เมื่อเป็นเช่นนั้นในห้วงระยะเวลา 2 วันก่อนจะถึง “ฤกษ์เผด็จศึก” ของ “กำนันเทือก” และแนวร่วม กปปส.จึงน่าจับตาอย่างใกล้ชิดว่า “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” ในฐานะผู้คุมกลไกบริหาร มีทั้งกำลังตำรวจ และเจ้าหน้าที่สารพัดจะงัด “วิชามาร” อะไรออกมาสกัดไม่ให้ประชาชนถึงเส้นชัย
โดยเฉพาะตอนนี้เริ่มมีปฏิกิริยาความไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นอยู่เนืองๆ ด้วยการที่ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) ระดมผู้ชายที่มีอายุระหว่าง 20-30 ปี ที่ผ่านหลักสูตรนักศึกษาวิชาทหาร หรือและผ่านการเกณฑ์ทหารกว่า 100,000 คนออกมา ซึ่งมีการตั้งข้อสังเกตว่า จะเอามาต่อต้านผู้ชุมนุมเพราะก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน “การ์ด” ของ กปปส.ที่เวทีกระทรวงการคลัง และเวทีอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ก็เพิ่งจะโดนพิษระเบิดปิงปองและลูกกระสุนจริงเล่นงาน จากแกงค์เด็กแว้นที่ค่อนข้างแน่ใจได้ว่า รับงานให้มาป่วนผู้ชุมนุม
จึงปักใจเชื่อกันได้ว่า “วิชามาร” สารพัดรูปแบบจะก่อกำเหนิดขึ้นตั้งแต่วินาทีที่ “กำนันเทือก” ประกาศลั่นเมื่อคืนวันที่ 6 ธ.ค.แล้วเผลอๆ สิ่งที่คิดว่า รัฐบาลและศอ.รส. ไม่กล้าทำอย่างการบุกเข้าจับกุม “กำนันเทือก” เพื่อลดทอนพลังมวลมหาประชาชนในวันที่ 9 ธ.ค. ก็อาจจะเกิดขึ้นก็เป็นได้ต้องอย่าลืมว่า วันนี้รัฐบาลมีกลไกหลายอย่างอยู่ในกำมือที่พร้อมจะประหัตประหารฝ่ายตรงข้ามได้ทุกรูปแบบ รวมทั้งการที่ “กำนันเทือก” โดนข้อหากบฎ ที่อาจทำให้มีการสบช่องแอบไปรวบตัวออกมาเพื่อดับฝันก่อนวันที่ 9 ธ.ค.
จึงอย่ามองว่า เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด เพราะเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ โดยเฉพาะกับรัฐบาลชุดนี้ช่วงเวลานับถอยหลังการสู่การตะเพิด “รัฐบาลทรราช” จึงน่าระทึกไม่น้อยกว่าวันดังกล่าวเลย เพราะมีผลต่ออย่างยิ่งต่อหมากในกระดานการเมืองเที่ยวนี้
ชะตาของ “กำนันเทือก” ระหว่างนี้ก็น่าติดตามพอๆ กับวันแห่งประวัติศาสตร์ 9 ธ.ค เหมือนกัน.
